เมืองทะเลมรกตตอบโต้อย่างรวดเร็ว ในทันทีที่ร่องรอยของปีศาจอัคคีหายไป ค่ายกลทะเลมรกตไร้ขีดจำกัดก็เปิดออก แล้วทำงานอย่างเต็มกำลัง
แต่ว่าตอนนี้ต้องเผชิญกับการโจมตีโดยราชันปีศาจอัคคีสองตัว สถานการณ์จึงพลิกเป็นอันตรายในพริบตา
ราชันปีศาจอัคคีสองตัวนี้ มีระดับพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์
ค่ายกลทะเลมรกตไร้ขีดจำกัดแม้จะแข็งแกร่ง แต่ว่าในตอนนี้ผู้ใช้กลับมิใช่เจ้าเมืองซ่งอู๋เลี่ยง เมื่อต้องเจอกับการรุมโจมตีจากราชันปีศาจระดับเดียวกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ แรงกดดันจึงพุ่งถึงขีดสุด
ทะเลเพลิงอันน่ากลัวกดทับทะเลมรกต หมายบดขยี้ค่ายกลยักษ์ด้วยพลังอันรุนแรง เหมือนแปลวเพลิงนับหมื่นสาย
ที่เมืองชั้นในของเมืองทะเลมรกตขณะนี้ คนที่ควบคุมค่ายกลยักษ์อยู่ก็คือผู้อาวุโสสูงสุดที่มีพลังฝึกปรือระดับมหาปรมาจารย์
เขาใช้พลังเต็มดำลัง เพื่อรักษาไม่ให้ค่ายกลถูกทำลาย
ถ้าหากศัตรูที่มาเป็นแค่ราชันปีศาจอัคคีตัวเดียว เช่นนั้นผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้น่าจะใช้ค่ายกลทะเลมรกตไร้ขีดจำกัดป้องกันไว้ได้
แต่ว่าราชันปีศาจอัคคีสองตัวลงมือพร้อมกันเช่นนี้ เกินกำลังของเขาแล้ว
ยังมียอดฝีมือระดับมหาปรมาจาย์ของเมืองทะเลตะวันออก แยกกันเป็นสี่ทาง คอยช่วยเหลือเขา
แต่ว่าสีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดท่านนั้นซีดขาว จากนั้นก็ค่อยๆ กลายสีแดงฉานผิดปกติ
หางตาและรูจมูกของเขา ถึงกับเริ่มมีเลือดไหลออกมา
บัดนี้เกาะมังกรบูรพาและเมืองทะเลมรกตเหนือทะเลตะวันออก ได้จมลงสู่ใต้ผิวน้ำทะเลโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือร่องรอยใดให้เห็นแล้ว
เหนือผิวน้ำทะเลไร้ท้องฟ้าที่มีแสงอาทิตย์เจิดจ้า ไม่มีแม้แต่ลมทะเลพัดโชย
ทั่วทั้งสี่ทิศคล้ายเปลี่ยนเป็นโลกแห่งเปลวไฟ ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง ทะเลกลายเป็นทะเลเพลิง เปลวไฟไร้ขอบเขตเผาไหม้อยู่กลางอากาศ
อุกกาบ่ตจำนวนมหาศาลพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ชนใส่ผิวทะเลพร้อมกันดุจดั่งวันสิ้นโลก
ลวดลายค่ายกลสีมรตขนาดยักษ์เหนือผิวทะเลทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดพลังทำลายอันน่ากลัวซึ่งเกิดจากอุกกาบาตไฟ
น้ำทะเลจำนวนมากระเหยเป็นไอ ผิวทะเลราวกลับกำลังถูกต้ม
ใต้ผิวทะเล กลางเมืองทะเลมรกตที่มีค่ายกลครอบคลุมอยู่ เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าเห็นลวดลายค่ายกลแตกสลายอย่างต่อเนื่อง ทะเลสีมรกตบนศีรษะเริ่มถูกฉีกเป็นรอยหลายรอย
มีเปลวไฟทะลุรอยฉีกเหล่านั้น พุ่งลงมาใส่กำแพงเมืองรอบนอก!
ยอดฝีมือหลายคนในเมืองทะเลมรกต พยายามแบ่งกันต้านทานอุกกาบาตที่กระจายหล่นลงมาเหล่านี้ เพื่อไม่ให้พวกมันทำลายสำนักของตนเอง
อาหู่พลันมีสีหน้าขื่นขม สายตามองไปยังเมืองส่วนใน “ยามนี้เจ้าเมืองซ่งยังไม่ออกฌานมาอีกหรือนี่”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ดูจากรูปการณ์แล้ว ทางเจ้าเมืองซ่งคงอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ถึงได้ปิดตายตัวเองจากสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะคิดเพิ่มพลังฝืกปรือของตัวเอง หรือกำลังสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ ตอนนี้คงปลีกตัวมาไม่ได้”
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนจะรวบรวมสติ พาอาหู่มุ่งไปยังทิศทางของเมืองส่วนใน
“หายนะของเมืองทะเลมรกตในครั้งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอเดินไปพลาง กล่าวไปพลาง “หากเจ้าเมืองซ่งไม่เข้าฌาน เขาคงจะมุ่งหน้าไปยังประตูที่เชื่อมกับโลกปีศาจอัคคี ที่ทะเลชั้นนอกทะเลตะวันออกตั้งแต่แรกแล้ว”
“ราชันปีศาจอัคคีสองตัวนั้นหายตัวไปอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ลอบโจมตีอย่างลับๆ ทำให้เมืองทะเลมรกตรับมือไม่ทัน จนต้องประสบกับหายนะครั้งใหญ่”
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจ “ตอนนี้เจ้าเมืองซ่งยังอยู่ที่นี่ แต่ว่าตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเช่นนี้ ไม่อยู่เสียยังจะดีกว่า”
อาหู่เอ่ยขึ้น “หากอยู่ด้านนอก ต่อให้เมืองทะเลมรกตถูกทำลาย ขอแค่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเขายังอยู่ เมืองทะเลมรกตก็ใช่ว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ครั้งนี้กลับเป็นไปได้ว่าจะถูกปีศาจอัคคีทำลายเสียแล้ว”
ชายหนุ่มนวดขมับของตนเองเบาๆ “แม้แต่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าเมืองซ่งจะออกมาในเวลานี้ ทางปีศาจอัคคียิ่งมิต้องพูดถึง”
“มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรก วิธีการซ่อนร่องรอยของปีศาจออัคคีอาจจะถูกจำกัด โดยมีขีดจำกัดด้านเวลาและระยะทาง ทำให้มันออกจากทะเลตะวันออกกับทะเลใต้เพื่อไปสำนักหอคลื่นโหมที่บึงพิภพบนแผ่นดินไม่ได้ ได้แต่โจมตีเมืองทะเลมรกตที่อยู่ใกล้”
“อย่างที่สอง ที่เมืองทะเลมรกตมีสิ่งของที่ปีศาจอัคคีต้องการ…”
เยี่ยนจ้าวเกอมองตำหนักอันยิ่งใหญ่เบื้องหน้า ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “เมืองทะเลมรกตใช้ของอันใดมาสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์กันแน่”
อาหู่ทำสีหน้าหนักใจ “คุณชาย เราจะทำอย่างไรกันดี”
“ใจเย็นก่อน” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว พลางเดินไปยังตำหนักใหญ่ จากนั้นก็เห็นมีคนเดินออกมาจากในตำหนักพอดี เป็นผู้อาวุโสของเมืองทะเลตะวันออก
นอกจากนั้นยังมีซ่งเฉา
ซ่งเฉาใบหน้าเคร่งขรึม “ศิษย์น้องเยี่ยน ขออภัยด้วย ครั้งนี้ลากเจ้ากับสำนักมาเกี่ยวข้องด้วยเสียแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “นี่เป็นสถานการณ์เหนือความคาดหมาย ไม่มีใครคาดถึง”
เขาทำความเคารพพวกผู้อาวุโสระดับสูงของเมืองทะเลมรกต ก่อนจะถามโดยไม่ได้สนใจพิธีรีตองมากนัก “เจ้าเมืองซ่งออกจากฌานไม่ได้หรือขอรับ”
ซ่งเฉามีสีหน้าลำบากยาก
ตอนนี้ทะเลสีเขียวมรกตเหนือเมืองทะเลมรกตยิ่งเปราะบางขึ้นเรื่อยๆ เปลวไฟทะลุค่ายกลพุ่งใส่ตรงที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่มากกว่าเดิม
ผู้อาวุโสเมืองทะเลตะวันออกผู้หนึ่งแค่นหัวเราะ พร้อมทั้งสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง กระแสน้ำเชี่ยวกรากพลันปรากฏขึ้น ยันต์วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นกลุ่มยันต์ ทับซ้อนกันกลายเป็นแท่นยันต์วิญญาณขวางอยู่กลางอากาศ ป้องกันไฟโหมนั้น
ทันทีทีแท่นยันต์ปะทะกับอุกกาบาต อุกกาบาตพลันแตกละเอียด แท่นยันต์ถูกทำลายในทันที น้ำทะเลโดยรอบเดือดเป็นไอน้ำสีขาว
สีหน้าของผู้อาวุโสแห่งเมืองทะเลมรกตทั้งหลายเครียดเกร็งยิ่งนัก
สถานการณ์อันตรายขึ้นแล้ว
ในตำหนักด้านหลังพวกเขา ผู้อาวุโสเมืองทะเลมกรตห้าคนกำลังฝืนตั้งรับอย่างเต็มที่
หลังจากแน่ใจแล้วว่าในซ่งอู๋เลี่ยงมิอาจออกฌานมาช่วยได้ทัน เยี่ยนจ้าวเกอก็อดระบายลมหายใจออกมาไม่ได้
“สถานการณ์ในตอนนี้ มีแรงกดดันจากค่ายกลทะเลมรกตมากเกินไป” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเสียงทุ้ม “ขออภัยด้วยที่ต้องกล่าวเช่นนี้ หลังจากผู้อื่นรู้สถานการณ์ที่นี่แล้ว จะส่งกำลังมาสนับสนุนทันที แต่ข้าว่าน่าจะไม่ทันกาล โดยเฉพาะที่ทะเลชั้นนอกตะวันออก พวกผู้คุมหอคลื่นโหมยังเตรียมป้องกันยอดฝีมือเผ่าปีศาจอัคตัวอื่นไม่ให้เข้ามาในมหาอำนาจแปดพิภพอยู่”
“ตามสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว”
พวกซ่งเฉาไม่ได้พูดอะไร รอฟังคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอเงียบๆ
แม้ว่าหลายเรื่องจะมีเพียงภายในเขากว่างเฉิงเท่านั้นที่รู้ แต่ผลการต่อสู้อันเฉิดฉายหลายครั้งที่ทุกคนรับทราบ ได้อธิบายแล้วว่ามิอาจนำระดับพลังฝึกปรือวรยุทธ์ในตอนนี้ของพวกเขา ไปวัดความสามารถของชายหนุ่มตรงหน้า
เยี่ยนจ้าวเกอมองตำหนักใหญ่ “วิธีการที่ดีที่สุดคือถ่วงเวลาให้เจ้าเมืองซ่ง ขอแค่เจ้าเมืองซ่งออกมา วิกฤติการณ์ตรงหน้าก็จะได้รับการถูกแก้ไขเอง”
“ยอดฝีมือปีศาจอัคคีที่มาโจมตีในครั้งนี้ มีราชันปีศาจอัคคีสองตัว ถ้าล่อพวกมันทั้งสองตัวได้จะเป็นการดีที่สุด แต่ถ้าหากล่อได้แค่ตัวเดียว เช่นนั้นค่ายกลทะเลมรกตไร้ขีดจำกัดน่าจะต้านอีกตัวไว้ได้”
ผู้อาวุโสเมืองทะเลมรกตท่านหนึ่งถอนใจ “อย่างมากทำได้เพียงก็ล่อปีศาจอัคคีระดับมหาปรมาจารย์ได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ล่อราชันปีศาจอัคคีคงไม่ได้”
เยี่ยนจ้าวเกอมองพวกซ่งเฉา นิ้วแตะที่อกของตนเอง “ส่งข้าออกไปนอกวงล้อม ข้าจะลองล่อราชันปีศาจอัคคีตัวหนึ่งดู”
เมื่อชายหนุ่มกล่าวออกไปเช่นนั้น ผู้คนโดยรอบพลันตะลึงตาค้าง