* * *
‘เจ้าชายอัสเทอโรพีห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาในพระราชวัง เพื่อให้พระชายาได้มีสมาธิกับการเรียนได้มากขึ้นครับ ตอนนี้เจ้าชายเรียนได้อย่างสบายพระทัยแล้วนะครับ’
อาเรียคิดถึงเรนที่จากไปพร้อมเสียงหัวเราะฮ่าๆ ราวกับเป็นเรื่องน่าดีใจเสียเต็มประดาแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาหาร
“สวัสดีครับ”
อาซที่มาถึงก่อนต้อนรับอาเรียอย่างที่ทำมาเสมอ พร้อมกับรอยยิ้มยินดีที่ได้พบเธอในที่สุด
“มาเร็วเชียวค่ะ”
“ผมทำให้เจ้าหญิงของผมรอไม่ได้หรอกครับ”
อาซตอบแล้วจูบแก้มอาเรียก่อนจะดึงเก้าอี้ออกให้เธอด้วยตัวเอง ที่จริงแล้วนี่เป็นหน้าที่ของมหาดเล็ก แต่อาซมักจะทำเช่นนี้เสมอจึงไม่มีใครคิดว่ามันแปลก
หลังจากอาเรียนั่งแล้วอาซจึงได้กลับไปยังที่ของตัวเองบ้าง จากนั้นมื้อเย็นก็เริ่มต้น
“ได้ยินว่าคุณสั่งห้ามคนเข้ามาในนี้หรือคะ”
อาเรียเอ่ยถามอาซระหว่างที่บรรดาคนรับใช้กำลังเสิร์ฟเครื่องดื่มก่อนมื้อเย็น เรนเล่นพูดเอะอะเสียขนาดนั้น เธอจึงไม่มีอะไรต้องปิดบังพวกเขา
อาซนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เรนบอกเขาแล้วตอบคำตอบที่เขาเตรียมมาล่วงหน้าออกไป
“ครับ ผมได้ยินว่าเจ้าหญิงกำลังตั้งใจจดจ่ออยู่กับการเรียน ผมปล่อยให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามารบกวนไม่ได้หรอกครับ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ไม่เห็นจำเป็นต้องสั่งห้ามทั้งหมดเลยนี่คะ”
“เป็นพระชายาไม่จำเป็นต้องพบเจอกับพวกชนชั้นสูงมากขนาดนั้นหรอกครับ ตอนนี้อาจจะยังพูดได้ว่าไม่เป็นไร แต่ต่อไปผมมั่นใจว่าพวกเขาจะกวนใจคุณแน่”
นี่อาซคิดว่าเธอยังดีไม่พอจริงๆ สินะ เพราะแบบนั้นถึงได้สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้ามาจนกว่าเธอจะเรียนรู้หน้าที่ของเธอจนหมด จู่ๆ เธอก็คิดถึงคำพูดของเรนขึ้นมา
‘เขาไม่อาจพูดตามที่ใจคิดได้แต่ความจริงคงกำลังอายที่ฉันยังไม่สามารถเรียนรู้มารยาทในวังได้อย่างสมบูรณ์แบบสินะ…’
อาเรียคิดแบบนั้นแล้วขมวดคิ้วอย่างนึกแปลกใจ เพราะเขาไม่มีทางเป็นแบบนี้
กับคนอื่นเธอไม่รู้แต่อาซไม่มีวันเป็นแบบนี้แน่นอน แค่มองหน้าเขาที่เธอได้เจอทุกวันก็รู้แล้ว
“เจ้าชายเองก็ยุ่ง… แล้วทำไมถึงมาใส่ใจเรื่องเล็กๆ พวกนี้ล่ะคะ”
“เล็กอะไรกันครับ เรื่องเกี่ยวกับพระชายาไม่มีเล็กหรือใหญ่หรอกครับ ทุกเรื่องสำคัญทั้งนั้น”
“…”
แค่มองสีหน้าที่ตอบมาอย่างจริงใจนั้นเธอก็รู้แล้ว อาซผู้จิตใจดีและช่างเอาใจใส่ของเธอจะมีความคิดดูหมิ่นคนอื่นอย่างนั้นได้อย่างไร
เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาเป็นความตั้งใจของเขาจริงๆ ใช่ไหม ตั้งใจกันคนพวกนั้นออกไปเพื่อช่วยให้เธอเรียนได้
เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้แล้วเธอก็ไม่จำเป็นต้องจับผิดอะไรอาซอีก อาเรียคิดได้แค่อย่างเดียวเท่านั้นนั่นคือเธอต้องทุ่มสุดตัวพยายามตั้งใจเรียนเพื่อเป็นการตอบแทนความรู้สึกของอาซ
“ขอบคุณนะคะ อาซ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ผมไม่อยากให้คุณทำจนเกินตัวนะครับ เพราะสำหรับผมแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเจ้าหญิงอีกแล้วครับ”
ดังนั้นความหวังของอาซคือขออย่าให้เธอทำอะไรเกินตัว ไม่ต้องตั้งใจเรียน และไม่ต้องไปสุงสิงหรือรับความรักจากใคร
ทว่าความจริงกลับตาลปัตรกับส่งที่อาซหวัง เพราะอาเรียเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเรียนทั้งวันทั้งคืนตามแผนหยอกเล่นของเรน
“…จำได้ทั้งหมดแล้วหรือครับ นี่พระชายาเรียนทั้งคืนเลยหรือครับ”
“ตายจริง พระชายาเรียนรู้มารยาทของราชวงศ์ได้รวดเร็วเพียงนี้ได้อย่างไรกันครับ…!”
“ประสงค์จะเรียนภาษาต่างประเทศหรือครับ จริงหรือครับ…”
เหล่าขุนนางที่มาสอนเธอต่างพากันตกใจ
“ได้ยินไหม ที่ว่าพระชายาตั้งใจเรียนรู้อย่างมาก”
“แน่นอน! ต้องได้ยินสิ! ว่ากันว่าคงแก่เรียนมากพอแล้วแต่ก็ยังตั้งใจร่ำเรียนอย่างหนักทั้งวันทั้งคืนเพราะประสงค์จะช่วยงานเจ้าชายอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้วล่ะ! และตอนนี้ยังเริ่มเรียนภาษาต่างประเทศเพราะประสงค์อยากรู้จักประเทศอันไกลโพ้นด้วยนะ!”
“พระเจ้า…”
“ตอนได้ยินข่าวลือก็คิดไม่ออกหรอก พอได้มาเจอจริงๆ ถึงได้รู้ว่ายอดเยี่ยมกว่าที่คิดจริงๆ”
“ฉันเห็นด้วย! พระชายาคงจะเหนื่อยล้าจากการเรียน ฉันต้องหาของหวานไปถวายแล้วล่ะ!”
“พูดอะไร นั่นมันหน้าที่ฉันต่างหาก”
นางกำนัลที่คอยติดตามอาเรียพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
“…เมื่อคืนนี้พระชายาก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน”
อาซวางปากกาลงพลางถอนหายใจแล้วพูดขึ้น สีหน้าของเขานั้นทั้งเจ็บปวดและเศร้าสร้อย อาเรียคงเอาแต่เรียนทั้งวันทั้งคืนอย่างที่พวกนางกำนัลพูดกันจริงๆ
เรนพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถก่อนจะเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ
“หากเป็นเช่นนี้เจ้าชายคงกังวลแย่เลยนะครับ”
“แน่นอน แต่ไม่ใช่กังวลหรอกนะ …ตอนกลางคืนพระชายาไม่ยอมมองหน้าฉันด้วยซ้ำ”
ทั้งที่ตอนนี้ยังเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามันแต่เธอกลับไม่ยอมมองเขาตอนกลางคืน แม้จะไม่พูดออกมาโดยตรงแต่ในคำพูดนั้นมีความโศกเศร้าแฝงอยู่
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพระชายาถึงตั้งใจมากขนาดนี้”
“ลองคุยกันดูหรือยังครับ”
“คุยแล้ว แต่ทุกครั้งพระชายาก็บอกแต่ว่าอยากปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพระชายาในเจ้าชายให้ดีที่สุด”
“…”
มันสนุกขนาดนี้ได้อย่างไรกัน เรนกำมือแน่นเพราะคนทั้งสองที่ไปกันคนละทิศละทางมากกว่าที่เขาคิด ที่ต้องกำมือก็เพื่อกันตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นมาเต้นนั่นเอง
เขาควรบอกความจริงไปเลยดีหรือไม่ ไม่สิ หากบอกความจริงไปเขาคงตายไม่เหลือซาก เพราะฉะนั้นหาทางแก้ให้จะดีกว่า
แต่เมื่อมาลองคิดดูแล้ว ปล่อยให้อาซร้อนใจต่อไปอีกสักไม่กี่วันก็ไม่เลว เพราะเขาไม่น่าจะมีโอกาสให้ทำอย่างนี้อีกแล้ว
เขากำลังคิดเช่นนั้นแต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ตอนนั้นเขาถึงได้สติ อาซจ้องมองเรนไม่วางตา
“คิดอะไรอยู่ถึงได้ทำหน้าเครียดขนาดนั้น”
“…เอ่อ อ้อ… คิดว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีน่ะครับ”
“อย่างนั้นหรือ แล้วคิดอะไรออกบ้าง”
“ยะ ยังครับ ยังคิดไม่ออกเลย… อยากให้ผมไปดูพระชายาให้ไหมครับ”
“…”
คำถามนั้นทำให้อาซหรี่ตาลงอีกครั้ง ประสบการณ์ที่ผ่านมาและสัญชาตญาณของเรนทำให้เขารู้ได้ทันทีว่ามันหมายถึงอะไร สายตานั้นหมายความว่าอาซกำลังสงสัย ‘อันตรายแล้ว’
“เอาเถอะ ก็ดี ฉันได้รู้ข่าวคราวของพระชายาระหว่างที่ยุ่งอยู่แบบนี้ก็เพราะเจ้า ไปเถอะ”
ทว่าสัญญาณเตือนที่แสนน่ากลัวสำหรับเรนกลับหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่ออาซคลายสีหน้าลงและพูดออกมาราวกับเชื่อใจเขา แล้วแบบนี้เขาควรจะทำตัวอย่างไรดี
แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้อาซก็สงสัยเขาแล้วดังนั้นสถานการณ์ก็ยังอันตรายอยู่ดี เรนบอกว่าเขาจะรีบหาทางแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนจะออกมาจากห้องทำงานของอาซแล้วไปหาอาเรียซึ่งกำลังเรียนอยู่มาสักพักหนึ่งแล้ว
“วันนี้ก็มาอีกแล้วนะคะ”
เรนได้พบกับอาเรียที่ปิดหนังสือลงพอดีราวกับเพิ่งเรียนเสร็จ ตอนนี้เรนมาหาเธอจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน อาเรียจึงกล่าวทักทายเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ผมมีเรื่องจะแจ้งครับ”
“บอกมาได้เลยค่ะ”
อาเรียขุนนางที่สอนอาเรียกล่าวลาออกไปแล้ว ตอนนี้รอบข้างพวกเขานอกจากบรรดานางกำนัลที่ยืนคอยรับใช้อยู่ไกลออกไปแล้วก็ไม่มีใครอีก เมื่อแน่ใจแล้วเรนก็ยืนยันกับเธอให้เธอเลิกหมกมุ่นกับการเรียนและละเลยอาซได้แล้ว
“พูดอะไรกันคะ ก็คุณบอกว่าอาซส่งคุณมาเพื่อคอยดูว่าฉันทำได้ดีไหม มีปัญหาอะไรหรือเปล่าไม่ใช่หรือคะ คุณต้องคอยมาดูฉันและกลับไปรายงานทุกชั่วโมงด้วย”
“เป็นเช่นนั้นจริงครับ… แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ”
“ไม่เป็นไรแล้วหรือคะ”
เพราะตอนนี้อาซว้าวุ่นมามากพอแล้ว ‘และเพราะผมกำลังจะโดนจับได้แล้วครับ’ ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าตอนจบที่ถูกจับได้อีกแล้วล่ะ ดังนั้นเขาต้องทำเนียนให้เหมือนตัวเองช่วยทำให้ทั้งสองกลับมารักกันดีอย่างเร็วที่สุด
“ผมหมายความว่าพระชายาดีพอที่เจ้าชายอัสเทอโรพีไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอีกต่อไปแล้วน่ะครับ เพราะฉะนั้นพอแค่นี้…”
‘จะดีกว่าไหมครับ’ ขณะที่เขากำลังจะถามคำนี้นั้น
“เจ้านี่เอง”
เสียงของทูตผู้ส่งสารแห่งความตายก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เรนตัวแข็งทื่อ
“อาซเหรอคะ คุณยุ่งอยู่แล้วทำไมถึงมาที่นี่ได้…”
เรนหน้าแหยทันทีเมื่ออาเรียช่วยยืนยันชื่อผู้มาเยือนด้วยตัวเอง มันเป็นเพียงการหยอกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ก็จริงแต่ราคาที่เรนต้องจ่ายให้ความผิดในครั้งนี้นั้นหนักหนาไม่เป็นสองรองโทษประหารเลยทีเดียว
“เจ้านี่เองที่คอยยุแยงตะแคงรั่วระหว่างฉันกับพระชายา”
“หมายความว่าอะไรกันคะ”
อาเรียเอ่ยถามตาโตด้วยความตกใจ สีหน้าของเธอบอกชัดเจนว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ นั่นทำให้อาซหันสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองมาหาเรนและกดดันให้เขาสารภาพความผิดทันที
“สนุกใช่ไหมล่ะทำให้ฉันร้อนใจแบบนี้”
“มะ ไม่ใช่อย่างนั้น…!”
ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นล่ะ การได้เห็นอาซร้อนใจจนนั่งไม่ติดทำให้เรนสนุกมากทีเดียว ชอบเสียจนหากทำได้เขาก็อยากจับอาซสตัฟฟ์ไว้แล้วเอามาตั้งในห้องนอน ทุกครั้งที่รู้สึกเศร้าเขาจะมองอาซแล้วปรบมือหัวเราะ
แต่แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าโทษของการดูหมิ่นพระราชวงศ์อาจทำให้เขาต้องกลายเป็นน้ำค้างในลานประหารได้ เขาจึงต้องรีบหาข้อแก้ตัว ข้อแก้ตัวเพื่อให้ตัวเองไม่ตาย
ข้อแก้ตัวที่จะบอกได้ว่าเขาไม่ได้คิดจะทำให้ทั้งสองแยกกันแต่ตั้งใจจะให้รักกันต่างหาก เรนคิดหาข้อแก้ต่างอย่างเอาเป็นเอาตายก่อนจะคิดอะไรได้
ความคิดที่ว่าเขาสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้แม้จะไม่ได้รับคำชมก็ตาม
“ผะ ผมก็แค่ แค่พยายามหาวิธีแก้ไขเพราะเห็นว่าเจ้าชายอัสเทอโรพีอิจฉาคนทุกคนที่ได้เข้าใกล้พระชายาเท่านั้นเองครับ! อิจฉากระทั่งบรรดาท่านหญิงที่ได้มาเข้าเฝ้าและพูดคุยกับพระชายาด้วยซ้ำมิใช่หรือครับ!”
เพราะแบบนั้นอาซถึงทำอะไรสุดโต่งจนอาจทำให้ถูกต่อว่าว่าทำตัวเป็นเด็กเล็กได้อย่างการสั่งห้ามคนเข้าพระราชวังนั่นเอง คำสารภาพแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาอาซเป็นอันต้องขมวดคิ้วมุ่น
“อะไรนะ! นี่เจ้า…!”
เขาดูเหมือนจะพูดต่อว่า ‘นี่เจ้าอยากตายหรือไง’ เรนจึงรีบพูดแทรกทันที
“ก็เจ้าชาย… ละเลยราชกิจมากเกินไป เอาแต่คิดถึงพระชายาอย่างเดียว ผมจึงอยากช่วยแต่ผลมันดันออกมาไม่ดีเท่านั้นเองครับ…!”
เรนตะโกนออกมาแบบนั้นแล้วส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปหาอาเรีย สายตาของเขากำลังร้องประท้วงว่าอาซเอาแต่คิดถึงอาเรียจนแปลงร่างเป็นปีศาจแห่งความริษยาทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น
อาเรียซึ่งตาโตด้วยความตกใจและกะพริบตาปริบๆ อยู่หลายครั้งกลับมามีสีหน้าดังเดิมในเวลาไม่นานก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ
“ถึงกับละทิ้งราชกิจเชียว คิดอะไรอยู่คะ อาซ”
เธอดูเหมือนจะชอบใจ ย่อมต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ในเมื่อเขาถึงขั้นอิจฉากระทั่งบรรดาเลดี้ที่มาหาเธอที่พระราชวังขนาดนี้ แล้วเธอจะไม่ชอบใจได้อย่างไร
“…”
อาซที่เคยทำท่าเหมือนจะเอ็ดตะโรใส่เรนอยู่ทุกเมื่อได้แต่ปิดปากฉับ เรนฉวยโอกาสนี้ค่อยๆ ถอยหลังไปช้าๆ อย่างเงียบเชียบ นี่คือโอกาสทองสำหรับการหลบหนี
“คุณจะไปอิจฉาอะไรกับเลดี้พวกนั้นล่ะ… วันหนึ่งฉันคุยกับพวกเธอแค่หนึ่งหรือสองชั่วโมงและเรื่องทั้งหมดที่คุยก็เพื่ออาซทั้งนั้น”
อาเรียพูดอย่างต้องการหยอกล้อ นั่นทำให้ภาพลักษณ์โกรธขึ้งเป็นฟืนเป็นไฟหายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือไว้เพียงอาซที่หูแดงเพราะความเขินอาย
“ปากก็บอกว่ายุ่งแต่กลับเดินออกมาจากห้องทำงานแบบนี้… คุณคิดจะทำอะไรหรือคะ”
อาเรียมองหูแดงๆ ของอาซเพราะคิดว่ามันช่างน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน อาซได้แต่เสหลบสายตาเธอทั้งยังพูดอะไรไม่ออกเพราะระเบิดที่เรนทิ้งไว้อย่างไม่คาดคิดก่อนหลบหนีหายไป
การที่เขาสั่งห้ามไม่ให้ผู้มาเยือนเข้าพระราชวังเพราะอิจฉาบรรดาท่านหญิงถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติยศและยิ่งน่าขายหน้าจนไม่อาจพรรณนาได้เมื่อมันถูกเปิดเผย ทว่า
“ขอแค่คุณบอกมาตามตรงว่าคิดถึงฉัน ว่าที่ทำแบบนั้นเพราะอิจฉา… ฉันก็จะเลื่อนงานทั้งหมดออกไปและไปอยู่ข้างคุณทั้งวันค่ะ”
คำพูดต่อมาของอาเรียทำให้อาซเบิกตาโต
“หมายความว่ายังไงครับ…”
“หมายความว่าฉันเองก็ไม่เต็มใจจะอยู่ห่างอาซเช่นกันค่ะ ถ้าทำได้ฉันอยากเปลี่ยนหน้าที่ไปเป็นนายทหารสามารถอยู่เคียงข้างอาซได้ตลอดทั้งวันด้วยซ้ำค่ะ”
อาเรียชี้แจงแถลงไขด้วยตัวเองพลางลูบไล้ใบหูแดงๆ ของอาซ ไม่ว่าจะมองเมื่อไรก็ช่างน่ารักเสียจนอาเรียเขย่งปลายเท้าขึ้นไปจุมพิตชิดริมหู
“เจ้าหญิงของผม…”
อาซรวบเอวอาเรียเข้าหาตัวราวกับทนไม่ได้อีกต่อไป ก่อนจะพรมจูบลงบนเรือนผมเธอ บรรยากาศในตอนนี้นั้นถือว่าไม่แปลกเลยหากเขาจะกดเธอลงบนโต๊ะเสียเดี๋ยวนี้ เพราะการหยอกเล่นซุกซนของเรนไม่ได้หลงเหลืออยู่ระหว่างคนสองคนอีกแล้ว
“ฉันมีเรื่องอยากขออาซค่ะ”
ทั้งสองโอบกอดกันอยู่เป็นเวลายาวนานก่อนที่อยู่ๆ อาเรียจะเอ่ยปากออกมา
“ไม่ว่าจะขออะไรก็บอกมาเถอะครับ ต่อให้ต้องขายจักรวรรดิผมก็จะหามาให้”
“ฉันหวังสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้หรอกค่ะ แค่สิ่งเล็กๆ เท่านั้นเอง”
ไม่ว่าจะหลงสาวอย่างหน้ามืดตามัวเพียงใดแต่ถึงขั้นบอกว่าจะขายจักรวรรดิก็ทำเอาบรรดามหาดเล็กที่ยืนประจำการอยู่อดสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน
“ก็อย่างที่ฉันเรียกชื่ออาซ… ฉันอยากให้อาซเรียกชื่อฉันเหมือนกันค่ะ เรียกว่าเจ้าหญิงหรือพระชายาก็ไม่แย่แต่ว่า… พอเทียบกับเมื่อก่อนที่อาซเรียกฉันว่าอาเรียแล้วฉันรู้สึกเหมือนมีกำแพงมากั้นระหว่างเราน่ะค่ะ”
นี่เป็นคำขอที่แสนน่ารักไม่ใช่หรือไร อาซกัดริมฝีปากล่างของตัวเองราวกับไม่อาจจัดการกับความน่ารักของอาเรียได้ เขากำมือข้างที่รวบเอวอาเรียไว้แน่นขึ้น
ท่าทางที่ดูเหมือนพร้อมจะละทิ้งงานทุกอย่างในวันนี้แล้วย้ายไปบ้านพักกลางป่าในทันทีของเขาทำให้อาเรียรีบเอ่ยปากขอไปอีกอย่าง
“ทุกอย่าง ผมจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการครับ”
“คุณต้องลงโทษนักโทษที่หนีไปให้ได้นะคะ”
“…อ้อ นั่นสินะครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะตอบแทนให้เจ้านั่น ‘อย่างสาสม’ เลยทีเดียว”
แม้ความเข้าใจผิดทุกอย่างจะคลี่คลายลงไปแล้ว แต่เรนก็ยังเป็นตัวการที่กวนใจอาเรียกับอาซมาหลายวันอยู่ดี เขาจะปล่อยเรนไปเฉยๆ ไม่ได้
“ผมจะลงโทษเขาแน่ครับ” อาซตอบก่อนจะกดจูบลงบนแก้มอาเรียแล้วถามเธอเสียงเบา
“เรื่องนั้นผมจะเป็นคนจัดการเอง แต่ตอนนี้เราไปบ้านพักกันก่อนดีไหมครับ ถ้าไม่ได้ไปตอนนี้ผมคงเป็นบ้าตาย”
อาเรียเองก็เช่นกัน เพราะแผนร้ายของเรนทำให้เธอต้องเสียเวลาที่จะได้อยู่กับอาซไปให้การเรียนจนหมด
แววตาอาเรียสั่นไหวน้อยๆ ก่อนที่เธอจะพยักหน้าเงียบๆ เห็นดังนั้นอาซจึงบอกให้คนรับใช้ทั้งหมดออกไปทันที
หลังจากบรรดาคนรับใช้ทั้งหญิงชายที่ต่างก็หน้าแดงปิดประตูออกไป อาซกับอาเรียก็หายไปทันทีราวกับพวกเขากำลังรอคอย
………………..