ฉีเฟยอวิ๋นเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้อวิ๋นหลัวฉวนฟังระหว่างทาง อวิ๋นหลัวฉวนถามว่า “ที่ท่านพี่เสียนเฟยต้องการสื่อคืออะไรหรือ”
“เรียกข้าว่าท่านพี่เถอะ เรียกว่าท่านพี่เสียนเฟยมันยุ่งยาก นอกจากนี้คนที่ไม่รู้จะคิดว่าข้าเป็นพระสนมในวังเอาได้”
คำพูดของฉีเฟยอวิ๋นทำให้อวิ๋นหลัวฉวนมีความสุขมาก “งั้นเราสาบานเป็นพี่น้องกันแล้วนะเจ้าคะ ท่านอายุมากกว่าข้า ท่านเป็นพี่ ข้าเป็นน้อง”
ฉีเฟยอวิ๋นกลัดกลุ้ม “ท่านอ๋องตวนกับท่านอ๋องเย่เป็นพี่น้องกัน ข้ากับท่านเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ แล้วท่านก็อยากจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับข้า ว่ากันตามเหตุผลแล้วข้าเป็นน้องสะใภ้ ท่านเป็นพี่สะใภ้ ตอนนี้ท่านต้องเรียกข้าว่าท่านพี่ ข้าเรียกท่านว่าน้อง ไม่วุ่นวายแย่ละหรือ
ไม่จำเป็นต้องเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ความรู้สึกระหว่างท่านกับข้าขอแค่มีความจริงใจให้กันก็พอ”
“นั่นสินะ เช่นนั้นก็ต้องเรียกท่านว่าท่านพี่”
อวิ๋นหลัวฉวนถามต่อ “ที่ท่านพี่ต้องการจะบอกคืออะไรหรือ”
“รองเสนาบดีกรมพิธีการผู้นี้ยังไม่เคยเห็นท่านกับข้า วันนี้เราจะไปดูกัน เขากำเริบเสิบสานขนาดนี้ กล้าจะสร้างเรือนของตัวเองให้เทียบเคียงกับพระราชวังอย่างเอิกเกริกในเมืองหลวง นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผล รากฐานของเฉาเหวินเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี บริเวณรอบๆ ถนนสายนี้ยังมีจวนอื่นๆ อีก เช่น จวนอาลักษณ์กรมพิธีการ จวนรองเสนาบดีกรมการคลัง ทั้งยังมีจวนของขุนนางน้อยใหญ่ต่างๆ อีก ท่านไม่คิดว่านั่นมีปัญหาอะไรหรอกหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นถามอวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนมองครู่เดียวก็เข้าใจทันที
“เขาต้องมีภูมิหลังมากมายเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นผู้ที่อยู่รอบๆ ก็ต้องร่วมมือกับเขากระทำชั่ว มิเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่มีคนรายงานทางการ ใครบ้างที่ไม่มีคนไม่พอใจ เขาใสสะอาดขนาดนั้นเลยเชียว
ใจคนไม่ซื่อตรงเหมือนสมัยก่อน จวนรอบๆ เห็นจวนของเขาใหญ่และสง่างามที่สุด อิจฉาตาร้อนแล้วเหตุใดจึงไม่ไปรายงานเขาต่อทางการ?” อวิ๋นหลัวฉวนยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ “พวกนี้ใช้ชีวิตพอแล้วจนไม่อยากมีชีวิตแล้วงั้นรึ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าอวิ๋นหลัวฉวนมีคุณสมบัติที่ดีพอที่จะเป็นฮองเฮา แต่อ๋องตวนมีคุณสมบัติเหมาะสมพอจะเป็นมกุฎราชกุมารหรือไม่นั้นไม่มีทางรู้เลย
แต่หวังว่าองค์จักรพรรดิจะให้กำเนิดโอรสธิดาหลายๆ พระองค์
“ท่านพูดถูก แต่ยังมีสิ่งที่บกพร่องอยู่บ้าง ส่วนใหญ่คนพวกนี้มีภูมิหลังที่ดี ไม่ใช่การร่วมกันกระทำชั่วและไม่มีทางที่จวนของเขาจะใหญ่ที่สุดถ้าร่วมมือกัน เห็นหรือไม่ว่าจวนผู้อื่นดูมีสภาพซอมซ่อ
จวนของผู้อื่นมีสภาพทรุดโทรมมากเกินไป โดยเฉพาะจวนของเสมียนฝ่ายกระทรวงขุนนาง ท่านดูจวนเสมียนฝ่ายกระทรวงขุนนางสิ ดูซอมซ่อกว่าเขามาก ไม่ว่าอย่างไรก็มีตำแหน่งสูงกว่าเขา ทั้งยังเป็นคนชราอายุหลายสิบปี”
“เช่นนี้แล้วใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขารึ” อวิ๋นหลัวฉวนยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “ใครเล่าจะแน่ใจ ต้องถามก่อนจึงจะรู้ ไปกันเถอะ เราไปถามกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นพาอวิ๋นหลัวฉวนไปเดินเล่นและเห็นหญิงชราผมเผ้ารกรุงรังผู้หนึ่งกำลังไอ นางนั่งยองๆ อยู่บนพื้นและกำลังขายหัวไชเท้า
หัวไชเท้ามีสีขาวนวลและดูสะอาดมาก
หญิงชราก็ดูสะอาดสะอ้าน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถาม “แม่เฒ่า สิ่งนี้เอาไปทำอะไรกินได้บ้างหรือ”
“อันนี้น่ะเหรอ ทำได้หลายอย่าง ยาลูกกลอน ซุป เป็นกับข้าวก็ได้ กินทั้งอย่างนี้ก็ได้” หญิงชรายังคงไอไม่หยุด ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ท่านไม่สบายหรือ”
“ข้านะรึ โรคทั่วไปนั่นละ นี่จะเข้าฤดูเหมันต์แล้วมิใช่รึ ข้าก็แค่เริ่มไอเท่านั้นละ แต่หัวไชเท้านี่ไม่เป็นอะไรหรอกนะ ข้าทำความสะอาดแล้ว หนึ่งเหรียญหนึ่งหัว เจ้าอยากได้เท่าไรล่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นคลำไปตามตัวและควักเศษเงินจำนวนหนึ่งให้หญิงชรา “ข้าไม่ต้องการหัวไชเท้านี่หรอก ข้ามีเรื่องจะถาม ไม่รู้ว่าท่านพอจะรู้อะไรหรือไม่”
“เรื่องอะไร คนแก่ๆ อย่างข้าแค่ขายผักอยู่ที่นี่ ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก” หญิงชราไม่กล้ารับเงิน
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปที่จวนรองเสนาบดี “เรือนหลังนั้นงามมาก ของใครงั้นหรือ ข้าเห็นข้างหน้าเขียนว่าจวนรองเสนาบดี เป็นจวนของรองเสนาบดีนั่นนะหรือ”
“นี่นะเหรอ แม่นางน้อย เจ้าถามถูกคนแล้ว แค่เห็นพวกแวบเดียวก็รู้แล้วว่าพวกเจ้าเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้ดี ปกติคงไม่ออกไปไหน นี่คือจวนรองเสนาบดี แต่ร้ายกาจมากเลยละ”
“โอ๊ะ” ฉีเฟยอวิ๋นส่งเศษเงินให้หญิงชรา หญิงชราสัมผัสเงินและเริ่มไออีกครั้งหลังจากเก็บมันไป
แต่นางยังพูดต่อไปว่า “ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นที่ของชุมชน ต่อมาก็ถูกตระกูลเฉาครอบครอง นี่คือจวนของนางเฉาและท่านเฉาเหวิน ว่ากันว่ามารดาของเขาเป็นคนของต้ากั๋วจิ้วอะไรนั่นละ ต้ากั๋วจิ้วแห่งเมืองต้าเหลียงของเรา ดังนั้นจึงร่ำรวยมาก และเงินทั้งหมดนั้นก็เป็นสิ่งที่มารดาของเขาให้มา แล้วเขาก็มาสร้างจวนขึ้นที่นี่
อะไรอื่นก็ดีหมด เพียงแต่ท่าทางของนางเฉาเท่านั้นที่ไม่ดี มีครั้งหนึ่ง…”
หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าไปละ บอกไม่ได้”
หญิงชราลุกขึ้นและเดินไป เมื่อมีเงินแล้วนางจึงหันกลับมาเอ่ยว่า “พวกเจ้าเอาหัวไชเท้าไปสิ เงินมากมายขนาดนี้ข้าเกรงใจ”
พูดจบหญิงชราก็เดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นกับอวิ๋นหลัวฉวนลุกขึ้นและเดินตามหญิงชราไปตลอดทางจนกระทั่งถึงเรือนของนาง
บนถนนสายนี้เอง มีเรือนเล็กๆ ที่เปิดโล่งทั้งสี่ด้าน ดูแล้วเหมือนจะล้มได้ทุกเมื่อ
ฉีเฟยอวิ๋นพาอวิ๋นหลัวฉวนเข้าไปข้างในและเห็นว่าหญิงชรากำลังกินอาหารแห้งชิ้นหนึ่งอยู่ ดูแล้วน่าเวทนานัก
“แม่เฒ่า” ฉีเฟยอวิ๋นเป็นฝ่ายทักก่อน ทำเอาหญิงชราตกใจจนต้องเข้าไปแอบอยู่ด้านใน
“พวกเจ้าอย่าถามเลย ข้าเป็นแค่หญิงชราคนหนึ่ง ข้ารู้อะไรข้าก็ไม่กล้าพูดหรอก พวกเจ้าไปถามคนอื่นเถอะ” หญิงชรารีบโบกไม้โบกมือ
อวิ๋นหลัวฉวนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “งั้นเจ้าก็เอาเงินมาให้พวกเรา พวกเราจะได้ไปและไม่มานี่อีก”
“ไม่ได้หรอก เหมันตฤดูมาถึงแล้ว พวกเจ้าดูข้าซี ทรุดโทรมไม่มีอะไรเลย แม้แต่เสื้อบุฝ้ายก็ไม่มี ข้ายังต้องผ่านเหมันตฤดูไปให้ได้ ไหนจะต้องรักษาอาการป่วย หมอบอกกับข้าว่าอาการไอของข้า ถ้าข้าไม่กินยา ข้าคงผ่านเหมันตฤดูคราวนี้ไปไม่ได้”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ ถ้าเจ้าไม่เจอพวกข้า เจ้าก็จะไม่มีเงินเหมือนกันไม่ใช่รึ”
“จะเหมือนกันได้อย่างไร ข้า…” หญิงชราอึกอัก ไม่ยอมคืนเงินให้
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปข้างๆ หญิงชราและจับมือของหญิงชราเอาไว้ นางตกใจจนตัวสั่นและตะโกนซ้ำไปซ้ำมา
“มันฆ่าคน! ฆาตกร!” หญิงชราหวาดกลัวสุดขีด
อวิ๋นหลัวฉวนเห็นแล้วก็นึกโกรธทันที นางรับเงินไปและไม่พูดเรื่องที่รู้ออกมา ทั้งยังมาใส่ร้ายกันอีก
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ท่านเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เงินของท่านแค่นี้จะกินยาอะไรได้ กินยาไปก็ไม่พอจะช่วยอะไรอยู่ดี โรคนี้ต้องกินยาติดต่อกันระยะยาวถึงจะเห็นผล งั้นเอาเช่นนี้ ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ ท่านเอาใบสั่งยานี่ไปจวนอ๋องเย่และถามหาหมอประจำจวนโจว บอกว่าได้มาจากท่านอาจารย์ของเขา เขาจะรู้ว่าข้าแนะนำให้ท่านไปและเขาจะต้มยาให้ท่านดื่ม หลังจากนี้ให้ท่านไปดื่มยาวันละครั้งติดต่อกันสามเดือน อาการของท่านก็จะดีจนเกือบจะหายเป็นปกติ”
“อา?”
ใบหน้าของหญิงชราชะงักงัน ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเขียนใบสั่งยาให้นาง หญิงชรารับใบสั่งยาและจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยร่างกายที่สั่นเทา
สีหน้าของอวิ๋นหลัวฉวนเต็มไปด้วยความดูถูก “คนอย่างเจ้านี่ไม่น่าช่วยเลยเสียจริงๆ”
หญิงชรามองอวิ๋นหลัวฉวนอย่างแปลกใจแต่ก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
“ไปกันเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นจูงอวิ๋นหลัวฉวนออกไป อวิ๋นหลัวฉวนข้องใจไปตลอดทาง พูดไปตั้งมากมายเพื่ออะไรกัน
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ต่ำต้อยด้อยค่า ท่านต้องการให้พวกเขาลุกขึ้นยืนพูดคุยกับท่านอย่างเชิดหน้าชูตา แต่พวกเขาทำไม่ได้ พวกเขาคุ้นชินกับความต่ำต้อยเช่นเดียวกับเหล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ในวัง เมื่อผู้เป็นนายโกรธขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็ต้องคุกเข่าลงเพื่ออ้อนวอนขอความเมตตา
นี่คือนิสัยของทาส ทาสแท้ๆ เลยเชียว!”
อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “ข้าเป็นฝ่ายผิด ข้าจะกลับไปขอโทษ”
อวิ๋นหลัวฉวนหันหลังและวิ่งกลับไปขอโทษหญิงชรา จากนั้นจึงจากไปพร้อมกับฉีเฟยอวิ๋น!