ตอนที่ 322 เรื่องไม่คาดคิด / ตอนที่ 323 ถ่วงเวลา

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 322 เรื่องไม่คาดคิด 

 

 

ไม่สนใจว่าเซียงฉือจะเป็นอย่างไร เมื่อไรก็ตามที่หมดประโยชน์ต่อนางแล้ว กับลูกสาวขุนนางต้องโทษคนหนึ่ง นางอยากฆ่าทิ้งเสียเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ 

 

 

เพราะตลอดมานางไม่รู้ดีชั่ว อีกทั้งกุ้ยเฟยยังเชื่อถือเซียงซือมากกว่า ถึงแม้หวังหมัวหมัวคิดจะช่วยขอความเมตตาให้แก่นาง แต่อย่างไรจินกุ้ยเฟยก็ไม่ชอบหญิงสาวคนนี้เพราะนางมักจะรู้สึกว่า สายตาที่นิ่งสงบดุจน้ำของหญิงสาวคนนี้ ในความไม่สะทกสะท้านนั้นคือการเยาะเย้ยนาง นางไม่ชอบหญิงสาวคนนี้ตลอดมา แต่เพราะเมื่อก่อนนางยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง 

 

 

แต่มาบัดนี้ใช้การอะไรไม่ได้แล้ว และนางก็ไม่ต้องการจะใช้อีกต่อไป 

 

 

ทั้งเซียงฉือและคนอื่นๆ ในห้องต่างเห็นแววเข่นฆ่าในดวงตาของกุ้ยเฟย ทุกคนไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า ถัดจากนี้ไปเซียงฉือจะต้องถูกสวีหมัวหมัวกับหลินหมัวหมัวจับกดลงในน้ำจนจมน้ำตาย 

 

 

แต่ว่า ในขณะที่นางคิดจะลงมือนั้นก็ได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น 

 

 

ขันทีคนหนึ่งวิ่งลนลานเข้ามาจากด้านนอกแล้วไปกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูจินกุ้นเฟย ท่าทางของกุ้ยเฟยเปลี่ยนไป มองดูเซียงฉือด้วยสายตาบิดเบี้ยว 

 

 

“กุ้ยเฟยเสด็จกลับก่อนเถิดเพคะ ส่วนนาง…” 

 

 

แน่นอนว่าหวังหมัวหมัวย่อมได้ยินเนื้อหาใจความด้วยเช่นกัน และรู้ว่ากุ้ยเฟยควรรีบไปจากที่นั่นทันที แต่จะทำอย่างไรกับเซียงฉือเล่า 

 

 

จินกุ้ยเฟยมองดูเซียงฉือ ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วพูดขึ้น 

 

 

“จะให้เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้ ปล่อยนาง เอาตัวไปไว้ข้างหอทิงเฟิง” 

 

 

เซียงฉือได้ยินคำพูดนั้นแล้วเหมือนได้รับการอภัยโทษใหญ่ พอกุ้ยเฟยพูดจบก็ลุกขึ้นจากไป เซียงฉือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้กุ้ยเฟยฉุกละหุกเช่นนี้ หรือว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา 

 

 

เซียงฉือคิดได้ไม่ทันไรก็ถูกปิดตาแล้วรวบขึ้นทั้งตัว ถูกพาออกไปอย่างมึนงง 

 

 

ที่เซียงฉือรอดตายมาได้นั้นเป็นไปตามที่นางคาดคิด เพราะว่ามีคนมาและไม่ใช่เพียงคนเดียว 

 

 

ฮ่องเต้ ใต้เท้าสวี่และใต้เท้าเหอรวมกันมาทั้งสามคน สวี่อี้หน้าดำคร่ำเครียด ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ฮ่องเต้นั่งอยู่ในตำหนักหน้าของตำหนักอวี้หยวนมานานแล้วแต่ไม่เห็นเงาร่างกุ้ยเฟย เขามีความสงสัยไม่น้อยในเรื่องที่เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ทูล 

 

 

เซียงฉือถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าสีดำแล้วถูกคนสามคนหามออกนอกประตูไป นางไม่กล้าร้อง กระทั่งมีแสงสว่างเล็กน้อยลอดเข้าไปในถุงผ้าสีดำ นางจึงมั่นใจว่าได้หลุดออกจากคุกของตำหนักอวี้หยวนแล้ว 

 

 

นางถอนหายใจ ถึงจะยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้า แต่ก็นับว่าได้หลุดรอดจากความตายแล้ว 

 

 

หรงจิงรออยู่สักพัก เหอจิ่นเซ่อยังเก็บอารมณ์ไว้ได้จึงยืนคอยอยู่ด้านข้างอย่างสงบ ส่วนสวี่อี้เดินไปเดินมาอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ 

 

 

“ฝ่าบาท ปกติกุ้ยเฟยทรงอยู่แต่ในตำหนักไม่ค่อยออกไปไหน แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเสด็จไปไหนจึงยังไม่เสด็จออกมาให้เห็น หรือว่า…” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อกระซิบบอกความสงสัยของตนที่ข้างหูหรงจิง แต่ว่ายังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงพ่นลมออกจมูกขึ้น 

 

 

“ฮึ! ใต้เท้าเหอพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร สบประมาทข้าเช่นนั้นหรือ” 

 

 

เสียงของจินกุ้ยเฟยตัดทอนคำพูดนาง เหอจิ่นเซ่อได้ยินเข้าก็ฝืนยิ้มแล้วปิดปากเงียบ ทำการคารวะต่อจินกุ้ยเฟยที่เดินออกมาจากด้านใน 

 

 

กุ้ยเฟยแสร้งทำบิดขี้เกียจ บนศีรษะเสียบปิ่นเรียบๆ อันหนึ่งอย่างหมิ่นเหม่ ท่าทางเกียจคร้านงดงาม 

 

 

พอเห็นหรงจิงในชุดลำลองนั่งอยู่จึงยิ้มหวานแล้วโผเข้าไปหา 

 

 

“ฝ่าบาทไยเสด็จมาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเล่าเพคะ หม่อมฉันหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว ทำให้ต้องทรงคอยนาน” 

 

 

จินกุ้ยเฟยอิงแอบอยู่บนร่างหรงจิงราวกับร่างกายไร้กระดูก ร่างนั้นเหมือนกับมนุษย์งูสตรีที่งดงาม เกี่ยวรัดกระหวัดฮ่องเต้ไว้แน่นยิ่ง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 323 ถ่วงเวลา 

 

 

หรงจิงเห็นนางดังนั้นและได้ยินคำพูดของนางทว่ายังไม่ตอบอะไร เพียงมองดูเหอจินเซ่อกับสวี่อี้ที่ด้านข้าง 

 

 

สวี่อี้เข้าใจความหมายแล้วสบตากับเหอจิ่นเซ่อ เตรียมจะก้าวออกมาข้างหน้า 

 

 

ทว่ามือของเหอจิ่นเซ่อจู่ๆ ก็ยื่นออกมาเบื้องหน้าสวี่อี้ ขวางทางนางไว้ คิ้วเรียวของเหอจิ่นเซ่อเลิกขึ้น แล้วเดินออกไปพูดขึ้นก่อนว่า 

 

 

“เป็นความผิดของหม่อมฉันที่รบกวนเวลาพักผ่อนของกุ้ยเฟยเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันดูแลกองราชเลขา มีความจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อคนในกองเพคะ หม่อมฉันได้รับแจ้งอย่างลับๆ ว่า มีคนลักพาตัวข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือไปจากตำหนักเจิ้งหยาง จนบัดนี้ยังหาตัวไม่พบเพคะ” 

 

 

“ผู้แจ้งข่าวลับยังบอกอีกว่าเซียงฉือถูกหวังหมัวหมัวของตำหนักอวี้หยวนพาตัวไป ดังนั้นจึงได้ร่วมกับใต้เท้าสวี่จากกองคดีเพื่อช่วยกันสืบหาข้อเท็จจริง ทั้งนี้ก็เพื่อพระเกียรติของกุ้ยเฟยด้วย หวังว่ากุ้ยเฟยจะไม่ทรงถือโทษนะเพคะ” 

 

 

การที่สวี่อี้คิดจะพูดนั้นเพราะว่านางเป็นคนได้รับข่าวลับก่อน แต่เมื่อเหอจิ่นเซ่อพูดขึ้นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเตรียมวางค่ายกลหรือดูออกว่ากุ้ยเฟยในตอนนี้หนักแน่นเยือกเย็น คิดว่านางคงเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้ดีแล้ว หากสวี่อี้ออกหน้า ก็จะกลายเป็นล่วงเกินกุ้ยเฟยไปทั้งสองคน ในเมื่อนางได้เคยล่วงเกินไปแล้ว มิสู้ปล่อยให้เป็นหน้าที่นางรับผิดชอบไปเสียจะดีกว่า 

 

 

พอเหอจิ่นเซ่อพูดจบกุ้ยเฟยก็ระเบิดโทสะใหญ่ นางลุกพรวดขึ้นจากข้างกายฮ่องเต้จ้องมองเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ 

 

 

แต่นางก็พยายามระงับความโกรธที่อยากเฆี่ยนตีคน แล้วชี้เหอจิ่นเซ่อพูดว่า 

 

 

“ใต้เท้าเหอไม่มีหลักฐานอะไรก็คิดจะมาค้นหาคนในตำหนักข้าเช่นนั้นหรือ บังอาจ!” 

 

 

จินกุ้ยเฟยในตอนนี้โกรธจนถึงขีดสุด หากไม่ใช่เพราะหรงจิงอยู่ข้างกายนาง นางจะต้องถลกหนังเหอจิ่นเซ่อทั้งเป็นแน่ ผู้หญิงคนนี้ใกล้ชิดกับฝ่าบาทเสมอมา หากไม่ใช่เพราะเห็นว่านางสูงวัยความงามถดถอย ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะทรงชิดเชย มิเช่นนั้นนางย่อมไม่มีทางปล่อยไว้เป็นแน่ 

 

 

แต่ว่าระยะนี้เหอจิ่นเซ่อมักชอบยั่วให้นางโกรธ เอะอะก็คัดง้างกับนางอยู่เสมอ ทำให้นางแค้นเคืองอย่างยิ่ง ครั้งนี้ยังมาถูกนางจับได้อีกจึงไม่ต่างกับถูกนางเหยียบหางเข้า 

 

 

เหอจิ่นเซ่อมีความสุขุมเยือกเย็นเสมอมา ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่โต้แย้ง เพียงพูดอย่างเรียบๆ 

 

 

“เป็นเพราะหน้าที่ หม่อมฉันมิได้มีเจตนาจะล่วงเกินกุ้ยเฟยเพคะ ระบบข้าราชสำนักสตรีในวังนี้บูรพกษัตริย์ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว พวกนางมิใช่นางกำนัลทั่วไป ทุกคนล้วนเป็นเสาหลักของชาติ จะทำการใดก็ต้องรอบคอบระวังเพคะ” 

 

 

“หม่อมฉันทราบว่ากุ้ยเฟยมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ย่อมจะไม่ทำให้หม่อมฉันต้องลำบากใจกับเรื่องนี้เป็นแน่ แต่อวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงต้องรับผิดชอบถึงที่สุด หากไม่สนใจกับความเป็นตายของนางแล้ว จะมิเป็นการทำให้ข้าราชการทั้งหลายในแผ่นดินเสียขวัญหรือเพคะ” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อพูดไปบนหลักเหตุและผล นางเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง ถึงตอนนี้จะไม่ยกเอาตำราปราชญ์มาอ้าง แต่ก็อัญเชิญเอาบารมีบูรพกษัตริย์มาใช้อย่างราบรื่น 

 

 

จินกุ้ยเฟยก็เป็นคนมีคารมใช่ย่อย แต่ตอนนี้คิดไม่ออกว่าจะโต้แย้งประเด็นนี้อย่างไร นางได้ขอโทษก่อนแล้ว แต่กุ้ยเฟยยังโกรธ พวกนางจะมาก็มาสิ เหตุใดต้องพาฮ่องเต้มาด้วย 

 

 

คิดแล้วกุ้ยเฟยก็ซุกตัวลงข้างกายฮ่องเต้ พูดอย่างเฝื่อนๆ 

 

 

“ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จมาตำหนักอวี้หยวนนานแล้ว คืนนี้เสด็จมาก็พากันมากล่าวโทษ หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ” 

 

 

กุ้ยเฟยในตอนนี้เพียงต้องการถ่วงเวลา ไม่ว่าอย่างไรจะให้พวกนางพบเห็นอวิ๋นเซียงฉืออยู่ในตำหนักอวี้หยวนไม่ได้โดยเด็ดขาด 

 

 

กุ้ยเฟยคิดแล้วจึงโปรยเสน่ห์ต่อฮ่องเต้ หรงจิงยิ้ม 

 

 

“พากันมากล่าวโทษอะไรกัน กุ้ยเฟยเป็นคนที่ถูกใจข้าที่สุดเสมอมา แต่เรื่องข้าราชสำนักสตรีไม่ใช่เรื่องเล็ก ในเมื่อมีคนแจ้งข่าว อีกทั้งคนก็หายไปด้วย เรื่องนี้ไม่อาจไม่ตรวจสอบ” 

 

 

“และเมื่อมีการระบุตัวออกมาแล้วว่าเป็นหวังหมัวหมัว เพื่อกุ้ยเฟยจะได้พ้นจากข้อครหา ยังคงให้พวกนางค้นหาในตำหนักเจ้าจะดีกว่า”