ในระหว่างที่อาเรียกำลังปรับตัวให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่นั้น เจสซี่และแอนนี่ที่ตามเธอเข้าราชวังมาเองก็ต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน
เนื่องจากมารยาทภายในราชวังนั้นระดับแตกต่างจากตระกูลเคานต์ โรสเซนต์
ด้วยงานของเคานต์ ตระกูลโรสเซนต์ จึงมีตระกูลขุนนางจำนวนมากเข้าๆ ออกๆ คฤหาสน์เป็นประจำ ทำให้คนรับใช้หรือเมื่อเทียบกับตระกูลเคานต์อื่นๆ แล้วถือว่าได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี แต่มารยาทภายในวังนั้นยากและซับซ้อนจนเทียบไม่ติด
เจสซี่และแอนนี่จึงต้องใช้เวลาเรียนรู้มารยาทใหม่ๆ ทั้งวันทั้งคืนด้วยความตั้งใจแน่วแน่
แต่ทว่า
“เจสซี่ เธอว่าชุดนี้เป็นยังไง”
แอนนี่ถามพลางจับชายกระโปรงชุดเดรสของตัวเองที่เพิ่งซื้อมาใหม่ พร้อมกับหมุนไปรอบๆ ด้วยลูกไม้และจีบกระโปรงอันประณีต ทำให้แม้มองด้วยตาข้างเดียวก็รู้สึกได้ว่าเป็นชุดราคาแพงและมีเพียงเหล่าขุนนางชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะใส่ได้
ทำไมเธอถึงซื้อชุดแพงๆ แบบนั้นมา ไม่สิ ทำไมเธอถึงมาอวดชุดแบบนั้นกัน เจสซี่ขมวดคิ้วเบาๆ
“…เอ่อ มันไม่นั่นไปหน่อยเหรอ…”
“ทำไม อะไร ตรงไหน แปลกเหรอ”
“เปล่า แทนที่จะบอกว่าแปลกน่ะ… ฉันว่ามัน… มากเกินไปหน่อยไม่ใช่เหรอ แล้วเราก็ไม่ใช่ขุนนางเสียหน่อย…”
เธอเป็นอย่างมากก็แค่สาวใช้เองนะ เธอใส่ชุดแบบนั้น แล้วจะทำงานได้อย่างไร
พอเจสซี่ตอบกลับ คราวนี้แอนนี่เป็นฝ่ายที่ขมวดคิ้วเสียเอง ใบหน้าของเธอบ่งบอกว่าเจสซี่พูดอะไรไร้สาระ
“พูดอะไรของเธอ นี่เราเป็นสาวใช้ของใครกันล่ะ เราเป็นถึงสาวใช้ของพระชายาเลยไม่ใช่เหรอ”
“นั่นมันก็ใช่ แต่ว่า…”
“แถมพวกเราไม่ใช้สาวใช้ที่คอยทำพวกงานเล็กงานน้อย เราเป็นถึงสาวใช้ผู้ใกล้ชิดกับเลดี้ ไม่สิ เจ้าหญิงนะ พวกเราก็ต้องใส่ชุดประมาณนี้ไม่ใช่หรือไง”
เจสซี่ปิดปากเงียบ ไม่สามารถตอบอะไรกลับแอนนี่ได้
เธอพูดถูกแล้ว พวกเธอไม่จำเป็นต้องใส่ชุดเครื่องแบบสาวใช้ เพราะพวกเธอไม่ใช่สาวใช้ทั่วไปเหมือนคนอื่นๆ แต่เป็นสาวใช้คนสนิทที่สุดที่อาเรียพามายังราชวัง เนื่องจากพวกเธอไม่ได้ต้องทำความสะอาดหรือคอยเสิร์ฟอาหาร
เรื่องนั้นไม่ใช่แค่เพราะอาเรียเป็นเจ้าหญิง แต่บรรดาขุนนางหญิงที่มีสาวใช้คนโปรดทุกคนต่างก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ขุนนางหญิงบางคนก็แต่งตัวให้สาวใช้คู่ใจเหมือนกับแต่งให้ตัวเอง เพื่ออวดความรักใคร่และความมั่งคั่งร่ำรวย
และนั่นก็คือเจสซี่และแอนนี่ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากอาเรีย และมีห้องเป็นของตัวเองแตกต่างจากสาวใช้คนอื่นๆ ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกถ้าพวกเธอจะใส่ชุดเดรสอย่างที่พวกขุนนางใส่กัน
ยิ่งไปกว่านั้น
“ชุดเดรสนี้น่ะ ซื้อโดยที่ได้รับอนุญาตจากเลดี้ ไม่สิ เจ้าหญิงแล้ว!”
“จากเจ้าหญิงหรือ…”
“ก็ใช่น่ะสิ! แถมเจ้าหญิงยังจ่ายให้หมดเลยด้วย แล้วฉันจะฝืนใจตัวเองไปทำไมในเมื่อท่านอนุญาตให้ฉันแต่งแบบนี้แล้วน่ะ”
“…”
เมื่อแอนนี่บอกว่ามันเป็นชุดที่อาเรียเป็นคนอนุญาตด้วยตัวเอง เจสซี่ก็ไม่สามารถติเตียนอะไรได้อีกต่อไป เจสซี่จีงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แล้วมองชุดเดรสของแอนนี่พลางปิดปากเงียบ สายตานั้นก็ยังคงเป็นสายตาที่รู้สึกว่าเดรสของแอนนี่ดูมากเกินไปอยู่ดี
แอนนี่กลับมามีสีหน้าสดใสอีกครั้งหลังจากที่เจสซี่ไม่ได้เถียงอะไรกลับมาอีกต่อไป เธอมองดูตัวเองในกระจกพลางจัดแจงชุด ก่อนจะปรบมือของเธอ ราวกับว่าเธอนึกอะไรขึ้นมาได้
“จะว่าไปแล้ว มันมีส่วนของเธอด้วยนี่นา! ลืมไปเสียสนิทเลย!”
“…ส่วนของฉันหรือ”
“ใช่แล้ว ชุดเดรสส่วนของเธอ พอได้รับอนุญาตจากเจ้าหญิงแล้ว ฉันก็สั่งซื้อเอาไว้ตามใจตัวเองไปน่ะ เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงจะบอกว่าไม่เอาอยู่ดี”
แอนนี่พูดเช่นนี้ แล้วหยิบชุดเดรสที่เธอเก็บเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าออกมา ชุดเดรสนั้นเป็นชุดหรูหราราคาแพงและแพรวพราวไม่น้อยหน้าชุดที่แอนนี่ใส่อยู่
“…ชุดนั้นเป็นของฉันจริงๆ เหรอ”
“ใช่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบใส่แบบไหน ก็เลยเลือกๆ มาสักชุดน่ะ ชุดแบบนี้กำลังฮิตกันอยู่เลยนะ”
แอนนี่พูดพลางยกชุดขึ้นมาโชว์อย่างภาคภูมิใจ
ฉันจะไปใส่อะไรแบบนั้นได้อย่างไรกัน เหงื่อเย็นๆ ชุ่มหลังของเธอไปเป็นที่เรียบร้อย
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยใส่ชุดเดรสหรูหราแบบนั้น เธอเคยใส่ไปพิธีสมรสของอาเรีย
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น ในพิธีสมรสของอาเรีย ไม่ว่าเธอจะแต่งตัวไปมากขนาดไหน ก็ไม่ได้เป็นที่สะดุดตา เพราะทุกคนในงานต่างก็แต่งตัวหรูหรากันอยู่แล้ว เธอจึงไม่ค่อยรู้สึกหนักใจเท่าไรนัก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น
เธออาจจะโดนก่นด่าว่าเธอไม่เจียมตัว แถมยังดูดีแค่เปลือกนอก ข่าวลืออาจจะแพร่ออกไปว่าเธอเป็นสาวใช้ชั่วๆ ที่เอาแต่ผลาญทรัพย์สินของเจ้าหญิง
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงอีก มันไม่มีอะไรเกินไปกว่าการที่เธอทำตัวเสแสร้ง ดูดีแค่เปลือกนอกโดยที่เธอไม่เจียมกะลาหัวของตัวเอง
เพราะอย่างนั้นเจสซี่จึงไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะใส่ชุดที่แอนนี่ซื้อมาด้วยเงินของอาเรีย ซึ่งต่างจากแอนนี่
“…ฉันใส่ชุดนี้ไม่ได้หรอก”
เจสซี่พูดออกไปเช่นนั้น เธอจึงคิดว่าแอนนี่น่าจะโต้เถียงอะไรกลับมา แต่แอนนี่กลับพยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้วอย่างว่าง่าย แล้วรีบแต่งตัวจัดแจงเครื่องประดับที่หูและศีรษะของเธอ เธอคงจะไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
“รู้อยู่แล้วล่ะว่าเธอจะต้องพูดแบบนั้น ถ้าฉันซื้อของฉันแค่คนเดียวมันก็คงจะอย่างไรชอบกล ก็เลยขอส่วนแบ่งของเธอมาด้วยก็เท่านั้นเอง เพราะเธอก็ไม่ได้อยากได้อะไรพวกนี้อยู่แล้ว”
“…”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอชุดเดรสของเธอด้วยได้ไหม ความจริงฉันเลือกชุดที่ฉันชอบมาน่ะ”
“…ได้สิ”
แอนนี่บอกว่าเจสซี่ได้ผลักโชคของตัวเองออกไปเองนะ ก่อนจะทิ้งท้ายคำพูดไว้ แล้วฮัมเพลงไปพลางติดกิ๊บ ราวกับว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นกับตัวของเธอในกระจก
เจสซี่มองดูแอนนี่ด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ
* * *
เจสซี่และแอนนี่อยู่แยกห่างจากอาเรีย ถึงแม้พวกเธอจะเป็นสาวใช้คนสนิทที่สุดของเจ้าหญิง เพราะช่วงนี้อาเรียค่อนข้างยุ่ง
ตั้งแต่เข้าวังมา อาเรียก็ต้องทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทำให้เจสซี่และแอนนี่ไม่สามารถตามติดเธอได้
แน่นอนว่าตอนแรกพวกเธอก็ตามติดหลังอาเรีย แต่เธอต้องการแค่สาวใช้ไม่กี่คนที่ทำงานบ้านและอาเรียก็ไม่ได้ต้องการเพื่อนคุย เจสซี่และแอนนี่จึงถูกกันออกไปโดยปริยาย
และอาเรียยังคิดว่าพวกเธอไม่จำเป็นจะต้องฝืนมาตามเธอ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเธอก็จะต้องมายืนอยู่เฉยๆ โดยไม่มีอะไรทำ แต่อาเรียกลับแนะนำให้พวกเธอเอาเวลานั้นไปเตรียมตัวสำหรับเรื่องต่างๆ ในอนาคตเสียดีกว่า
เพราะอาเรียอยากให้เจสซี่และแอนนี่รีบแต่งงานไวๆ เหมือนกับตัวเอง ทั้งที่ในตอนแรกพวกเธอสามารถแต่งงานก่อนอาเรียได้ แต่พวกเธอกลับบอกว่าพวกเธอแต่งงานก่อนเจ้านายของตัวเองไม่ได้ ทำให้วัยแต่งงานของพวกเธอล่าช้า
ดังนั้นเมื่อพวกเธอไม่สามารถคอยตามติดอาเรีย เจสซี่และแอนนี่ที่มีเวลาว่างเหลือเฟือจึงใช้เวลานั้นพบปะกับฮานส์และเวอร์บูมตามคำขอของอาเรีย พลางเดินเล่นรอบๆ ราชวัง
มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการในฐานะสาวใช้ สาวใช้บางคนเข้าใจผิดและโค้งคำนับให้เมื่อเห็นแอนนี่ที่ใส่ชุดหรูหราอย่างสุภาพ แต่ไม่ได้โค้งให้เจสซี่ที่แต่งตัวธรรมดา
“…เธอเห็นไหม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมานั่งดื่มน้ำชาอย่างสบายใจเฉิบในเวลาแบบนี้… ฉันว่าคงจะมีเหล่าขุนนางมาอีกล่ะมั้ง”
สาวใช้คนหนึ่งถามเช่นนั้นเมื่อเห็นแอนนี่และเจสซี่นั่งดื่มชาอยู่ริมระเบียงห้องของพวกเธอ
สาวใช้อีกคนหนึ่งที่ทำความสะอาดด้วยกันก็กระซิบเบาๆ ราวกับว่ามันเป็นความลับสุดยอด
“ฉันสงสัยเลยลองไปถามมาดูน่ะ ได้ยินมาว่าพวกเธอได้รับอนุญาตจากเจ้าหญิงโดยตรงเลยนะ”
“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ได้ยินมาว่าพวกชุดเดรสและเครื่องประดับต่างๆ เจ้าหญิงก็เป็นคนจ่ายให้หมดเลยใช่ไหม”
“ตายจริง ไม่มีความละอายใจกันบ้างเลย “ถ้าเป็นขุนนางจริงๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่พวกเธอเป็นสามัญชนไม่ใช่หรือ
“ขุนนางหรือ พูดอะไรบ้าๆ ! พวกเธอก็เป็นแค่สามัญชนในหมู่สามัญชนนั่นแหละ เป็นสามัญชนที่ได้เจ้านายใจดีล่ะนะ”
“อย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าคนที่ได้เลื่อนสถานะตัวเองคงจะไม่ใช่เจ้าหญิง แต่เป็นพวกสาวใช้สินะ”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ล่ะ เจ้าหญิงท่านใจดีและมีเมตตา ก็เลยคงจะทำเช่นนั้น แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเธอจะไม่เจียมกะลาหัวตัวเอง แล้วทำเรื่องอะไรแบบนั้นได้น่ะ”
“จริง เธอพูดถูก พวกเธอทำเกินสถานะตัวเองไปจริงๆ”
“ยังไงๆ พวกเธอก็คงจะทำแบบนั้นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว หลอกล่อเจ้าหญิงที่ยังเป็นเด็กอายุน้อยด้วยคำพูดประจบประแจงน่ะ”
ความจริงแล้วเรื่องมันตรงกันข้าม แต่อาเรียในตอนนี้ไม่มีภาพลักษณ์เช่นนั้น เหล่าสาวใช้ที่ทำความสะอาดอยู่จึงเข้าใจผิดและคิดสรุปกันไปเอง พลางใส่ร้ายป้ายสีแอนนี่และเจสซี่
พวกเธอไม่จำเป็นต้องปิดปากเงียบ ยกเว้นเสียแต่พวกนั้นเป็นขุนนาง และไม่ใช่แค่เหล่าสาวใช้เท่านั้นที่รู้สึกไม่พอใจเจสซี่และแอนนี่
ขุนนางที่ถูกจ้างมาเป็นอาจารย์รั้งอาเรียที่กำลังจะลุกออกจากที่นั่งหลังจบคลาสเรียนไว้
“คือว่าเจ้าหญิงครับ หากไม่เป็นการเสียมารยาท กระผมมีคำถามอยากถามเจ้าหญิงหน่อยครับ”
เขาเป็นขุนนางหนุ่มที่อายุน้อยทีเดียว
“อะไรหรือคะ”
“กระผมได้ยินมาว่ามีสาวใช้ที่เจ้าหญิงพามาเองจากนอกวัง แต่กระผมคิดว่ากระผมยังไม่เคยเห็นพวกเธอเลยน่ะครับ”
เมื่อขุนนางถามเช่นนั้นด้วยความที่เขาได้ยินมาแค่ข่าวลือ อาเรียก็ตอบกลับไปราวกับคิดว่าเขาถามอะไรแปลกๆ
“…ค่ะ มีสิคะ ฉันสั่งให้พวกเธอทำตัวตามอิสระ เพราะฉันไม่จำเป็นต้องให้พวกเธอตามมาด้วยในขณะที่เรียนอยู่น่ะค่ะ”
“อ๋อ อย่างนั้นเองสินะครับ”
ขุนนางตอบกลับเช่นนั้นด้วยสีหน้าคงความสงสัย
สีหน้าของอาเรียที่มองดูเขาอยู่ก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความสงสัยว่าทำไมเขาถึงสนใจสาวใช้ของเธอ ไม่ใช่คนอื่น
“ทำไมถามอย่างนั้นหรือคะ สาวใช้ของฉันไปก่อเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
สีหน้าของอาเรียที่ถามออกไปเช่นนั้นดูเย็นชาเสียเหลือเกิน ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณที่ความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับอาซที่เกิดขึ้นภายใต้การนำของเรนได้แก้ไขแล้ว
“อ๋อ ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรครับ กระผมแค่สงสัยว่าทำไมเจ้าหญิงถึงมีสาวใช้ที่พาเข้ามาในวังด้วยตัวเองมาด้วยเฉยๆ น่ะครับ”
ขุนนางไม่รู้ว่าอาเรียจะแสดงท่าทีเช่นนั้น จึงรีบปัดมือแก้ตัว ดูเหมือนเขาจะรู้ตัวแล้วว่าตัวเองถามคำถามที่เกินสถานะของตัวเองไป เพราะอาเรียใจดีกับเขามาตลอด
เขามีแผนลับอะไรอยู่กันแน่นะ
“อย่างนั้นสินะคะ ถ้าไม่ได้คำตอบที่ไขข้อสงสัยของคำถามได้ มันก็จะค่อยๆ สั่งสมจนกลายเป็นพิษเอานะคะ”
อาเรียพูดพลางมอบรอยยิ้มอันสดใสและอ่อนโยนให้ท่าทีตอบโต้รุนแรงนั่น ราวกับว่าไม่เคยทำสีหน้าเย็นชามาก่อน สีหน้าของเธอดูเหมือนกับว่าเธอพร้อมจะให้อภัยทุกๆ อย่างไม่ว่าเรื่องไหน
ทันใดนั้นขุนนางที่ไม่อาจล่วงรู้ความหมายของรอยยิ้มอันงดงามที่ซ่อนพิษที่ต้องการล่วงรู้ความจริงก็คิดเสียว่าสีหน้าของอาเรียเป็นภาพลวงตาและหัวเราะตามเธอ
“แต่ว่าถ้าถึงขนาดที่คุณถามฉันแล้วนี่ ก็คงไปได้ยินเรื่องอะไรมาจากสักที่สินะคะ”
อาเรียเอ่ยปากพูดเช่นนั้น แล้วพิจารณาสีหน้าของขุนนาง ก่อนจะพูดต่อ เขาไม่ได้ดูเป็นคนกล้าหาญ เธอจึงพยายามพูดไม่ได้ให้หนีไปเสียก่อนด้วยความกลัว
“ฉันไม่ได้เจอพวกเธอมาประมาณเดือนหนึ่งได้แล้ว ช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรกับพวกเธอหรือเปล่าคะ”
อาเรียจึงถามให้ดูเหมือนกับว่าเธอไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับพวกเธอมากนัก การกระทำนั้นแฝงไปด้วยความหมายที่ว่าในเมื่อเธอไม่ได้ใส่ใจพวกสาวใช้มากนัก เธอจึงอยากให้เขาบอกทุกเรื่องแก่เธอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
“ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งเดือนเลยหรือครับ”
“ค่ะ แทบไม่ได้เจอเลยหลังจากเข้ามาในวัง แล้วก็ยังมีบรรดาสาวใช้เก่งๆ คนอื่นอีกมากมาย ก็เลยไม่จำเป็นต้องเรียกพวกเธอให้มาทำงานน่ะค่ะ”
“อ๋อ อย่างนั้นเองสินะครับ เพราะอย่างนั้นถึงได้…”
ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรบางอย่างจริงๆ ด้วยสินะ
อาเรียหรี่ตาของเธอลงครู่หนึ่งเพื่อคาดเดาเจตนาของเขา ก่อนจะเผยยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้งในทันที
“ค่ะ พวกเธอเป็นสาวใช้ที่พามาจากบ้านตระกูลเคานต์ พวกเธอก็เลยตามมาโดยที่ยังไม่รู้อะไรน่ะค่ะ ฉันก็เลยอยากให้พวกเธอค่อยๆ ปรับตัวกับราชวังในระหว่างที่ฉันเรียนอยู่… พวกเธอไม่ได้ทำแบบนั้นหรือคะ”
อาเรียถามราวกับไม่รู้เรื่องอะไร และความสงสารเห็นใจก็ส่งผ่านไปยังใบหน้าของขุนนาง และมันยังเป็นสีหน้าที่บ่งบอกว่าสาวใช้กำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว
อาเรียรู้สึกไม่สบายใจ เธอพยายามคลายหว่างคิ้วของเธอและถามขุนนางอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่เธอรู้สึกได้ว่าเธอต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
“เพราะอย่างนั้นถ้าคุณรู้เรื่องอะไร ช่วยบอกฉันเถอะนะคะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะก็… คงจะแย่มากเลยค่ะ เพราะพวกเธอเป็นคนที่ฉันพามาด้วย ฉันก็ควรเป็นคนรับผิดชอบและแก้ไขปัญหาใช่ไหมล่ะคะ”
เมื่อได้ยินเธอที่บอกว่าเป็นห่วงเหล่าสาวใช้ และถ้าพวกเธอก่อปัญหาอะไรขึ้นมา ก็จะแก้ไขปัญหาเองทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแล้ว จะมีใครรู้สึกไม่อยากช่วยเธอบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นอาเรียที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในวังด้วยความใจดีมีเมตตาของเธอ ต่างจากข่าวลือในอดีตอันไกลโพ้น เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะเผยเรื่องทุกอย่างที่เขารู้ออกมา
แน่นอนว่านั่นก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงมีคนกล้าพูดถึงแอนนี่กับเจสซี่ตามอำเภอใจทั้งที่เธอเป็นคนพาเข้ามา
“คือว่า ที่จริง…”
ขุนนางเปิดปากต่อข้อซักถามของอาเรียที่ถามเขาอยู่หลายครั้ง และสีหน้าของอาเรียหลังจากที่ฟังเขาพูดก็กลายเป็นเย็นชาขึ้นมาภายในชั่วพริบตา
…………………………..