ฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดงและลมหายใจก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ มุมปากของหนานกงเย่กระตุกขึ้น เขากระชากเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋นออกและโยนทิ้งไปอีกทาง “จะให้ข้าอุ้มเข้ามาหรือท่านจะเข้ามาเองดีๆ
ถ้าไม่ประเคนอาหารจะคลายกล้ามเนื้อได้ง่ายๆ ได้อย่างไร ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว จะให้ข้าอดกลั้นจนตายหรืออย่างไร?” หนานกงเย่ก้มหน้าและจ้องมองลงไปบนผิวน้ำ ฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดงก่ำ ไม่ใช่ว่านางไม่เห็น แต่ผู้ชายคนนี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง พูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ทั้งกลางวันแสกๆ
“ท่าน…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกขวางให้กลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหนานกงเย่และร่างกายของนางก็ตกเป็นรองเล็กน้อย ขณะที่นางยืนอย่างไม่มั่นคงอยู่นั้น หนานกงเย่ก็อุ้มนางเข้าไป
ฉีเฟยอวิ๋นทั้งกลัวทั้งโกรธเมื่อถูกปล่อยลงไปในน้ำ เดี๋ยวหนึ่งก็หันไปมองประตู อีกเดี๋ยวก็หันมาบอกว่าหนานกงเย่หน้าไม่อาย ตอนนี้หนานกงเย่ไม่มีเวลามาใส่ใจนาง และรู้สึกสนุกเต็มที่
“ท่านอ๋องออกไปสองวัน ไม่ใช่ว่าคอยติดตามสืบหาหนานกงเซวียนเหอตลอดหรอกหรือเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นฝืนใจถามขึ้นมา
หนานกงเย่ส่งเสียงอืม “ไล่ตามอยู่สองวันสองคืน เหนื่อยจนข้าอยากจะตายเสียข้างนอก เมื่อกลับมาถึงเรือน ไอ้นั่นก็ทำไม่ได้ไอ้นี่ก็ทำไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่าแล้วว่ายังทำอะไรได้อีก”
“…..” สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ คำพูดที่ไร้ยางอายนี่มันอย่างไรกัน
“เช่นนั้นหาหนานกงเซวียนเหอพบแล้วหรือเพคะ”
ร่างกายของหนานกงเย่กลับมามีเลือดฝาด เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาอารมณ์ดีจึงคิดว่าเขาหาตัวพบแล้ว
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นมาวางลงตรงหน้า ให้ฉีเฟยอวิ๋นเป็นฝ่ายเริ่มเอง ฉีเฟยอวิ๋นหน้าบึ้งอย่างไม่เต็มใจ นางลุกขึ้นเตรียมจะออกไปแต่ถูกกดให้กลับลงมา
“น้ำเย็นหมดแล้ว เร็วหน่อยเถิด ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”
เมื่อได้ยินว่าหนานกงเย่มีธุระ ฉีเฟยอวิ๋นจึงให้ความร่วมมือกับเขา
เมื่อทั้งสองออกมา สีหน้าของหนานกงเย่ก็เคร่งขรึมขึ้น หลังจากสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยเขาจึงเล่าเรื่องที่หนานกงเซวียนเหอกระโดดลงจากหน้าผาให้ฟังและบอกว่าเห็นเขาตกลงไปจนร่างแหลกกับตาของตัวเอง
“หนานกงเซวียนเหอตายแล้ว?”
ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ เหตุใดจึงตายง่ายๆ เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าการวางแผนมาเป็นเวลาหลายปีของพวกจงชินจะเปล่าประโยชน์หรอกหรือ
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นและไม่มีทางคิดอย่างซื่อสัตย์ได้เลย เมื่อคนหนึ่งก้มหน้าลงส่วนอีกคนเงยหน้าขึ้น หนานกงเย่ก็บีบคางของฉีเฟยอวิ๋นและพยายามปลดอาภรณ์ที่นางเพิ่งจะสวมใส่ เลยถูกฉีเฟยอวิ๋นคว้ามือเอาไว้อย่างโกรธๆ
“อย่าวุ่นวายซิเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าเพิ่งกินอิ่มไปหรือ ถ้าท่านอ๋องยังทำอย่างนี้อีกข้าจะไป”
ฉีเฟยอวิ๋นสะบัดสะบิ้ง หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าเองก็ไม่ใช่คนดี ทว่าก็ไม่ได้เป็นคนมักมากในกาม แต่สำหรับเรื่องการหลับนอนกับอวิ๋นอวิ๋น ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร”
“ข้าว่าข้าทำให้ท่านเสียนิสัยเสียแล้ว!” ฉีเฟยอวิ๋นผละจากหนานกงเย่และพูดถึงเรื่องที่จริงจัง หนานกงเย่เดินไปนั่งลงข้างๆ และดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เมื่อฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงบนตักเขา เขาจึงพูดอย่างเป็นงานเป็นการขึ้นมาได้
ทั้งสองอิงแอบกัน ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินหนานกงเย่พูดว่า “ถ้าตายง่ายขนาดนี้ ข้าคิดว่าคงจะมีปัญหาแล้วละ หนานกงเซวียนเหอกับข้าประมือกันมาเป็นร้อยครั้ง เขาไม่มีทางแพ้ ตอนนั้นข้างกายข้าไม่มีใครเลย แต่เขากลับหันหลังและกระโดดลงไปจากหน้าผา มันไม่ดูแปลกประหลาดเกินไปหรือ”
“ไม่ใช่ว่าแปลกหรือประหลาด แต่ถ้าคิดดูดีๆ จะพบว่ามีเหตุผลเพียงสองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือหนานกงเซวียนเหอรู้สึกว่าต่อให้สู้ต่อไปก็ไม่มีวันชนะ ถึงอย่างไรท่านอ๋องอาจจะปรากฏตัวเมื่อใดก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็จะหนีไปไหนไม่พ้น
อีกอย่างก็คือเขาจงใจกระโดดลงไป จุดประสงค์ก็คือเพื่อการหนี ทั้งยังทำให้เกิดความเข้าใจว่าเขาตายไปแล้ว จริงๆ แล้วถ้าไม่ใช่ว่าเขาหาคนมาตายแทนได้ นั่นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาหนีออกไปจากจุดนั้นได้”
หนานกงเย่ยิ้มนิดหนึ่ง “เขายังไม่ตาย ข้ารู้สึกเช่นนั้น แต่ตอนนี้ข้าหาตัวเขาไม่พบ ดังนั้นจึงต้องกลับมาก่อน”
“ท่านอ๋อง แล้วท่านคิดว่าเขาจะไปที่ไหนเพคะ”
“ข้าไม่ได้สนใจเลยตอนที่เขาไปที่นั่น ในเมื่อหนีไปแล้วนั่นก็หมายความว่าเขากลัว ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องตามติดเขาตลอด ตอนนั้นจักรพรรดิพระองค์ก่อนไม่ได้เห็นเขาในสายพระเนตรเลย พระองค์เลี้ยงเขาไว้ในเมืองหลวง ข้าจึงยิ่งไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
ตอนนี้ที่ทางใต้มีเรื่องฝูงตั๊กแตนระบาดที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ทหารที่ชายแดนยังจำเป็นต้องข้ามผ่านวสันตฤดูไปให้ได้”
“ก็ใช่” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน “ในเมื่อหาคำตอบได้แล้ว เช่นนั้นเราก็ควรจะออกไปได้แล้ว
เมื่อมองดูเหล่าทารก ทันใดนั้นหนานกงเย่ก็รู้สึกว่าไม่อยากจะออกไปไหนและอยากจะรอให้ถึงตอนบ่ายก่อนค่อยออกไป ส่วนฉีเฟยอวิ๋นเมื่อเห็นเขาเหนื่อยจึงไม่ออกไปเช่นกัน
เมื่อหนานกงเย่พักผ่อนอย่างเต็มที่ในตอนบ่าย ฉีเฟยอวิ๋นจึงจะออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นพาหนานกงเย่ไปยังจวนรองเสนาบดีที่นางเคยไปก่อน เมื่อมาถึงประตูฉีเฟยอวิ๋นจึงชี้ให้ดู “คือที่นี่ละ ข้ามารับเงินจากที่นี่ ที่จวนรองเสนาบดีมีคนอยู่รวมๆ แล้วเก้าสิบคน ในเก้าสิบคนนี้มีห้าสิบคนที่เป็นคนจากตระกูลรองเสนาบดี คนรับใช้ของเขานับว่ามีน้อยมาก
คนรับใช้ในจวนอื่นๆ ก็มีไม่มากเหมือนกัน
ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมากและไม่คิดว่าเรือนนี้จะเป็นของจริงหรือของปลอม
ท่านอ๋องคิดสิ ข้าได้เงินแล้วกลับไป คือไปกรมการคลังหาเวลาไปตรวจนับจำนวนคน ครอบครัวไหนมีสมาชิกเพิ่ม ครอบครัวไหนมีสมาชิกน้อยลง แม้ว่าจะไม่ได้ตัวเลขที่แน่นอนของคนรับใช้ แต่จะคลาดเคลื่อนไปสักสี่ห้าคนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
และก็ไม่ได้สงสัยอะไรอื่นเลย ไม่คิดว่าจะมีจวนรองเสนาบดีอีกที่หนึ่ง”
“ในเมื่อแน่ใจแล้ว เช่นนั้นก็ไปดูอีกที่กัน” ว่าแล้วหนานกงเย่ก็พาฉีเฟยอวิ๋นไปจวนรองเสนาบดีอีกแห่งหนึ่ง
คราวนี้หนานกงเย่มีสีหน้าอึมครึมเมื่อมาถึงหน้าจวนรองเสนาบดี
ฉีเฟยอวิ๋นเพ่งเข้าไป เวลาที่หนานกงเย่โกรธจัดดวงตาของเขาสามารถแผ่มีดสังหารออกไปได้เลย และมันดูน่ากลัวมากในเวลานี้
ฉีเฟยอวิ๋นถาม “ท่านอ๋องจะเข้าไปดูข้างในหรือไม่เพคะ”
“รองเสนาบดีผู้น้อยคนเดียวแต่ทุจริตยักยอกไปมากมาย เวลานั้นข้าเขลาไป เงินสำหรับเซ่นไหว้ของทุกปีดูเหมือนจะใช้มาเซ่นไหว้พวกเขาแทน” หนานกงเย่รู้สึกโกรธ
เขาหันหลังจากไปและปล่อยฉีเฟยอวิ๋นไว้ตามลำพัง
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่ที่เดินไปไกลแล้ว จากท่าทีที่เห็น ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจกับเรื่องนี้มากจนลืมนางไปแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ที่เดิม นางอยากรู้ว่าหนานกงเย่จะกลับมาเมื่อไหร่ แต่สุดท้ายฉีเฟยอวิ๋นก็รอให้หนานกงเย่กลับมาไม่ไหว
ฉีเฟยอวิ๋นหันหน้ากลับไปมอง รู้สึกลังเลนิดหนึ่งก่อนจะไปที่จวนอ๋องตวน
วันนี้อวิ๋นหลัวฉวนไม่ได้กินข้าวมาตลอดทั้งวัน ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นไปถึงอวิ๋นหลัวฉวนกำลังนั่งใจลอยอยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น อวิ๋นหลัวฉวนจึงลุกขึ้นไปต้อนรับ
“พ่อบ้านก็ไม่ยอมมาบอกข้า ท่านพี่เสียนเฟยมาได้อย่างไรเจ้าคะ” อวิ๋นหลัวฉวนที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ฉีเฟยอวิ๋นเห็นแล้วจึงตรวจอาการให้นาง
“ท่านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนท่านจะท้องว่าง” ฉีเฟยอวิ๋นวางมือของอวิ๋นหลัวฉวนลงและถามนาง ทันใดนั้นอวิ๋นหลัวฉวนก็ได้สติ นางอุทานออกมาทั้งที่ดวงตาเบิกกว้าง
“แม้แต่เรื่องหิวหรือไม่หิวท่านพี่เสียนเฟยก็มองออกงั้นหรือ” อวิ๋นหลัวฉวนแทบจะกระโดดตัวลอยเพราะความตื่นเต้น
ฉีเฟยอวิ๋นอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ก็เลยถือโอกาสพูดธุระไปเลย “มากับข้าสิ ข้ามีธุระกับท่าน ไปจัดการเรื่องขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง”
“นำไปเลยเจ้าค่ะ!” สีหน้าของอวิ๋นหลัวฉวนมึนตึงขึ้น นางไม่พูดอะไรให้มากความและดึงกริชออกมาเตรียมจะไปจัดการขุนนางผู้คดโกง
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมีดนั้นแล้วโยนทิ้งไป “ไม่จำเป็น เรื่องลงมือนั้นมีคนทำอยู่แล้ว แค่ตามข้าไปดูก็พอ นอกจากนี้ข้ายังต้องไปหาคนมาตรวจสอบเรื่องนี้ ท่านหาพวกฝีเท้าเร็วไปที่จวนท่านอ๋องเย่ที ส่งจดหมายฉบับนี้ให้ทังเหอ มีเรื่องต้องให้เขาไปจัดการ”
อวิ๋นหลัวฉวนหยิบจดหมายคนมาดูและเรียกพ่อบ้านมาสั่งงาน จากนั้นพ่อบ้านจึงวิ่งไปที่จวนอ๋องเย่เร็วเท่าที่อายุของเขาจะอำนวย ฉีเฟยอวิ๋นมองแล้วก็นึกกังวล กลัวว่าพ่อบ้านจะวิ่งจนความดันขึ้น!