บทที่ 402 หานักปรุงยา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 402 หานักปรุงยา

“นายน้อยขอรับ สมุนไพรตัวนี้… รับประทานได้จริงๆ ใช่ไหมขอรับ?”

สัญชาตญาณแจ้งเตือนหวังจงว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

“จี๊ด!”

อากวงไม่รีรออะไรอีกแล้ว มันโยนเศษผลไม้แห้งเข้าปากปราศจากความลังเล

ให้ตายสิ!

หวังจงถูกเจ้าหนูตัวแสบฉีกหน้าอีกแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันอากวงคงได้กลายเป็นบ่าวรับใช้คนโปรดของนายน้อยแน่ๆ แล้วตำแหน่งของหวังจงก็จะถูกแทนที่โดยสมบูรณ์

หวังจงเห็นดังนั้นก็รีบโยนเศษผลไม้แห้งเข้าปากกลืนลงท้องทันที

ไม่กี่อึดใจต่อมา…

“จี๊ด?”

อากวงส่งเสียงอุทานอยู่ในลำคอ

หลินเป่ยเฉินพบว่าเจ้าหนูกำลังยกมือกุมท้อง เหมือนมันกำลังปวดท้องอย่างกะทันหัน สุดท้ายก็ต้องรีบวิ่งออกไปจากตำหนักไม้ไผ่เพื่อไปขับถ่ายที่ด้านนอก

หวังจงเริ่มใจไม่ดี ความรู้สึกที่ไม่เป็นมงคลก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้ง

แล้วในอึดใจต่อมา ภายในช่องท้องของพ่อบ้านชราก็ร้อนวูบวาบ เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไหลเวียนปั่นป่วนเป็นกระแสที่ยากต่อกล้ามเนื้อหูรูดจะต้านทานได้…

“ฮื่อ…”

หวังจงร้องครางในขณะที่หมุนตัววิ่งออกไป

หลินเป่ยเฉินนั่งมองอย่างใช้ความคิดอยู่ในอ่างอาบน้ำ

ท้องเสียก็คงไม่ถึงตายหรอกมั้ง

สมุนไพรหลายตัวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ก็มีอาการท้องเสียเป็นผลข้างเคียงปกติ

นี่เป็นแค่ผลข้างเคียงเท่านั้น… เดี๋ยวรอดูสรรพคุณที่แท้จริงก่อนดีกว่า

ผ่านไปเพียงชั่วเวลา 1 ก้านธูป

หวังจงกับเจ้าหนูอากวงกลับมาที่ห้องนั่งเล่นในตำหนักไม้ไผ่

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว มีสองสาวรับใช้คอยป้อนน้ำป้อนขนม ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นพ่อบ้านชรากับสัตว์เลี้ยงประจำตัวเดินกลับเข้ามาอย่างปลอดภัย

ไม่ตายจริงด้วย

แล้วพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็ดูจะหนาแน่นมากกว่าเดิม

เห็นไหมล่ะ

ขนบนตัวของอากวงก็ดูเป็นประกายและนุ่มสลวยมากกว่าเคย

แล้วก็กล้ามเนื้อแขนของมัน… หรือต้องเรียกว่าขาหน้านะ? ก็มีมัดกล้ามที่เป็นรูปทรงเด่นชัดมากขึ้น ทำให้ในขณะนี้ อากวงเป็นเหมือนหนูนักเพาะกายก็ไม่ปาน

ส่วนหวังจง…

หวังจงก็ดู…

หนุ่มแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

เมื่อเห็นว่าผิวหนังใบหน้าของหวังจงที่หย่อนคล้อยกลับเต่งตึงขึ้นมาและริ้วรอยตีนกาก็หายไปหลายส่วนอย่างน่ามหัศจรรย์ หลินเป่ยเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงแล้วจริงๆ

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ใช้เวลาแค่เพียง 1 ก้านธูปเท่านั้น

หวังจงดูหนุ่มกว่าเดิมหลายสิบปี

หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเลือดลมในร่างกายของพ่อบ้านชราไหลเวียนอย่างมีพลังมากขึ้น

หากเป็นหวังจงคนก่อน พ่อบ้านชราก็มีสภาพเหมือนไก่ป่าใกล้ตาย ไม่สามารถต่อสู้กับใครได้ นอกจากหลบหนีเอาตัวรอดไปวันๆ แต่หวังจงที่อยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ เปรียบเสมือนกระทิงหนุ่มผู้แข็งแรง ไม่ว่าจะให้ทำงานหนักแค่ไหน ก็ไม่มีปัญหาอีกแล้ว

“ความเมตตาของนายน้อย หวังจงไม่มีทางตอบแทนได้หมดสิ้น”

พ่อบ้านชราคุกเข่าลงด้วยความซาบซึ้งใจ “นี่คือยาวิเศษ นี่คือยาวิเศษจริงๆ”

“เจ้า…” หลินเป่ยเฉินพูด “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

หวังจงยิ้มอย่างมีความสุข “บ่าวรู้สึกดีมากขอรับ ราวได้กลับไปเป็นหนุ่มแน่นอายุ 20 ปีอีกครั้ง บ่าวรู้สึกแข็งแรงในชนิดที่ว่าสามารถล้มกระทิงป่าได้ในหมัดเดียว แข้งขาที่เคยปวด ก็ไม่มีอาการตกค้างอีกแล้ว ตับ ปอด ม้าม หัวใจ ทำงานได้อย่างแข็งแรง บ่าวรู้สึกเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่เลยขอรับ ต่อให้เดินวนรอบสถาบัน 6 รอบ บ่าวก็คงไม่เหนื่อยอีกแล้ว… ว่าแต่นายน้อยขอรับ สมุนไพรชนิดนี้คืออะไร ทำไมมันถึงมีสรรพคุณวิเศษเหลือเกิน”

“จี๊ด!” อากวงกระโดดโลดเต้นด้วยความลิงโลด มันเขียนข้อความสองประโยคบนกระดานประจำตัวด้วยความกระตือรือร้น

“นายท่านยอดเยี่ยมที่สุด”

“ข้าน้อยรู้สึกว่าสามารถต่อยหวังจง 20 คนกับคุณชายเซียวปิง 5 คนตายได้ในหมัดเดียวเลยขอรับ”

หลังเขียนจบแล้ว เจ้าหนูก็เบ่งกล้ามโชว์ความแข็งแรงของร่างกาย

เมื่อหวังจงเห็นข้อความนั้น ใบหน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาลทันที

หลินเป่ยเฉินตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพบว่าหวังจงกับอากวงล้วนมีร่างกายแข็งแกร่งขึ้นทั้งคู่ และนี่ยังเป็นช่วงที่ร่างกายย่อยพลังงานจากผลไม้วิเศษไม่หมดด้วยซ้ำ คาดว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองจะต้องเพิ่มมากขึ้นหลังจากนี้อีกแน่นอน

แต่สำหรับสองสาวรับใช้ หลินเป่ยเฉินยังไม่กล้าให้พวกนางรับประทาน เพราะเขายังไม่รู้ว่าผลไม้วิเศษที่เหี่ยวแห้งลูกนี้ จะมีผลข้างเคียงใดต่อผู้รับประทานอีกหรือไม่

เอาไว้ให้แน่ใจก่อนว่าปลอดภัยค่อยให้พวกนางรับประทานทีหลังก็ยังไม่สาย

แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ…

ทั้งหวังจงและอากวงไม่มีใครมีพลังปราณธาตุไฟ

ดูเหมือนว่าการที่หลินเป่ยเฉินมีพลังปราณธาตุไฟจะไม่ได้มาจากผลไม้วิเศษลูกนี้ แต่มันเป็นพลังที่มาจากร่างกายของเขาเอง

และแม้ว่าพลังโดยส่วนใหญ่ของผลไม้วิเศษจะถูกดูดซับออกไปเกือบหมดแล้ว แต่ในเมื่อมันเป็นผลไม้จากดินแดนทวยเทพ แม้แต่เศษซากที่เหี่ยวแห้งและเหลือเนื้อเพียงไม่มาก ก็ยังนับว่าเป็นของวิเศษบนโลกมนุษย์อยู่ดี

เพราะฉะนั้น เขาต้องใช้มันให้มีประโยชน์มากที่สุด

โชคดีที่ในวันนั้นหลินเป่ยเฉินตัดสินใจเก็บซากแอปเปิลขึ้นมาจากถาดบูชา ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกนักบวชสาวในวิหารก็คงต้องเอามันไปโยนทิ้งถังขยะแน่ๆ

หลินเป่ยเฉินรู้สึกภูมิใจในความขี้งกของตนเองขึ้นมาทันที

เขามองผลแอปเปิลแห้งในมืออีกครั้ง แล้วความคิดบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ

“หวังจง เจ้ารีบไปเรียนเชิญอาจารย์ติง อาจารย์ฉู่ อาจารย์หลิวและอาจารย์พาน รวมถึงเสี่ยวไป๋กับปู้ฮวยให้มารับประทานมื้อกลางวันที่ตำหนักไม้ไผ่วันพรุ่งนี้ แล้วเจ้าก็ไปติดต่อนักเล่นแร่แปรธาตุหรือนักปรุงยาที่อยู่ในตัวเมืองโดยด่วนที่สุด เพราะข้ามีงานบางอย่างจะให้พวกเขาทำ”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

“รับทราบขอรับนายน้อย”

หวังจงลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดว่า “นายน้อยกำลังหานักปรุงยาใช่ไหมขอรับ แสดงว่าอยากจะแปรสภาพผลไม้ลูกนี้ให้เป็นผงสมุนไพรสินะ? นายน้อยกะจะเอาไปวางขายในตัวเมืองใช่ไหมขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “ถูกแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ”

ตาเฒ่านี่ก็ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย

คราวหลังสงสัยต้องสั่งโดยไม่ปิดบังอะไรอีกแล้ว

แต่เขาก็จะละสายตาไปจากหวังจงไม่ได้เช่นกัน

เมื่อได้ยินคำตอบดังนั้น หวังจงก็พยายามให้คำแนะนำว่า “แต่นายน้อยขอรับ อาจารย์พานเว่ยหมินกับอาจารย์หลิวฉีไห่ ต่างก็เป็นนักปรุงยาชื่อดังประจำเมืองทั้งคู่ หากนายน้อยคิดจะทำสิ่งใด ปรึกษาพวกท่านเอาจะดีที่สุดนะขอรับ อย่างไรอาจารย์ท่านก็เป็นคนกันเอง ย่อมสามารถพูดคุยได้สะดวกกว่าอยู่แล้ว”

หา?

พูดจริงสิ?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกหน้าแตก

เขาคลุกคลีตีโมงอยู่กับอาจารย์ทั้งสองมาหลายเดือน กลับไม่ทราบเลยว่าพวกท่านเป็นนักปรุงยาชื่อดัง…

ให้ตายสิ

แต่จังหวะที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“ติ๊ง!”

“ถึงกำหนดการอัปเดตระบบโทรศัพท์แล้ว การนับถอยหลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ ไม่ทราบว่าท่านต้องการอัปเดตเลยหรือไม่?”

“เริ่มต้นนับถอยหลัง  10… 9… 3… 2…”

เดี๋ยวก่อนสิ

นับถอยหลังต่อจาก 9 มันควรจะเป็น 8 ไม่ใช่หรือ?

อัปเดตก็ได้ เขาต้องอัปเดต

เดี๋ยวจะอัปเดตตอนนี้แหละ อย่าเร่งกันจะได้ไหม

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งให้โทรศัพท์มือถืออัปเดตระบบอยู่ในใจ

แล้วเขาก็รีบวิ่งขึ้นห้องนอนที่อยู่บนชั้นสอง

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงร้องครวญครางของนายน้อยหลินเป่ยเฉินก็ดังกึกก้องตำหนักไม้ไผ่