ตลอดช่วงอาหารค่ำถังซีได้ดูเฉียวอวี่ซินกับเฉียวเหลียงโต้เถียงกัน และได้ร่วมเถียงกับพวกเขาด้วยเป็นครั้งคราว บรรยากาศมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง และเป็นครั้งแรกที่ถังซีเห็นเฉียวเหลียงพูดมากขนาดนี้ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาจะกินน้อยมากก็ตาม เพราะเขายังคงแกะกุ้งให้เธอต่อไป และใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ให้ในชามเฉียวอวี่ซิน
ถังซีทานกุ้งไม้ไผ่ไปเกือบหนึ่งกิโลกรัมในมื้อนี้ เธอเรอออกมาอย่างไม่สนใจจะรักษาภาพลักษณ์อันสง่างามของตัวเอง ก่อนวางตะเกียบลง แล้วกล่าวอย่างพึงพอใจ “ฉันทานอีกไม่ไหวแล้ว ขืนทานต่อไปฉันจะอิ่มจนนอนไม่หลับแน่คืนนี้”
เฉียวเหลียงยิ้ม ส่งน้ำผลไม้ให้ถังซี เธอดื่มไปอึกใหญ่แล้วส่งแก้วคืนให้เฉียวเหลียง เขารับไปดื่มแล้ววางลงข้างจานเขา จากนั้นก็เลื่อนจานกุ้งที่ยังไม่แกะเปลือกไปทางถังซี เธอมองเขาด้วยสายตามีคำถามและกะพริบตาปริบๆ “คุณยังไม่อิ่มเหรอ”
เฉียวเหลียงพยักหน้าและส่งเสียงฮึดฮัด “ยัง”
ถังซีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ เฉียวอวี่ซินซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามหัวเราะออกมา เมื่อเห็นแบบนี้ “โหรวโหรว ป้าไม่เคยเห็นลูกชายป้าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ต่อหน้าสาวๆ มาก่อนเลย หนูอย่าปฏิเสธเขาเลยนะจ๊ะ!”
ถังซีเขินหน้าแดง เธอรู้ว่าเฉียวเหลียงไม่ค่อยได้ทานอะไร เขามัวยุ่งอยู่กับการแกะเปลือกกุ้งให้เธอและคีบอาหารให้เฉียวอวี่ซิน ขณะที่เธอกับเฉียวอวี่ซินคุยกันไปทานกันไป ตอนนี้พวกเธออิ่มแล้ว แต่เขายังหิวอยู่ เมื่อคิดเช่นนี้ถังซีก็หยิบกุ้งมาโดยไม่พูดอะไร แล้วเริ่มแกะให้เขา…
แต่เธอแกะเปลือกกุ้งไม่เก่ง เฉียวเหลียงใช้เวลายี่สิบวินาทีหรือนานกว่านั้นไม่มากในการแกะเปลือกกุ้งหนึ่งตัว แต่เธอต้องใช้ถึงสองนาที หลังจากแกะเปลือกเธอก็ต้องแกะเส้นดำออก… เนื้อกุ้งแทบจะฉีกเป็นชิ้นๆ ภายใต้การเฝ้ามองของเฉียวอวี่ซิน ถังซีป้อนเนื้อกุ้งใส่ปากเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงยิ้มมองหน้าเธอพร้อมกับเคี้ยวกุ้งอย่างมีความสุข ขณะถังซีกำลังยุ่งอยู่กับการแกะเปลือกกุ้งให้เขา เขาก็หยิบตะเกียบคีบอาหารคำใหญ่ทานสองคำ แล้วดื่มน้ำผลไม้ที่ถังซีไม่ดื่มแล้ว… ในระหว่างนั้นถังซีทำได้แค่แกะเปลือกกุ้งตัวที่สอง…
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเฉียวเหลียงก็ทานอาหารค่ำเสร็จ โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อน ถ้าเป็นฤดูหนาวอาจต้องนำอาหารแต่ละจานไปอุ่นให้ร้อนมากกว่าหนึ่งครั้ง เฉียวเหลียงอิ่มแล้ว แต่ถังซีรู้สึกหิวขึ้นมาอีก… เธอตัดสินใจไม่ทานอาหารอีก เพราะไม่อยากให้ใครบางคนหัวเราะเธอ…
ทั้งสองช่วยพยุงเฉียวอวี่ซินไปนั่งดูทีวีที่โซฟา ถังซีตัดสินใจฝังเข็มให้เฉียวอวี่ซินในครึ่งชั่วโมงนั้น ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเฉียวเหลียงก็ดังขึ้น เขารับโทรศัพท์ ฟังอยู่สักครู่ก็พยักหน้า “ตกลง เดี๋ยวฉันถามเธอก่อน” จากนั้นเขาก็หันไปหาถังซี “ตอนนี้พวกเพื่อนๆ อยู่ที่คลับ ‘โรแมนติกไนต์’ พวกเขาอยากให้เราไปที่นั่น คุณอยากไปไหม”
ถังซีเลิกคิ้ว “นั่นคือคลับเดียวกันกับที่เราไปเมื่อคราวก่อนใช่ไหมคะ”
เฉียวเหลียงพยักหน้า “ใช่ คุณจะไปไหม”
ถังซียิ้ม “ไปค่ะ พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยากคุยกับพี่หว่านอีเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องที่เราจะร่วมมือกัน ฉันจะได้ใช้โอกาสนี้คุยกับเธอคืนนี้เลย” ถังซีหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “แต่เราจะไปที่นั่นทีหลังนะคะ เพราะฉันต้องฝังเข็มให้คุณป้าก่อน พวกนั้นจะกลับกันไปก่อนไหมล่ะคะกว่าเราจะไปถึง”
เฉียวเหลียงพยักหน้า มองดูนาฬิกาข้อมือพร้อมกับกล่าวว่า “กว่าเราจะไปถึงก็น่าจะเกือบสี่ทุ่ม”
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองถังซี “พวกเขาบอกว่าจะออกจากที่นั่นตอนเที่ยงคืนเป็นอย่างเร็วที่สุด”
ถังซีพยักหน้า “ตกลงค่ะ เดี๋ยวเราไปกัน”
เมื่อเฉียวเหลียงวางสายโทรศัพท์เฉียวอวี่ซินกล่าวว่า “ขาป้าดีขึ้นมากแล้ว ถ้าหนูไม่ได้ฝังเข็มคืนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก หนูไปสนุกกับเพื่อนๆ เถอะจ้ะ ป้ารู้ว่าคนหนุ่มสาวทุกวันนี้ไม่ค่อยมีเวลาว่างได้พักผ่อนสักเท่าไร เป็นเรื่องดีมากที่จะได้มีโอกาสสังสรรค์กัน ไปเถอะจ้ะ”
ถังซีส่ายศีรษะ มองดูนาฬิกา “ยังไม่ดึกเท่าไรค่ะ การรักษาในคืนนี้เป็นเรื่องสำคัญ หนูจะฝังเข็มอีกจุดหนึ่งให้คุณป้า การรักษาพยาบาลไม่สามารถยกเลิกได้ค่ะ” จากนั้นเธอก็เข้าไปจับแขนเฉียวอวี่ซิน และกล่าวอย่างน่ารักว่า “หนูอยากเห็นคุณป้าเดินได้มากกว่าอยากออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ค่ะ” เธอยิ้มสดใส “คุณป้าคะ คุณป้าเป็นคนสวยและสง่างามมาก คุณป้าต้องดูสวยมากเมื่อลุกขึ้นยืนและก้าวเดิน”
เฉียวอวี่ซินรู้สึกขำคำพูดของเธอมาก นางหัวเราะและตบหลังมือถังซีเบาๆ แล้วกล่าวว่า “หนูนี่ปากหวานจริงๆ โหรวโหรว ทุกครั้งที่หนูมาที่นี่ป้ามีความสุขมาก ป้าหวังว่าหนูจะแต่งงานกับอาเหลียงเร็วๆ นะจ๊ะ”
ถังซีหัวเราะคิกคัก เฉียวเหลียงมองหน้ามารดา “แต่น่าเสียดายครับ วันนี้คำขอแต่งงานของผมถูกเธอปฏิเสธ”
ถังซีกะพริบตาปริบๆ พูดไม่ออก เฉียวอวี่ซินรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินอย่างนี้ แต่แล้วก็หันไปจ้องมองเฉียวเหลียงพร้อมกับกล่าวว่า “จะโทษใครได้ล่ะ เป็นความผิดของลูกคนเดียว ลูกเพิ่งรู้จักโหรวโหรว เธอยังไม่รู้จักลูกดีพอ และลูกไม่ได้แสดงให้เธอเห็นความจริงใจของลูก แน่นอนว่าเธอต้องไม่ตกลงแต่งงานกับลูกตอนนี้”
เฉียวเหลียงแปลกใจที่มารดาเข้าข้างถังซี ถังซีเองก็พยักหน้า “ใช่เลยค่ะ คุณไม่ได้แสดงความจริงใจอะไรให้ฉันเห็น ฉันจะตกลงแต่งงานกับคุณได้ยังไง” จากนั้นเธอก็หันไปหาเฉียวอวี่ซินและฟ้องว่า “คุณป้ารู้ไหมคะ เขาแค่บอกหนูว่านิ้วนางของหนูต้องการเครื่องประดับ เขาก็เลยจะหาเครื่องประดับมาให้หนู! ผู้ชายจะขอผู้หญิงแต่งงานด้วยคำพูดแบบนี้ได้ยังไงกันคะ”
เฉียวอวี่ซินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “เขาไม่ได้คุกเข่าหรือ”
ถังซีทำหน้ามุ่ยแล้วส่ายศีรษะ เฉียวอวี่ซินมองเฉียวเหลียงด้วยสายตาสบประมาท ขณะกล่าวว่า “แม้แต่พ่อที่ไร้ยางอายของลูกก็ยังคุกเข่าตอนที่ขอแต่งงานกับแม่ นี่ลูกไม่ได้คุกเข่าเลยเรอะ ไม่ได้เตรียมแหวนไปเลยด้วยซ้ำใช่ไหม”
เฉียวเหลียงยอมจำนนและสงบนิ่ง มารดาถึงขนาดเปรียบเทียบเขากับลู่กวงสยง ซึ่งนางไม่ยอมพูดถึงตลอดห้าปีที่ผ่านมา
เมื่อเห็นเฉียวอวี่ซินชนะ ถังซีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เฉียวอวี่ซิน ก็มองเฉียวเหลียงด้วยสายตาพึงพอใจ ราวกับจะบอกว่า ‘ดูสิ เหมือนอย่างที่ฉันพูดไหมล่ะ วิธีที่คุณขอฉันแต่งงานน่ะไม่ได้เรื่องเลยสักนิด แม้แต่แม่คุณเองก็ยังทนไม่ไหว! เห็นไหมล่ะ!’
เฉียวเหลียงมองถังซี แล้วจู่ๆ ก็ลากเธอมาอยู่ข้างๆ เขา ถังซีไม่ทันระวังตัวจนเกือบล้มลงไปในอ้อมแขนเขา เฉียวอวี่ซินหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นแบบนี้ ถังซีไม่คุ้นเคยกับการใกล้ชิดเฉียวเหลียงต่อหน้าเฉียวอวี่ซิน เธอจึงหันไปจ้องหน้าเฉียวเหลียงด้วยความโกรธ และพยายามลุกขึ้นนั่งตัวตรง แต่เขาไม่ยอม กลับโอบแขนไปรอบเอวเธอ แล้วแนบหน้าผากลงกับหน้าผากเธอ แล้วถามเสียงแหบห้าว “แบบนี้พอใจหรือยัง”
ถังซีมองเฉียวเหลียงอย่างงุนงง ไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ได้แต่จ้องมองเขาอย่างเงียบกริบ…