ภาคที่ 1 บทที่ 119 ข้ามเขต (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 119 ข้ามเขต (3)

 

 

ด้านบนสุดของหอสูง เหล่าผู้มีตำแหน่งสำคัญทั้งหลายต่างพากันดูการทดสอบผ่านแผ่นแสงที่ส่องสว่าง

 

 

มีแผ่นแสงแสดงภาพเหตุการณ์ปัจจุบันในสนามสอบเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น หากแต่มีผู้เข้าสอบนับหมื่น ดังนั้นจึงแผ่นแสงจึงไม่ได้แสดงภาพของคนทุกคนขึ้น ส่วนมากแผ่นแสงจะเสาะหาการต่อสู้ที่น่าสนใจให้เหล่าผู้มีตำแหน่งสำคัญดูเสียมากกว่า

 

 

ที่ด้านข้างแผ่นแสงที่แสดงภาพการต่อสู้ทั้งหลายคือแผ่นแสงที่ใช้แสดงคะแนน

 

 

ตัวเลขบนแผ่นแสงแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา บ่อยครั้งที่ลำดับสลับสับเปลี่ยนไปมา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงสลับกันไป

 

 

แต่ไม่ว่าลำดับจะมีความเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงไร ก็ยังมีลำดับของคนผู้หนึ่งที่ไร้ความเปลี่ยนแปลงใด

 

 

คนผู้นั้นกลับรั้งอยู่อันดับแรกโดยไม่อาจมีผู้ใดโค่นล้มได้!

 

 

ชื่อที่อยู่ลำดับสูงสุดคือจีหานเยี่ยน ชื่อของคนผู้นี้มีคำว่า “สกุณาเหมันต์”อยู่ในวงเล็บต่อจากชื่อ ที่ท้ายชื่อคือตัวเลขสะดุดตา นั่นคือเลข 75

 

 

คำในวงเล็บคือสายเลือดของคนผู้นั้น มีเพียงผู้ที่ได้รับสายเลือดสืบต่อมาเท่านั้นที่จะมีสัญลักษณ์นี้ต่ออยู่ท้ายชื่อ ส่วนตัวเลขท้ายชื่อคือจำนวนคะแนนที่คนผู้นั้นทำได้

 

 

ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน จีหานเยี่ยนผู้นี้กลับสามารถทำคะแนนได้กว่าเจ็ดสิบคะแนน นับเป็นความเร็วที่น่ากลัวไม่น้อย การสอบเพิ่งจะเริ่มขึ้นไม่นาน ผู้เข้าสอบแต่ละคนเพิ่งจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นคนละเพียงหนึ่งคะแนนเป็นส่วนมาก คะแนนเจ็ดสิบกว่าคะแนนเช่นนี้หมายความว่าจีหานเยี่ยน สามารถเอาชนะคนอย่างน้อยห้าสิบคนภายในเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น

 

 

แม้นางจะใช้ลูกไฟจัดการไปทีละคน หากแต่คนส่วนมากไม่ได้มีพลังต้นกำเนิดกักเก็บไว้ในร่างมากมายเช่นนั้น

 

 

ลำดับถัดจากชื่อจีหานเยี่ยนคือคนกลุ่มใหญ่ที่พยายามต่อสู้กันไม่หยุดหย่อนเพื่อดันลำดับตัวเองขึ้น ผู้ที่มีชื่อติดอันดับต้น ๆ เกือบทั้งหมดเป็นผู้ที่มีสัญลักษณ์สายเลือดปรากฏอยู่ท้ายชื่อทั้งสิ้น

 

 

บางครั้งก็จะมีชื่อที่ไร้สายเลือดปรากฏขึ้นมาเช่นกัน หากแต่ไม่ทันไรก็หายไปอีกครั้ง

 

 

ไม่ว่าจะเป็นซูเฉิน ลี่ชิงอวิ๋น ไป๋หลี หรือจะเป็นศิษย์ตระกูลคนอื่น ๆ ชื่อของพวกเขาไม่เคยปรากฏขึ้นติดอันดับหนึ่งในร้อยเลยสักครั้ง

 

 

“ดูท่าปีนี้ก็จะเป็นเช่นเดิม มีเพียงศิษย์จากตระกูลสูง ๆ ที่ครองลำดับต้น ๆ ในการแข่งขันเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น มันช่างน่าเบื่อเสียจริง” สมาชิกจากตระกูลสูงส่งผู้หนึ่งหัวเราะออกมาขณะนั่งอยู่ในหอสูง

 

 

“ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่? หากสายเลือดจากตระกูลสูงไม่มีความสามารถเหนือกว่าเหล่าสามัญชนคนธรรมดาที่ไร้สายเลือด เช่นนั้นจะนับเป็นตระกูลสูงได้อย่างไร?” ชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แปลกใจ

 

 

“เหล่าฉีพูดได้ถูกต้อง เช่นนี้น่าเบื่อนัก หากมีทิวาทมิฬเกิดขึ้นอีก เรื่องคงจะน่าสนใจกว่านี้” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

เมื่อได้ยินคำว่า “ทิวาทมิฬ” หลาย ๆ คนก็เริ่มกระซิบกระซาบกับคนรอบข้างตัว

 

 

มีคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจเท่าไหร่ “ข้าว่าคนอย่างหลงพั่วจวินมีเพียงคนเดียวก็นับว่ามากไปแล้ว แต่ท่านกลับอยากให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ท่านมีสาเหตุใดที่จำเป็นต้องเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาให้พวกข้าต้องเสียหน้าด้วย?”

 

 

“เอาน่าเหล่าเหลียง ท่านก็รู้ว่าเหล่าฉีเพียงพูดเล่นเท่านั้น เหตุใดจึงต้องเคร่งเครียดเช่นนั้นด้วยเล่า? คนอย่างหลงพั่วจวินอีกพันปีก็คงไม่มีอีก จะมีอีกคนปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไร” คนอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้น พยายามคลี่คลายสถานการณ์

 

 

“ถูกต้อง ๆ มาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า สิบอันดับในปีนี้ พวกเรามี สกุณาเหมันต์จีหานเยี่ยน อสูรโลหิตจงติ่ง ผีเสื้อลวงจินหลิงเอ้อร์ และคันศรไม้จางเซิ่งอัน สี่คนนี้ไร้ข้อกังขาเรื่องความแข็งแกร่ง หากแต่ข้าสงสัยว่าอีกหกอันดับจะเป็นผู้ใดได้ไป ตอนนี้ยังไม่อาจคาดเดาได้ชัดเจนนัก”

 

 

“วานรเสน่หาเวิ่นหรูสุ่ยมากจากตระกูลปรมาจารย์ภาพมายา ไม่แน่อาจติดอันดับก็เป็นได้”

 

 

“ข้ากลับไม่เห็นเป็นเช่นนั้น แม้สายเลือดประเภทภาพมายาจะทรงพลังนัก แต่ความสามารถกลับไม่เป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้เท่าไหร่ ทั้งยังต้องใช้พลังวิญญาณเพียงอย่างเดียว อัตราการฟื้นฟูของพลังวิญญาณนั้นต่ำกว่าพลังต้นกำเนิดมาก นางคงมีพลังวิญญาณไม่มากพอจนจบการสอบเป็นแน่ แม้ตอนนี้เวิ่นหรูสุ่ยจะยังรั้งอันดับต้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปลำดับนางจะลดลง ข้ากลับคิดว่าจะเป็นกวนซานอิงมากกว่า”

 

 

“ข้าว่าลืมกวนซานอิงไปได้เลย คนผู้นี้เอาแต่พึ่งอิงเสียงอี้จนมากเกินไป แต่แท้จริงแล้วมีพละกำลังมีจำกัด มันอาจพอลักไก่ลูบสุนัข ลื่นไหลไปกับเหล่าสตรีได้ (1) หากแต่ไม่อาจสามารถต้านเหล่าบุรุษผู้แข็งแกร่งได้แน่นอน ข้าชอบดาบระมาด(2)เจิ้นขวงมากกว่า ถือหอกท่าทางโอ่อ่า ดูโดดเด่นไม่น้อย”

 

 

“เขามีพละกำลังแข็งแกร่ง แต่กลับไม่มีสมองเท่าไหร่”

 

 

“ข้าว่าตะขาบพิษข่งเชิน พิษของเขาร้ายแรงนัก”

 

 

“จิตวิญญาณอัสนีบาตไป๋โอว……”

 

 

“มังกรแล้งเจียงหยาง……”

 

 

“กระเรียนอวบ……”

 

 

หลากหลายชื่อถูกเอ่ยขึ้นในกลุ่มคน ทั้งพวกเขายังแสดงความคิดเห็นต่อการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นในตอนนี้อีกมากมาย

 

 

————————————

 

 

“ฟิ้ว!” ซูเฉินถอนหายใจยาวออกมา

 

 

คู่ต่อสู้ที่เขากำลังประจัญหน้าอยู่ในตอนนี้ตึงมือพอตัว ซูเฉินต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมากเพื่อเอาชนะเขา

 

 

หากแต่นี่ยังไม่ใช่ปมสำคัญ

 

 

ปมสำคัญคือยิ่งเด็กหนุ่มต่อสู้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องใช้พลังต้นกำเนิดมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้เขาเพิ่งเดินทางผ่านเขตมาเพียงสองเขต แต่กลับรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังต้องเดินทางผ่านอีกตั้งห้าเขต !

 

 

เมื่อคิดถึงจุดนั้นซูเฉินก็รู้สึกปวดหัวยิ่งนัก

 

 

ภารกิจนี้ของเขาหนักหนาสาหัสกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนัก

 

 

ตอนที่อีกฝ่ายกำลังสับสนมึนงง ซูเฉินก็ชิงคะแนนเขามา จากนั้นลากร่างอีกฝ่ายไปซ่อนไว้ในพงหญ้าใกล้ ๆ จะได้ไม่ถูกคนเดินผ่านมาเอาเปรียบ ชิงคะแนนไปได้

 

 

 

เมื่อจัดการเรื่องจบแล้ว ซูเฉินหันกลับไปเตรียมตัวออกเดินทางต่อ

 

 

เดินไปยังไม่เท่าไหร่กลับรู้กว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

 

ซูเฉินรีบหันมาในทันที มีดเหล็กปรากฏขึ้นในมือ

 

 

ไม่ไกลจากเขานัก ชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้ายืนอยู่ ที่หลังแบกดาบยาวเล่มหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงดาบยาวธรรมดาแต่กลับมีรูปร่างแปลกประหลาด ตัวดาบดูยาวและบางกว่าดาบทั่วไป ทั้งยังมีรูปร่างโค้งเล็กน้อย ดาบเช่นนี้ไม่เหมาะกับการโจมตีรุนแรงแบบประจัญหน้า ดังนั้นวิถีดาบของอีกฝ่ายจะต้องเน้นที่ความเร็วและความแม่นยำเป็นแน่

 

 

ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยกมือขึ้นกอดอกก่อนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ตกต่ำจนถึงต้องแอบลอบโจมตีเจ้าหรอก ดูท่าเจ้าจะมีความกล้าอยู่บ้าง ฉะนั้นอีกเดี๋ยวพอข้าเอาชนะเจ้าได้แล้วข้าจะไม่ทำลายป้ายหยกของเจ้า”

 

 

หากแต่ซูเฉินกลับมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้นครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ลี่ชิงอวิ๋น?”

 

 

ชายหนุ่มในชุดคลุมฟ้าอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด “รู้จักข้าหรือ?”

 

 

ซูเฉินพยักหน้าตามตรง

 

 

เขาต้องรู้จักลี่ชิงอวิ๋นแน่นอน

 

 

ลี่ชิงอวิ๋นและซูเฉินนับเป็นอัจฉริยะในตอนนั้น หากแต่โชคชะตาของคนทั้งสองกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

 

 

ซูเฉินพบขอทานเฒ่าทำให้ชีวิตพบกับเรื่องเลวร้าย ในขณะที่ลี่ชิงอวิ๋นกลับได้พบโชคใหญ่ในปีเดียวกัน ความสามารถเขาเตะตาดาบหลิวเหอฉางเชิงเข้า และได้กลายเป็นศิษย์ของเขา จากนั้นจึงได้รับวิชาดาบหลิวเวหาร่ายรำและคมดาบลับมา ดาบหลิวเวหาร่ายรำสง่างามปราดเปรียว การเคลื่อนไหวแปลกประหลาด ส่วนวิชาคมดาบลับนั้นรุนแรงดุดัน นับเป็นการโจมตีที่จุดตายหมายสังหาร ทั้งสองวิชาเป็นวิชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่พอสมควร หากลี่ชิงอวิ๋นมีกำลังสองในสิบส่วนของเหอฉางเชิง ซูเฉินก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้

 

 

ลี่ชิงอวิ๋นนึกบางอย่างขึ้นได้ “เจ้ามาจากเมืองหลินเป่ยหรือ?”

 

 

ซูเฉินพยักหน้า

 

 

“ไม่คิดเลยว่าจะมีผู้เข้าสอบจากเมืองหลินเป่ยที่ข้ามมายังเขต 12” ลี่ชิงอวิ๋นหัวเราะ

 

 

“อาจจะไม่ใช่เพียงข้ากับเจ้าก็เป็นได้” ซูเฉินเอ่ยพร้อมส่ายหน้า

 

 

ลี่ชิงอวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ เขามองไปรอบทิศ จากนั้นเอ่ยขึ้น “ใครกัน ออกมาเดี๋ยวนี้!”

 

 

“ศิษย์พี่ลี่ ปฏิกิริยาท่านช้ากว่าหน้ากากปีศาจนั่นไปหน่อยนะ” เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นดังมาจากยอดต้นไม้นหนึ่งที่อยู่ไกล ๆ

 

 

ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนยอดไม้ เขาคือชายหนุ่มในชุดผ้าหยาบดูถ่อมตน ไป๋หลี

 

 

“เป็นเจ้า” เมื่อเห็นว่าเป็นไป๋หลี ลี่ชิงอวิ๋นก็คำรามขึ้น “ข้าน่าจะรู้ตัวว่าเป็นเจ้า ในสิบสามเขตนี้ผู้ที่กล้าข้ามไปยังเขตสูงกว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หลินชูเยว่กับหลินจิ้งซวนเล่า?”

 

 

“ชูเยว่ยังอยู่ที่เขต 13 ส่วนหลินจิ้งซวนเหมือนจะข้ามไปเขต 15” ไป๋หลีตอบ

 

 

ลี่ชิงอวิ๋นหัวเราะเยาะออกมา “หึ ขยะไร้ค่า”

 

 

หากการข้ามไปยังเขตที่สูงกว่านับเป็นการกระทำที่กล้าหาญ เช่นนั้นผู้ที่มาจากเขตสูงกว่าข้ามไปยังเขตต่ำกว่านั้นคือการรังแกคนอ่อนแอ ผู้ที่มีพลังแท้จริงรังเกียจการกระทำเช่นนั้นยิ่ง

 

 

หากแต่หลินจิ้งซวนกลับถูกเข้าใจผิด

 

 

เป็นเพราะการส่งเขาไปยังเขต 15 เป็นความตั้งใจของซูเฉิน เขาต้องการเก็บหลินจิ้งซวนไว้เป็นที่พึ่งสุดท้าย หากเรื่องเนินกลบวิญญาณทำให้เขาไม่อาจเก็บคะแนนได้มากพอ เขาก็จำเป็นต้องใช้หลินจิ้งซวนเพื่อเสริมคะแนนตน

 

 

หลังจากต่อว่าหลินจิ้งซวนแล้ว ลี่ชิงอวิ๋นก็เอ่ยขึ้น “ไม่คิดเลยว่าพวกเราสามคนจากเขต 13 จะมาเจอหน้ากันที่เขต 12 เช่นนี้ น่าสนใจนัก”

 

 

“เรื่องเช่นนี้ไม่นับเป็นความบังเอิญหรอก” ไป๋หลีหัวเราะก่อนยกมือขึ้นเกาหัว “จะเดินทางเข้าเขต 12 จากเขต 13 ทางนี้เป็นทางที่ใกล้ที่สุด หากอยากประหยัดเวลา อย่างไรก็มีโอกาสพบหน้ากันสูง”

 

 

ลี่ชิงอวิ๋นคำรามต่ำ “ข้าไม่ได้ให้เจ้ามานั่งคำนวนสถานการณ์ ในเมื่อพบกันแล้วก็ประมือกันหน่อยเถอะ”

 

 

พูดจบเขาก็ชักดาบยาวบนหลังออกมาถือไว้

 

 

ไป๋หลียังคงยกยิ้มไม่คลาย หากแต่ในรอยยิ้มตอนนี้เจอไปด้วยแววระแวดระวังและเคร่งเครียด

 

 

“เหตุใดไม่ลองเปลี่ยนการแข่งขันดูเล่า?” ซูเฉินพลันเอ่ยขึ้น

 

 

คนทั้งคู่หันมามองเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

 

ซูเฉินเอ่ย “ในเมื่อชะตานำพวกเราทั้งสามให้มาพบกัน เช่นนั้นดูท่าจะมีความนัย พวกเราต่างเลือกต่อสู้ในต่างเขต พากันมุ่งหน้าไปยังเขตที่มีระดับสูงกว่าทั้งสิ้น เป็นเพราะเหตุใดกัน? เป็นเพราะพวกเราไม่ต้องการรั้งอันดับท้ายใช่หรือไม่? ดังนั้นจึงต้องการพิสูจน์ตน หากแต่ไม่อาจพิสูจน์ตนในเมืองเล็ก ๆ ที่ขาดแคลนทรัพยากรอย่างเมืองหลินเป่ยได้ ดังนั้นพวกเราจึงเดินทางข้ามมายังเขตระดับสูงกว่า”

 

 

คำพูดเหล่านี้กระแทกใจคนทั้งคู่

 

 

หากสิ่งที่ซูเฉินกล่าวไม่ใช่เรื่องจริง เช่นนั้นพวกเขาจะเดินทางมาที่นี่เพื่อเหตุอันใด?

 

 

ซูเฉินเอ่ยต่อ “เช่นนั้นจะต่อสู้กันเองไปเพื่อเหตุใด? ในเมื่อโชคชะตาให้เราพบกันเช่นนี้อาจเพราะต้องการบอกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องห้ำหั่นกันเอง อย่างไรพวกเราทุกคนก็ต้องสู้เพื่อให้ได้ที่นั่งในสถาบันมังกซ่อนเร้นมา หากแต่ที่นั่งตรงนั้นไม่จำเป็นต้องได้มาจากการเอาชนะคู่ต่อสู้เท่านั้น การแข่งขันนี้กินพื้นที่ทั่วทั้งมณฑลสามเทือกเขา ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้นับไม่ถ้วน พวกเราจะแข่งขันอย่างอื่นกันก็ย่อมได้”

 

 

ลี่ชิงอวิ๋นเอ่ยเสียงต่ำขึ้น “เจ้าจะบอกว่าผู้ที่ได้คะแนนมากสุดเป็นฝ่ายชนะหรือ? เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

 

 

“เปล่า ข้าบอกว่าให้พวกเราแข่งกันว่าผู้ใดจะสามารถเดินทางข้ามไปยังเขตที่สูงที่สุดได้” ซูเฉินเผยรอยยิ้มเป็นปริศนา เขาชี้นิ้วไปยังเส้นทางที่พวกเขายืนอยู่ “เดินตามทางสายนี้ไป หากเป็นลูกผู้ชายตัวจริงก็ต้องจัดการคู่ต่อสู้ตามเส้นทางนี้ให้สิ้น!”

 

 

 

เชิงอรรถ

 

ลักไก่ลูบสุนัข แปลว่า ลักลอบแอบมีความสัมพันธ์กับสตรี

 

ระมาด แปลว่า แรด