ถังซียิ้มน้อยๆ มีประกายซุกซนในดวงตา เธอผลักไหล่เฉียวเหลียงเบาๆ แล้วบอกว่า “นี่คุณพูดเรื่องอะไร ฉันกำลังเตรียมพร้อมจะฝังเข็มให้คุณป้า” จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืน แต่เฉียวเหลียงลากเธอลงไปนั่งอย่างเดิมทันที แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “คุณต้องเตรียมพร้อมอะไรเหรอสำหรับการฝังเข็ม”
“ฉันต้องเตรียมพร้อมทางจิตใจไงล่ะ เข้าใจหรือยัง” ถังซีมองค้อนเฉียวเหลียงแล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำ เฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่บนโซฟามองตามหลังเธอแล้วส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม เฉียวอวี่ซินมองเขาและบ่นว่า “แม่ไม่เคยเห็นลูกยิ้มแบบนี้ให้แม่เลย”
เฉียวเหลียงยิ้ม อารมณ์เศร้าจากการได้ยินคำพูดถังซีก่อนหน้านี้เหือดหายไปหมดสิ้น เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองไปทางห้องน้ำและกล่าวว่า “ก็เพราะแม่เป็นแม่นี่ครับ แต่เธอน่ะเป็นแฟนผม”
เฉียวอวี่ซินนิ่งคิดอยู่สองวินาที ทำความเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ลูกชายนางกำลังอวดแฟนเขากับแม่! นางอยากจะประท้วง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเฉียวเหลียงมีความสุขอย่างแท้จริงเมื่อเปรียบเทียบกับห้าปีที่ผ่านมา นางก็ไม่ใจร้ายพอที่จะตำหนิเขา นางได้แต่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ “นี่เพราะแม่เป็นแม่หรอกนะ แม่ถึงยอมลูก”
เฉียวเหลียงยักไหล่ ขณะนั้นนั่นเองโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองหมายเลขโทรศัพท์ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปรับข้างนอก
เมื่อถังซีเดินออกจากห้องน้ำเฉียวเหลียงยังคุยโทรศัพท์อยู่ ถังซีมองเฉียวอวี่ซินด้วยสายตาเป็นคำถาม เมื่อเธอไม่เห็นเฉียวเหลียง เฉียวอวี่ซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม” เขาออกไปรับโทรศัพท์จ้ะ” ถังซียิ้ม จากนั้นก็เริ่มลงมือฝังเข็มให้เฉียวอวี่ซิน
หลังจากฝังเข็มเข้าไปในร่างกายเฉียวอวี่ซินแล้ว ถังซีก็นั่งลงข้างๆ และเริ่มดูทีวี เฉียวอวี่ซินมองถังซีซึ่งดูทีวีอย่างตั้งใจและเลิกคิ้ว “หนูไม่ออกไปดูข้างนอกหน่อยเหรอจ๊ะ”
ถังซีมองเฉียวอวี่ซินด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเธอก็ยิ้มและกล่าวว่า “บางทีเขาอาจจะพูดเรื่องธุรกิจน่ะค่ะ หนูคิดว่าหนูไม่ควรรบกวนเขา”
“โหรวโหรว หนูเป็นเด็กดีจริงๆ” เฉียวอวี่ซินตบหลังมือเธอเบาๆ “ป้าดีใจที่หนูเข้าใจอาเหลียง”
เฉียวเหลียงกลับเข้ามาในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ถังซีก็กำลังถอนเข็มออกจากร่างกายเฉียวอวี่ซิน เมื่อได้ยินเสียงเฉียวเหลียงเดินเข้ามาเธอก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา เฉียวเหลียงถามว่า “คุณฝังเข็มเสร็จหรือยัง”
ถังซีพยักหน้า “ใกล้แล้วค่ะ อีกไม่เกินสิบนาทีก็เสร็จ”
…
ภายในรถ เฉียวเหลียงนวดมือให้ถังซี กล่าวกับเธอเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะครับ”
ถังซียิ้มเอนพิงไหล่เขา เงยหน้าขึ้นมองด้านข้างใบหน้าเฉียวเหลียง และคำรามอู้อี้อย่างขี้เกียจ “ไม่เป็นไรค่ะ แต่คุณต้องให้รางวัลฉันเป็นการตอบแทน”
เฉียวเหลียงยิ้ม แล้วจูบเธอที่หน้าผาก “คนของผมเจอฉู่หลิงแล้ว และส่งเขาขึ้นเครื่องบินมาแล้ว เขาจะมาถึงเมือง A พรุ่งนี้”
ดวงตาถังซีเป็นประกายขึ้นทันที และเธอลุกขึ้นนั่งตัวตรง “จริงเหรอคะ คราวนี้ฉันจะได้จดจ่อกับการเรียน ให้ฉู่หลิงช่วยฉันจัดการเรื่องบริษัท!”
เฉียวเหลียงยิ้ม “ใช่แล้ว และผมอยากแนะนำเพื่อนผมสองคนให้คุณรู้จัก เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยวัยเด็ก”
“เพื่อนสมัยวัยเด็กเหรอคะ” ถังซีถาม เธอคิดว่าเธอเคยพบหรือได้ยินชื่อเพื่อนสมัยวัยเด็กของเขาทุกคนแล้วนี่ ยังมีใครอีกหรือที่เธอไม่รู้จัก
เฉียวเหลียงยิ้มราวกับเดาความคิดเธอออก “ผมรู้จักพวกเขาที่ประเทศ M ทั้งสองคนถูกส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็กเหมือนกับผม เรารู้จักกันและพบว่าเรามีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน พวกเราก็เลยเป็นเพื่อนตายซึ่งกันและกัน”
ถังซีเลิกคิ้ว “คุณจะบอกความลับของฉันกับพวกเขาหรือเปล่า”
เฉียวเหลียงยิ้ม “หนิงเหยี่ยนกับคนอื่นๆ ก็ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับถังซี แต่พวกเขาก็รู้เรื่องของคุณ”
ถังซีพยักหน้า “ฉันเข้าใจ” ถึงยังไงเขาสองคนนั้นก็เป็นเพื่อนสนิทของเฉียวเหลียง
เซียวจิ่งกับคนอื่นๆ ใกล้เมาแล้วเมื่อถังซีกับเฉียวเหลียงมาถึงคลับ ‘โรแมนติกไนต์’ พวกเขาจึงตะโกนเสียงดังบอกให้เฉียวเหลียงดื่มสามครั้ง เพื่อเป็นการขอโทษที่ทั้งสองมาสายเกินไป เฉียวเหลียงอารมณ์ดีเขาจึงไม่ปฏิเสธ และดื่มทั้งสามแก้ว ทุกคนไม่ได้ขอให้ถังซีดื่ม เธอวิ่งจึงไปหาเฮ่อหว่านอีและนั่งลงข้างเธอทันทีที่เข้ามาในห้อง หนิงเหยี่ยนยิ้มเมื่อเห็นถังซีและเฮ่อหว่านอีสนทนากันอย่างมีความสุข “เฮ้ เฉียวเหลียงแฟนคุณลืมคุณทันทีเลยเมื่อเธอเจอดาราใหญ่ของเรา ระวังนะ อย่าให้ดาราใหญ่ของเราขโมยแฟนคุณไปล่ะ”
แม้เฉียวเหลียงจะรู้ว่าถังซีกำลังพูดถึงเรื่องการร่วมงานกันของเธอกับเฮ่อหว่านอี แต่เขาก็หมดความสุขเมื่อเห็นถังซีตัวติดกับเฮ่อหว่านอีทันทีที่เข้ามาในห้อง เขาเอนตัวหันกลับไปมองถังซี กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เธอมีธุระที่จะคุยกับหว่านอี”
ถังซีพยักหน้าทันที “ใช่ค่ะ ฉันจะเชิญพี่หว่านอีมาเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ให้กับบริษัทฉัน เรากำลังคุยถึงความร่วมมือของเรา ผู้กำกับหนิงอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ พี่หว่านอีกับฉันเป็นคนไม่มีลับลมคมในทั้งคู่นะ!”
หนิงเหยี่ยนกำลังจะต่อปากต่อคำ แต่เมื่อได้รู้ว่าเธอกำลังจะเชิญเฮ่อหว่านอีไปเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของบริษัทเธอ เขาก็ถามขึ้นทันทีว่า “บริษัทของเธอหรือ บริษัทประเภทไหน ต้องการตัวแทนภาพลักษณ์ด้วยหรือ”
ก่อนที่ถังซีจะตอบ เฮ่อหว่านโจวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็ทะลุกลางวงสนทนาขึ้นมาด้วยความสนใจอย่างมาก “เสี่ยวโหรวโหรว ฉันจำได้ว่าเธอเพิ่งกลับมาจากชนบทเมื่อหลายเดือนก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วนี่เธอกำลังจะก่อตั้งบริษัทเหรอ คุณปู่ของเธอจะยอมให้เงินลงทุนหรือ เธอก้าวเร็วเกินไปนะ! วงการธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชีวิตรอด เธอดูตัวอย่างได้เลยจากกรณีของฉัน…”
ถังซีรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องแปลกหรือเหลือเชื่อที่เธอจะก่อตั้งบริษัท เพราะถึงอย่างไรในเวลานี้เซียวโหรวก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงบ้านนอกที่เติบโตขึ้นมาบนภูเขา ในความเห็นของพวกเขาเธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไร้เดียงสา เทียบชั้นกับพวกเขายังไม่ได้ ทว่าในความเป็นจริงเธอคือถังซี เธอไม่มีเวลามากมายที่จะเสียไปกับการรอคอย ดังนั้นเธอจะต้องทำอะไรอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะต้องลงทุนโกหกคนอื่นก็ตาม
เฉียวเหลียงขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเฮ่อหว่านโจว เซียวจิ่งกับเซียวส่าก็หน้าบึ้งทันที เซียวส่ากล่าวว่า “นายพูดเรื่องอะไร โหรวโหรวไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว”
เซียวจิ่งพยักหน้าทันที “ใช่ โหรวโหรว มีความสามารถในการออกแบบ เพราะฉะนั้นเธอจะเปิดบริษัท ออกแบบเครื่องประดับและเครื่องแต่งกาย เธอไม่ได้ขอเงินใครเลย ใช้แค่ค่าจ้างถ่ายโฆษณาของเธอเป็นทุนเริ่มต้น”
หนิงเหยี่ยนพยายามทำให้บรรยากาศคลี่คลายลง ทันทีที่เซียวจิ่งพูดจบ หนิงเหยี่ยนก็มองไปทางถังซีและกล่าวว่า “โฆษณาโทรทัศน์ที่เธอเป็นนางเอกดังมากจริงๆ จะยอดเยี่ยมมากเลยนะถ้าเธอก้าวต่อไปในทิศทางนี้ ทำไมเธอถึงไม่เลือกเข้าวงการบันเทิงแทนล่ะ”
ถังซียิ้มและตอบว่า “อันที่จริงทุกวงการก็มีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ฉันเลือกอาชีพงานออกแบบ ไม่ใช่เพราะง่าย แต่เพราะฉันชอบการออกแบบ ฉันแค่ชอบงานนี้”