เฉินไท่เฟยยกขวดลายครามขึ้น ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจไม่ได้
สำหรับนางในตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากทั้งสองทาง แท้จริงแล้วมันเจ็บปวดยิ่งกว่าการรอพบซูจิ่นซี เฝ้ารอเพื่อจะได้รู้ว่าซูจิ่นซีวางยาพิษอันใดแก่นาง และคาดหวังว่าจะได้รับยาถอนพิษ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีกับอู๋จุนเดินออกมาจากชั้นสิบแปดของวิหารวิญญาณนานแล้ว ทันใดนั้น ทางเดินบันไดหินแคบยาวก็มีเสียงของเฉินไท่เฟยดังขึ้น เสียงนั้นแผดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด
“ซูจิ่นซี เจ้าทำร้ายข้าถึงเพียงนี้ แม้ข้าตายไป ข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้า ต่อให้กลายเป็นผี ข้าก็จะจองเวรเจ้า”
น่าเสียดายที่เสียงสาปแช่งนั้นเปล่งออกมาจากลำคอแหบแห้งของเฉินไท่เฟย เมื่อซูจิ่นซีเดินมาถึงด้านบนของวิหารวิญญาณ เสียงนั้นก็จางหายไปนานแล้ว นางไม่ได้ยินอันใดแม้แต่น้อย
หลังออกมาจากวิหารวิญญาณที่เย็นยะเยือก มืดมิด และมีบรรยากาศน่าอึดอัดแล้ว ซูจิ่นซีก็ยืนอยู่ที่ด้านนอกตำหนัก นางมองไปยังพื้นที่โดยรอบซึ่งกว้างไกลสุดสายตาราวกับขุมนรก นอกจากเสาหินเย็นเฉียบที่ตั้งตระหง่านเรียงรายหลายต้นแล้ว ยังมีโซ่ตรวนที่ผูกเชื่อมกันไปตลอดทาง และเพลิงอัคคีที่ลุกโชน
ท้องฟ้าที่กลายเป็นสีแดงเพลิงจากเปลวอัคคี ช่างดูเหมือนแสงยามรุ่งอรุณและยามสายัณห์อันงดงามบนท้องฟ้าเหนือเรือนชิงโยว
ในความคิดของซูจิ่นซีปรากฏเหตุการณ์ที่นางและเยี่ยโยวเหยานั่งอยู่ภายใต้แสงสว่างของเรือนชิงโยว ช่วงเวลาที่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความโศกเศร้า ความรักใคร่ผูกพัน และความอึดอัดภายในใจของพวกเขา
ภาพต่างๆ ในอดีตที่นางไม่เคยใส่ใจ บัดนี้กลับกลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน และยากที่จะปกปิด ภาพนั้นหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาดั่งสายน้ำ
เยี่ยโยวเหยา ท่านกับข้า ลาจากกันชั่วนิรันดร์…
ซูจิ่นซีพูดอยู่ในใจ ลมหนาวพัดโชยมา ‘ฟู่ว’ เสียงลมพัดหวีดหวิวไปตามพื้นดิน ฟังดูอ้างว้างยิ่งนัก
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าลมหนาวที่พัดผ่านแก้มของนาง เป็นดั่งคมมีดเชือดเฉือนให้ปวดแสบ นางยื่นมือไปสัมผัสแก้มแต่กลับสัมผัสถูกของเหลวเปียกชื้น
ไม่รู้ว่าน้ำตาของนางไหลรินอาบสองแก้มตั้งแต่เมื่อใด
อู๋จุน ผู้ที่มักพูดจาเย้าหยอกอยู่เสมอ เวลานี้เขายืนอยู่ข้างกายซูจิ่นซีด้วยความเงียบงันอย่างผิดปกติ เขาพยายามอ้าปากพูด แต่กลับหาคำพูดที่เหมาะสมมาปลอบใจนางไม่ได้
ครู่หนึ่ง ยังคงเป็นเขาที่ทำลายความเงียบ
อู๋จุนเงยหน้ามองท้องฟ้า พลางผิวปากด้วยท่าทีผ่อนคลาย และกระโดดเข้าไปหาซูจิ่นซี
“แม่นางพิษน้อย จากนี้เจ้าวางแผนจะไปที่แห่งใด? พี่จุนจะไปกับเจ้า”
ซูจิ่นซีหันกลับมามองอู๋จุนอย่างเชื่องช้า
ในฐานะที่นางเป็นวิญญาณต่างมิติ สุดท้ายแล้วร่างกายนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่นางยึดไว้เท่านั้น มันไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของนาง
ในฐานะที่นางมีทัศนคติต่อการใช้ชีวิต ค่านิยม และการมองโลกที่ตรงข้ามกับโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง สุดท้ายแล้ว นางก็ไม่สามารถเข้ากับโลกใบนี้ได้ ทั้งยังขาดคนที่มีแนวคิดและความเชื่อตรงกัน
นางนึกไม่ถึงเลย
เรือผ่านไปนับพันลำ [1] เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความอ้างว้าง สุดท้ายคนที่อยู่เคียงข้างนางในเวลานี้ก็คืออู๋จุน คนที่ปกติแล้วนางไม่เคยใส่ใจ มิหนำซ้ำ บางครั้งนางยังรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่าโมโหและน่าเกลียดชังอีกด้วย
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีพลันยิ้มเยาะให้กับตนเอง รอยยิ้มนั้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนสดใส
นางพูดกับอู๋จุนด้วยท่าทีนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยปฏิบัติต่อเขามาก่อน “ในเมื่อรับปากกับฮูหยินปิงจีแล้วว่า ขอเพียงนางสามารถถอนพิษหมุดกร่อนรักจากร่างของเยี่ยโยวเหยาได้อย่างสมบูรณ์ ข้าก็จะไปจากเขา ไม่พบเขาอีก เช่นนั้นข้าย่อมไม่อาจกลับไปยังจวนโยวอ๋อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง… ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเยี่ยโยวเหยาถอนพิษหมุดกร่อนรักได้แล้ว เขาจะลืมนาง ในความทรงจำตั้งแต่นี้ต่อไปของเยี่ยโยวเหยา จะไม่มีอันใดที่เกี่ยวข้องกับซูจิ่นซี หากนางกลับไปที่จวนโยวอ๋อง ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้น นางจะเผชิญหน้ากับเยี่ยโยวเหยาอย่างไร คงรู้สึกอึดอัดราวกับคนแปลกหน้า
ประโยคท่อนหลังซูจิ่นซีไม่ได้พูดออกมา ไม่รู้ว่าอู๋จุนจะเข้าใจความคิดของนางหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ยินว่าซูจิ่นซีจะไม่กลับไปที่จวนโยวอ๋องอีก ดวงตาของเขาก็ปรากฏความปิติยินดีอย่างถึงที่สุด
“แม่นางพิษน้อย ในเมื่อเจ้าไม่กลับไปที่จวนโยวอ๋องแล้ว เช่นนี้เจ้ากลับแคว้นหนานหลีกับพี่จุนเถิด! พี่จุนจะมอบหุบเขาเทพโอสถทั้งหมดให้เจ้า เพื่อเป็นของขวัญต้อนรับเจ้าดีหรือไม่? ”
แคว้นหนานหลี…
ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีเคยนิ่งเงียบและแสดงท่าทีปฏิเสธมู่หรงฉีว่า นางจะไม่ไปเยือนแคว้นหนานหลี
ทว่าเวลานี้ นางรู้สึกสับสนและเลื่อนลอยไร้หนทาง ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าแท้จริงแล้ว แคว้นหนานหลีก็เป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง
อีกทั้ง ตอนที่นางถูกเฉินไท่เฟยกับเว่ยเหม่ยเจียทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ไม่พบสัตว์เทพกิเลนแล้ว ต่อมานางพยายามใช้อาคมกำไลปี่อั้นเพื่อตามหามัน แต่ก็ตามหาไม่พบ ตอนนี้นางจึงรู้สึกคิดถึงสัตว์เทพกิเลน
ครั้งนั้นนางได้รับสัตว์เทพกิเลนจากการเดินทางไปเยือนดินแดนต้องห้ามของสกุลจงที่แคว้นหนานหลี ไม่แน่ว่าหากนางไปที่นั่น นางอาจพบเบาะแสที่อยู่ของสัตว์เทพกิเลนก็เป็นได้
นอกจากนี้ มารดาของนาง จงซีจือ ก็เป็นคนในสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลีอีกด้วย ทันใดนั้น ห้วงลึกภายในใจของซูจิ่นซีก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น คล้ายกับเสียงมารดานางที่ร้องเรียกนางไม่หยุด ‘ไปแคว้นหนานหลี ไปแคว้นหนานหลี… จิ่นซี… ไปแคว้นหนานหลี.. แม่รอเจ้าอยู่ที่แคว้นหนานหลี’
“ถ้าเช่นนั้น ไปแคว้นหนานหลีกันเถิด! ”
ซูจิ่นซีพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
อู๋จุนดีใจจนเนื้อเต้น แทบกระโดดขึ้นฟ้า
“เมื่อแม่นางพิษน้อยต้องการไปแคว้นหนานหลีกับพี่จุน ต่อไปก็พักอาศัยที่หุบเขาเทพโอสถกับพี่จุนเถิด พี่จุนจะได้ไม่ต้องกังวลกับการอยู่เพียงลำพังในหุบเขาเทพโอสถโดยไม่มีใครพูดคุยเป็นเพื่อน… ”
อู๋จุนพูดพลางแสดงท่าทีดีใจจนลืมตัว แทบจะเข้าไปโอบกอดซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองของอู๋จุนจึงคว้าได้เพียงอากาศธาตุ เขารีบเปลี่ยนท่าทีเป็นกอดอก เพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดไปมากกว่านี้
“คือว่า… พี่จุนดีใจมากไปจนลืมตัวใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีตอบคำถามที่ทำร้ายจิตใจ ซึ่งเขาไม่ต้องการได้ยินมากที่สุด “ก็มีบ้าง! ” จากนั้นนางก็หันหลังเดินไปทางพระอาทิตย์ตกดิน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำพูดจะทำร้ายจิตใจเพียงไร ตราบใดที่มันออกมาจากปากของซูจิ่นซี อู๋จุนจะคิดเสมอว่า มันเป็นคำพูดหวานหูที่เขาเฝ้ารอมาเนิ่นนาน
อู๋จุนยิ้ม แหะ แหะ ก่อนจะรีบเดินตามซูจิ่นซีไป “เช่นนั้น พี่จุนเปลี่ยนแปลงก็ได้ แม่นางพิษน้อยชอบให้พี่จุนเป็นอย่างไร ต่อไปพี่จุนจะเปลี่ยนแปลงเพื่อเจ้า ตามที่เจ้าต้องการ”
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบ มุ่งหน้าเดินไปทางพระอาทิตย์ตกดินเพียงลำพัง โดยมีอู๋จุนในชุดสีแดงเพลิงพลิ้วไสวเดินตามอยู่ด้านหลัง ทั้งยังพูดจ้อไม่หยุด
“แม่นางพิษน้อย พี่จุนสร้างบ้านหลังใหญ่ให้เจ้าในหุบเขาเทพโอสถเป็นเช่นไร? ตรงตำแหน่งที่ปลูกต้นเหลียนเจียวอย่างไรเล่า เจ้าก็เคยเห็นก่อนหน้านี้ พี่จุนยังวางแผนอีกว่า ลำธารกลางหุบเขาทางฝั่งตะวันตก สามารถเปลี่ยนเป็นทะเลสาบได้ จากนั้นก็ปลูกสมุนไพรและดอกไม้ที่เจ้าชอบตรงริมทะเลสาบ
ใช่สิ เจ้าชอบดอกไม้ประเภทใดหรือ? ดอกเจี๋ยอวี่เป็นเช่นไร? หรือจะเป็นดอกอู๋โยว? ”
“…..”
“แม่นางพิษน้อย แท้จริงแล้วเจ้ายังไม่รู้ หุบเขาเทพโอสถอยู่ทางเหนือสุด มีชายแดนติดแคว้นเป่ยอี้ ที่นั่นมีหน้าผาแห่งหนึ่งซึ่งมีหิมะตกตลอดทั้งปี ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก ถึงตอนนั้น พี่จุนพาเจ้าไปดูดีหรือไม่? ”
“…”
“บนหน้าผาแห่งนั้นมีแมลงและดอกไม้ป่าที่ข้าไม่รู้จักมากมาย วันใดที่ข้าคิดถึงเจ้า พี่จุนจะไปที่หน้าผาแห่งนั้นเพียงลำพังและอยู่ที่นั่นเสียหลายวัน บางครั้งก็อยู่นานเป็นเดือน ที่นั่นยังมีดอกไม้ชนิดหนึ่ง รูปร่างเหมือนดอกที่ปักอยู่บนเสื้อของเจ้าเมื่อครั้งที่พี่จุนพบเจ้าครั้งแรก ดังนั้นพี่จุนจึงตั้งชื่อดอกไม้นั้นว่า ดอกจิ่นซี”
“…”
“ฮ่า ฮ่า เจ้าไม่ยอมพูดอันใดเลย หรือเจ้าคิดว่าชื่อที่พี่จุนตั้งนั้นไม่มีอันใดแปลกใหม่? ความจริงพี่จุนก็คิดอยู่นาน หลังจากเรียบเรียงชื่อมากมาย สุดท้ายก็เลือกได้ชื่อหนึ่ง ดูเหมาะสมยิ่งนัก! ไม่มีชื่อใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว”
“จอมวายร้าย… ”
ซูจิ่นซีที่เดินนำอยู่ด้านหน้าพลันหันหลังกลับมา
อู๋จุนที่เดินตามมาด้านหลังติดๆ ไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะหยุดเดินและหันหลังกลับมาอย่างกะทันหัน เขาไม่ทันได้หยุดฝีเท้าก็ชนซูจิ่นซีเข้าเต็มอก
……
เชิงอรรถ
[1] เรือผ่านไปนับพันลำ หมายถึง ผ่านเรื่องราวมามากมายในชีวิต