ตอนที่ 324 สืบสวน / ตอนที่ 325 เจตนาของฝ่าบาท

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 324 สืบสวน

 

 

พอหรงจิงพูดจบสีหน้าของกุ้ยเฟยก็เปลี่ยนไปทันที เดิมนางยังคงคาดหวังแต่ตอนนี้มลายไปแล้ว แต่ความมัวหมองบนใบหน้าก็ผ่านไปแทบจะในทันที

 

 

จินกุ้ยเฟยยิ้มแล้วโผไปบนร่างหรงจิงทันที หรงจิงลูบไล้แขนนางโดยไม่ลังเล ตีเบาๆ ไปสองครั้ง ทว่าใบหน้าจินกุ้ยเฟยที่ซุกซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นฉายรังสีอำมหิต

 

 

“ใต้เท้าสวี่กับใต้เท้าเหอทำตามหน้าที่ หม่อมฉันจะขัดขวางได้อย่างไรเพคะ ตำหนักอวี้หยวนของหม่อมฉันก็มีเพียงเท่านี้ ใต้เท้าทั้งสองสามารถไปค้นหาได้ทันที”

 

 

“แต่ว่า!”

 

 

จินกุ้ยเฟยทรงตัวขึ้นจากร่างหรงจิง เงยหน้ามองเหอจิ่นเซ่อที่ข้างกายช้าๆ พูดยิ้มๆ ว่า

 

 

“แต่ถ้าหากหาตัวไม่พบ ใต้เท้าเหอ ข้าหวังว่าท่านจะอธิบายเหตุผลที่เหมาะสมแก่ข้าได้นะ”

 

 

ท่าทางของจินกุ้ยเฟยในตอนนี้ยังดูอ่อนโยน แต่คำพูดที่อึดอัดนั้นทำให้คนหนักใจบ้าง สวี่อี้เป็นคนฉลาด เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ก็เข้าใจที่เมื่อครู่เหอจิ่นเซ่อขวางนางไว้ก็เพื่อไม่ให้นางต้องตกเข้าไปสู่สภาพการณ์เช่นนี้

 

 

“เรื่องที่กุ้ยเฟยรับสั่ง หม่อมฉันจดจำไว้แล้ว ขอกุ้ยเฟยโปรดวางพระทัยเพคะ”

 

 

หรงจิงได้ยินที่ทั้งคู่พูดกัน เขาก้มลงดื่มชา เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจอีก ถึงเขาจะไว้วางใจทั้งเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้ แต่ขณะเดียวกันหากไม่มีหลักฐานหรือแม้จะเป็นหลักฐานทางตรง เขาก็จะไม่เข้าข้างนางทั้งสองอย่างเด็ดขาด

 

 

จินกุ้ยเฟยได้ยินแล้วก็ยิ้ม นางเดินไปข้างกายฮ่องเต้พูดขึ้น

 

 

“ฝ่าบาท ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ดูท่าใต้เท้าทั้งสองยังคงกระฉับกระเฉงอยู่ ส่วนฝ่าบาทพรุ่งนี้ยังต้องประชุมราชสำนักเช้า เช่นนั้นให้พวกนางไปตรวจค้นในห้องนอนหม่อมฉันก่อนดีไหมเพคะ เสร็จแล้วฝ่าบาทจะได้ทรงพักผ่อนก่อนได้”

 

 

กุ้ยเฟยพูดเช่นนั้นหรงจิงก็พยักหน้า นางส่งสายตาให้หวังหมัวหมัวที่ข้างๆ อย่างมีความหมายลึกซึ้ง จากนั้นประคองฮ่องเต้เตรียมไปยังห้องนอน เหอจิ่นเซ่อใจเต้นระทึก จินกุ้ยเฟยคนนี้มีความสามารถดีทีเดียว

 

 

ถึงจะบอกให้ไปตรวจค้นในห้องนอนก่อน แต่ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังเตรียมจะไป แล้วพวกนางจะกล้าลงมือค้นต่อหน้าฝ่าบาทหรือ

 

 

นางเพิ่งออกมาจากห้องนอน ที่นั่นเป็นสถานที่อันตรายที่สุด แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ที่นั่นจึงกลายเป็นสถานที่อันตรายที่พวกนางควรหลบเลี่ยงไปเสียแล้ว สวี่อี้ก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเข้าใจจึงหันหน้าไปสั่งความกับนางกำนัลด้านหลัง แล้วยิ้มแข็งเกร็งให้กับกุ้ยเฟยพร้อมเหอจิ่นเซ่อ

 

 

ฮ่องเต้เดินเข้าไปในห้องกุ้ยเฟยอย่างว่าง่าย หรงจิงไม่ได้เหยียบย่างฝ่ายในมาครึ่งเดือนแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการเข้าใกล้อิสตรี แต่เป็นเพราะภัยแล้งภัยน้ำจากทุกที่เข้ามาไม่ขาด เขาไม่มีปัญญาจะแยกร่าง งบบรรเทาภัยที่ส่งไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เห็นเป็นผล

 

 

แล้วที่ฝ่ายในยังมาเกิดเรื่องข้าราชสำนักสตรีถูกลักพาตัวขึ้นอีก อีกทั้งยังเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายเขาอีกด้วย เซียงฉือกับเขามีความสัมพันธ์ฉันคนรู้จักคุ้นเคย ยังมีคนกล้าทำเหิมเกริมอยู่ข้างกายฮ่องเต้อย่างเขา เขาจะทนได้อย่างไร

 

 

พอได้ยินเหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ไปบอกว่าเซียงฉือถูกคนจับตัวไป ในตอนแรกเขายังไม่เชื่อจึงไปยังห้องของเซียงฉือ ได้เห็นเพียงควันหอมที่นางจุดไว้กับกระดาษและหมึก แต่ไม่พบคน

 

 

หรงจิงตกใจอย่างหนัก เมื่อได้ยินว่าคนที่ลักพาตัวคือหวังหมัวหมัวจากตำหนักอวี้หยวน กอปรกับคิดถึงเรื่องที่เหลียนชินอ๋องเข้าพบและพูดกับเขาในวันนี้ หรงจิงจึงเกิดความมั่นใจหลายส่วน

 

 

หากมิใช่เรื่องนี้ ข้าราชสำนักสตรีขั้นเก้า ไม่ใช่สิ ขั้นเก้าชั้นโท จะทำให้เขาถึงกับยกขบวนมาใหญ่โตกลางดึกเช่นนี้หรือ

 

 

หรงจิงคิดไปว่ากุ้ยเฟยกับจวนขุนพลจินบ้านเดิมนางนั้น บัดนี้ใจกล้าทำได้ถึงขนาดนี้ แม้กระทั่งกล้าแตะต้องเซียงฉือที่อยู่ข้างกายเขา การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการดูถูกเขา

 

 

 

 

ตอนที่ 325 เจตนาของฝ่าบาท

 

 

หากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นบ้านสกุลจินกับจินกุ้ยเฟย หรงจิงคิดในใจแล้วบังเกิดความรังเกียจขึ้นเป็นระลอก แต่ไม่ได้แสดงออกมาในตอนนี้

 

 

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนปกครองแผ่นดินด้วยคุณธรรม ปฏิบัติต่อเหล่าขุนนางอย่างมีเมตตา และให้เบี้ยหวัดสูง

 

 

ตั้งแต่บูรพกษัตริย์ได้ปกครองแผ่นดินมาก็ใช้บทลงโทษหนัก เข้มงวดกวดขันกับเหล่าขุนนางทุจริต แต่พอถึงรัชกาลก่อนกลับใช้นโยบายทางการเมืองรวมประเทศใช้ระบบการให้ผลตอบแทนสูง เพื่อเป็นการประกันความสุจริตของข้าราชการ ส่งเสริมการศึกษาหลักปรัชญาของขงจื๊อเมิ่งจื๊อ เผยแผ่พุทธศาสนาอย่างเต็มที่ นับเป็นยุคแห่งความสงบ

 

 

ทว่าตั้งแต่หรงจิงขึ้นครองบัลลังก์มา ราชสำนักฝ่ายหน้ามีเงินเดือนสูงแต่ทว่าไม่สุจริต ทั้งยังมีตัวมอดเกิดขึ้นมามาก เขาขยันอดออมทำงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด เพราะขึ้นครองราชย์แต่เยาว์วัยพื้นฐานจึงไม่มั่นคงพอ เขารู้เขาเข้าใจดีว่าน้ำที่ใสเกินไปนั้นจะไม่มีปลาแหวกว่าย

 

 

แต่ระยะนี้คดีทุจริตเงินเดือนและเสบียงกองทัพ คดีทุจริตตัวเลขผลตอบแทนต่างๆ อีกทั้งความรุนแรงจากเจ้าต่างเผ่าองค์ใหม่ทางภาคเหนือล้วนเกิดขึ้นเพราะการทุจริตหนักในกองทัพ และหัวหอกชี้ไปทางจวนขุนพลจิน

 

 

ทำให้หรงจิงที่พึ่งพาจวนขุนพลจินมาโดยตลอดบันดาลโทสะ ระบบการให้เงินเดือนสูงของเขานอกจากเหล่าขุนนางจะไม่สำนึกบุญคุณแล้ว กลับยังเป็นการก่อเกิดความต้องการและละโมบของพวกเขาเสียอีก

 

 

ระบบการให้ผลตอบแทนสูงนี้ ในระดับของเซียงฉือที่เป็นข้าราชสำนักสตรีเริ่มจากขั้นที่เก้า นอกจากที่ดิน ข้าวสารแล้ว เซียงฉืออยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง สวัสดิการต่างๆ จะได้รับสูงขึ้นหนึ่งขั้นเท่ากับขั้นที่แปด ซึ่งขั้นที่แปดชั้นเอกนี้จะได้รับข้าวปีละหนึ่งร้อยหาบ เพียงพอสำหรับการบริโภคของหนึ่งครอบครัวใหญ่ อีกทั้งสิ่งของประกอบอื่นๆ อีก

 

 

แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางสำคัญในราชสำนัก ซึ่งเป็นขุนนางมีสถานะสูงสุดแต่กลับมาเป็นปรปักษ์กับเขา

 

 

หรงจิงมีความคิดมากมายเกิดขึ้น เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นจากสายตาที่มองไปทางสวี่อี้

 

 

กุ้ยเฟยนำหวังหมัวหมัวเข้าไปจัดปูเตียงด้านในเพื่อให้ฝ่าบาทบรรทม ส่วนหรงจิงมองสวี่อี้ กำนิ้ววางบนโต๊ะแล้วเคาะสองครั้งอย่างไม่เป็นที่สังเกต

 

 

สวี่อี้เห็นสายพระเนตรฮ่องเต้และเข้าใจเจตนาของหรงจิงจึงก้มหน้าทำความเคารพแล้วหมุนกายออกไป ส่วนเหอจินเซ่อก็มารับหน้าที่แทนสวี่อี้อย่างเหมาะเจาะ สั่งการให้ข้าราชสำนักสตรีข้างกายค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

 

สวี่อี้กับเหอจิ่นเซ่อล้วนเป็นผู้คร่ำหวอดในวังจึงรู้และเข้าใจสถานการณ์ดีที่สุด เดิมทีพวกนางได้รับข่าวว่ากุ้ยเฟยลักพาตัวเซียงฉือ ความหมายของผู้ส่งข่าวคือกุ้ยเฟยเตรียมลงมือกำจัดเซียงฉือ เมื่อพวกนางได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปรายงานฮ่องเต้

 

 

ความตั้งใจของเหอจิ่นเซ่อคือการไปขอพระราชโองการเพื่อจะไปช่วยคนในตำหนักกุ้ยเฟย แต่ฮ่องเต้พอได้ฟังแล้วบันดาลโทสะรุนแรง นำเหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้มาตำหนักจินกุ้ยเฟยโดยตรง

 

 

เพราะค่ำมืดสงบเงียบ แสงไฟในตำหนักกุ้ยเฟยดับลงแล้ว แต่จู่ๆ ฮ่องเต้เสด็จมา ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น แม้แต่กุ้ยเฟยก็ยังกรีดกรายออกมาช้า

 

 

เห็นหรงจิงไม่ถือสานาง ทำให้เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ไม่เข้าใจเจตนาของเขาจึงยังคงไม่เคลื่อนไหว ครั้งนี้พวกนางแหวกหญ้าให้งูตื่นไปแล้ว แต่กิริยาของหรงจิงเมื่อครู่สวี่อี้เข้าใจ นางจึงออกนอกประตูไป เพื่อไปจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง

 

 

วังนี้เป็นฝ่ายในของฝ่าบาท ที่พวกนางดูแลก็คืองานในบ้านของฝ่าบาท เรื่องอะไรที่ควรตรวจสอบหรือไม่ควร ก็เป็นไปตามเจตนาของพระองค์

 

 

เพราะฝ่าบาทเท่านั้นที่เป็นประมุขของทุกคนในแผ่นดิน มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถกำหนดความเป็นตายของทุกคนในฝ่ายใน

 

 

กุ้ยเฟยลงมือจัดที่นอนให้เรียบเพื่อฮ่องเต้ด้วยตนเอง เสร็จแล้วจึงเดินไปข้างกายพูดเสียงอ่อนระทวย

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันจัดพระแท่นบรรทมเสร็จแล้ว เชิญบรรทมได้แล้วเพคะ ส่วนเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใต้เท้าเหอกับใต้เท้าสวี่เถิดเพคะ”