DC บทที่ 372: เป็นไปไม่ได้

 

“เนื่องมาจากสถานการณ์บางอย่าง ข้าได้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดไปก่อนที่จะได้มาเป็นศิษย์ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเพียงมินานมานี้ที่ข้าได้ฟื้นคืนความทรงจำเหล่านี้ และถึงแม้ว่าข้ามีคู่หมั้นอยู่จริง ทั้งหมดนี้ก็ตัดสินโดยตระกูลที่ข้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่อไป ดังนั้นพวกเราจึงมิได้มีความสัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว ตามจริงพวกเราก็มิเคยพูดคุยกันอย่างจริงจังมาก่อน” ซูหยางอธิบายสถานการณ์ให้คนรอบตัวเขาฟังอย่างใจเย็น ซึ่งต่างก็มีท่าทางแตกต่างกันไปตั้งแต่สงสัยไปจนถึงประหลาดใจ

 

“โอ ใช่แล้ว… ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว…” โหลวหลานจีแสดงรอยยิ้มขื่นขมหลังจากที่นึกถึงว่าเธอต้องซ่อนความจริงนี้ไว้

 

“เมื่อมาคิดว่าศิษย์พี่ชายของพวกเราต้องประสบกับโรคความจำเสื่อม*ก่อนที่เขาจะกลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเขาไม่ได้บอกพวกเราเรื่องนี้ ข้าก็คงไม่รู้เรื่องนี้ได้ด้วยตนเองต่อให้ผ่านไปร้อยปี” ซุนจิงจิงแสดงท่าทางงุนงง

 

ผู้แปล: * ต้นฉบับใช้คำว่า anemia (โรคโลหิตจาง) ซึ่งดูไม่เข้ากับเรื่อง ดังนั้นผมจึงคิดว่าผู้เขียนอาจจะต้องการสื่อถึง amnesia (ความจำเสื่อม) จึงขอดัดแปลงต้นฉบับเล็กน้อย

 

ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “เห็นชัดว่าเขาไม่ได้มีท่าทางเหมือนคนที่เป็นโรคความจำเสื่อม*”

 

ผู้แปล: * เช่นเดียวกับข้างบน

 

“เห็นด้วย เฉพาะกลเม็ดบนเตียงของเขาก็ทำให้ร้องครางเป็นประสบการณ์หลายสิบปีแล้ว” ซุนจิงจิงพึมพัมออกมาเสียงดัง

 

“…”

 

คำพูดของเธอพลันทำให้ผู้คนรอบตัวเธอมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนว่าไม่อยากจะเชื่อในความหน้าด้านของเธอ

 

“จะว่าไปเด็กหญิงที่ยืนอยู่บนเวทีในตอนนี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากตอนที่ข้าจำเธอได้ไปอยู่บ้าง ราวกับว่าข้ากำลังมองไปยังคนอีกคน กระทั่งพลังการฝึกปรือของเธอก็…” ซูหยางพูดออกมาด้วยความสับสน

 

“นับเวลาเป็นปีแล้วนับตั้งแต่พี่ได้เห็นเธอ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอที่จะดูเปลี่ยนไป” ซูหยินกล่าว

 

“อืมมมมม… “ หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเรื่องราวของข้า เราเคยหมั้นหมายกัน แต่ก็มิได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้ามั่นใจว่าเธอก็คงรู้สึกในทำนองเดียวกัน”

 

“ข้ามิมั่นใจในเรื่องนั้น พี่ชาย” ซูหยินพลันกล่าวขึ้น

 

“เจ้าหมายความว่าอะไรเช่นนั้น” ซูหยางเลิกคิ้วด้วยท่าทางงุนงง

 

“นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พี่ไปเยี่ยมพวกเรา พี่สาวอวี้เอ๋อร์ก็เริ่มแวะเวียนไปที่พวกเราบ่อยขึ้นและเธอก็จะถามพวกเราว่ามีข่าวของพี่ชายบ้างไหมอยู่เสมอ ถ้าให้ข้าเดา ข้าคิดว่าเธอกังวลเกี่ยวกับพี่”

 

“เป็นไปได้อย่างไรกัน เรายากที่จะพูดคุยกัน และจากความทรงจำของข้า เธอจะมองดูข้าด้วยท่าทางสะอิดสะเอียนเสมอ ราวกับว่าความคิดที่จะอยู่กับข้านั้นจะทำให้เธออาเจียน”

 

“ข้ามิรู้ว่าจะพูดอะไรดี พี่ชาย ทำไมท่านไม่ไปพูดกับเธอด้วยตัวเอง” ซูหยินถามเขา

 

“ข้าได้สลัดช่วงชีวิตก่อนที่จะเข้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทิ้งไปแล้ว ทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น… ข้ามิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับมันอีก” ซูหยางส่ายหน้า

 

ชีวิตที่เขาไม่ได้ดำเนินการไปด้วยตนเอง ทางที่ดีเขาควรจะทิ้งมันไว้เบื้องหลัง และเป็นโชคดีสำหรับเขาที่ไม่มีความผูกพันอย่างจริงจังติดมาด้วยจากชีวิตนั้น

 

“อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอมาหาข้า นั่นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” เขากล่าวต่อ

 

ขณะที่ซูหยางพูดถึงเรื่องราวของตนเอง การแข่งขันรอบสุดท้ายของวันนี้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

หลังจากที่เขาได้อธิบายเสร็จสิ้นแล้ว สำนักเมฆม่วงก็ได้อยู่ที่ขอบเหวของความพ่ายแพ้เมื่อมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันเหลืออยู่เพียงสองคน

 

“โอ และนั่นก็คือศิษย์อีกคนหนึ่งของสำนักเมฆม่วง ในเวลานี้นิกายล้านอสรพิษยังคงมีศิษย์เหลืออยู่อีกเจ็ดคนที่ยังสามารถต่อสู้ได้ แม้ว่าข้าเกลียดที่จะประกาศผลก่อนถึงจุดจบจริงๆ แต่โอกาสที่สำนักเมฆม่วงจะกลับมาหากเป็นเช่นนี้ต่อไปนั้นเกือบเป็นไปไม่ได้” ซื่อตงแสดงความคิดเห็นของตนเองต่อผู้ชม

 

“อย่างไรก็ตามหากมองไปยังฝั่งสำนักเมฆม่วง พวกเขาไม่มีใครที่ดูเหมือนพ่ายแพ้ อันที่จริงแล้วพวกเขายิ้มอยู่จริงๆ พวกเขาได้ยอมแพ้ไปแล้วหรือไงหรือว่ายังมีเหตุผลอื่นที่ทำไมพวกเขาทั้งหมดจึงยังคงยิ้มอยู่ในตอนนี้”

 

แม้ว่าสำนักเมฆม่วงจะลดจำนวนลงเหลือศิษย์เพียงแค่หนึ่งคนในขณะที่คู่แข่งของพวกเขายังคงมีศิษย์เหลืออีกเจ็ดคนที่สามารถขึ้นไปบนเวที แต่ก็ไม่มีศิษย์คนไหนท้อใจ พวกเขาทั้งหมดยังคงยิ้มราวกับว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าพวกเขาจะชนะ

 

“ศิษย์หง ตาเจ้าแล้ว” เจ้าสำนักเมฆม่วงหันไปมองดูใบหน้าสวยของเธอและกล่าวขึ้น

 

หงอวี้เอ๋อร์พยักหน้าและตรงไปที่เวที

 

“ท่านสามารถทำได้ ศิษย์พี่หญิงหง”

 

“ถล่มพวกนั้นให้กับพวกเรา”

 

ศิษย์ร่วมสำนักของเธอต่างพากันส่งเสียงเชียร์เธอ

 

ก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่ต่อสู้ หงอวี้เอ๋อร์ได้หยิบกระบี่ธรรมดาจากซื่อตง

 

ไม่นานหลังจากนั้น หงอวี้เอ๋อร์ก็ยืนอยู่ตรงหน้าคู่ต่อสู้อย่างเยือกเย็น ซึ่งอีกฝ่ายนั้นได้อยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ

 

“เฮ้ คนสวย ทำไมพวกเรามิมาตกลงกันล่ะ ถ้าเจ้าสัญญาที่จะมอบความสนุกให้กับข้าหลังจากนี้ ข้าจักยอมให้เจ้าทุบตีข้าและให้เจ้ามีหน้ามีตา” ศิษย์จากนิกายล้านอสรพิษกล่าว

 

“…”

 

อย่างไรก็ตามหงอวี้เอ๋อร์ยังคงนิ่งเฉยทั้งที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

 

“เช่นนั้นอย่ากล่าวหาข้าสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น”

 

ใบหน้าของศิษย์คนนั้นพลันควันขึ้น(โกรธ) หลังจากที่เธอไม่ให้ความสนใจ

 

“เริ่ม” ซื่อตงเริ่มการแข่งขันไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น

 

ทันทีที่การแข่งขันเริ่มขึ้น ประกายอันหนาวเหน็บลึกล้ำก็ปรากฏวาบภายในดวงตาของหงอวี้เอ๋อร์

 

“อาาาาาาา”

 

คู่ต่อสู้ของเธอที่กำลังยืนอยู่ห่างออกไปนับสิบเมตรพลันทรุดตัวลงกับพื้นขณะที่กุมพื้นที่บริเวณหว่างขาไว้แน่น

 

“เอ๋ เจ้าเป็นอะไรไหม” ซื่อตงงงงันในตอนแรก

 

จนกระทั่งเขาได้สังเกตเห็นว่ากางเกงของอีกฝ่ายนั้นชุ่มไปด้วยเลือด เขาจึงตระหนักได้ถึงสถานการณ์

 

“หมอ ขอหมอหนึ่งคน” ซื่อตงตะโกนดังลั่น

 

ไม่นานหลังจากนั้น หมอสองคนก็ปรากฏขึ้นบนเวทีและตรวจสอบอาการของชายหนุ่ม

 

เมื่อหมอรู้ถึงปัญหา ร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา” ซื่อตงถามพวกเขา

 

“ต-ตอน เขาถูกตอนแล้ว” หมอคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยเสียงหวาดผวา

 

“อะไรกัน” ซื่อตงพลันหันไปมองดูหงอวี้เอ๋อร์ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเยือกเย็นเหมือนกับว่าไม่มีธุระอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ

 

“ถ้าข้าจำมิผิด หญิงสาวคนนี้ควรจะอยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ มิมีทางที่คนที่มีการฝึกปรือระดับนั้นจะสามารถเชือดเข้าไปถึงเนื้อได้ในขณะที่อยู่ภายในค่ายกลป้องกันที่รายล้อมพื้นที่นี้อยู่ อย่าว่าแต่จะตอนเจ้าหนุ่มนั่น เธอทำสิ่งนั้นได้อย่างไร” ซื่อตงครุ่นคิดอย่างหนัก

 

ในเวลานั้นซูหยางก็กำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกขณะที่ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าสวยของหงอวี้เอ๋อร์

 

“วิชากระบี่นั่น เป็นไปไม่ได้”

 

ผู้แปล: นานๆจะเห็นซูหยางตกใจสักครั้ง หงอวี้เอ๋อร์อยู่ที่บทที่ 139-140 นะครับ ผมเดาเอาว่าเธอน่าจะเป็นแม่ของชิวเยวี่ย เทพีจันทรา เยวี่ยไฮ เพราะจากเรื่องราวที่ผ่านมา บทที่ 70 เยวี่ยไฮ เป็นคนเดียวที่ได้ตายตามซูหยาง (เดานะครับ ไม่รู้เนื้อเรื่องเหมือนกัน)