บทที่ 403 พ่อลูกหารือ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 403 พ่อลูกหารือ

 

 

ดึกสงัด ทุกอย่างเงียบสงบ

 

 

ภายในสถานศึกษากระบี่ที่สาม

 

 

หน้าต่างบานหนึ่งในหอพักอาจารย์ยังคงมีแสงตะเกียงสว่างไสวออกมาจากด้านใน

 

 

ติงซานฉือนั่งอยู่บนเตียง ร่างกายปกคลุมด้วยหมอกควันสีขาว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

 

 

ใบหน้าของชายชราบัดนี้ซีดขาวผิดธรรมชาติ

 

 

แล้วชายชราก็อ้าปากผ่อนลมหายใจออกมายาวแรง

 

 

ในลมหายใจนั้นมีกลิ่นเลือดเจือปนออกมาด้วย

 

 

“คงไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้อีกแล้วสินะ…”

 

 

ติงซานฉือขมวดคิ้ว

 

 

เขาปลดกระดุมเสื้อที่สวมใส่

 

 

แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามาลูบไล้เรือนร่างท่อนบนของอาจารย์ติง

 

 

มันทำให้ได้เห็นว่าร่างกายท่อนบนของเขามีผ้าพันแผลพันไว้ทั่วตัวราวกับเป็นมัมมี่ที่มีชีวิต

 

 

และบางจุดของผ้าพันแผลก็มีเลือดไหลซึมออกมาเป็นด่างดวงสีแดง

 

 

ติงซานฉือค่อยๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น

 

 

แล้วภาพที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้น

 

 

บนลำตัวของชายชราเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่ทั้งเก่าและใหม่ พวกมันเป็นเหมือนตะขาบตัวใหญ่เลื้อยคลานอยู่ตามหน้าอกและแผ่นหลัง รวมถึงช่วงท้องและชายโครง ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีบาดแผลสดใหม่อีกหลายตำแหน่งที่ยังคงไม่สามารถสมานตัวได้ จึงทำให้เห็นผิวหนังที่เหวอะหวะ สามารถมองเห็นได้ถึงกระดูกชายโครงที่อยู่ด้านใน…

 

 

ติงซานฉือแกะผ้าพันแผลทั้งหมดออกมา

 

 

อากาศที่หนาวเย็นยามราตรีกัดกินบาดแผลที่น่ากลัวเหล่านั้น

 

 

ชายชรานำผงยาสีทองที่เตรียมเอาไว้ โรยลงไปบนบาดแผลทีละนิด ทีละนิด

 

 

“ดูเหมือนว่าหลังจากที่วางแผนการสอนให้เจ้าลูกเต่านั่นได้แล้ว เราก็คงต้องออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อหาสมุนไพรวิเศษมารักษาบาดแผลเหล่านี้แล้วสินะ”

 

 

บนหน้าผากของติงซานฉือปรากฏหยาดเหงื่อผุดขึ้นมามากมาย

 

 

บาดแผลที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับยอดปรมาจารย์ ยากต่อการรักษาเสมอ

 

 

นี่คือบาดแผลที่ติงซานฉือได้มาจากการแย่งชิงหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์

 

 

หญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์อายุ 500 ปี ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้คนทั่วดินแดนต่างก็ใฝ่ฝันถึง

 

 

มือกระบี่กลุ่มหนึ่งออกไล่ล่าตามหาหญ้าวิเศษชนิดนี้เป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือน ไม่ทราบเลยว่ามียอดฝีมือเข้าร่วมการตามหามากมายกี่คน และแต่ละคนนั้นแทบไม่มีผู้ที่อยู่ในขั้นปรมาจารย์เลยสักคน เพราะส่วนใหญ่ในคณะจะมีแต่ผู้ที่อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ขึ้นไปทั้งนั้น ติงซานฉือต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วงและผ่านการหนีตายมาหลายครั้ง ก่อนที่จะสามารถนำหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์กลับมาส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ

 

 

แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

 

 

ติงซานฉือได้แต่หวังว่าหลินเป่ยเฉินจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

 

 

แล้วเด็กหนุ่มจะได้รู้ว่าความน่ากลัวของไป๋ไห่ชินกับลูกศิษย์หนุ่มผมทองนั้น เป็นอะไรที่เล็กน้อยมากๆ

 

 

แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ชายชรารู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินเหลือเวลาอยู่อีกไม่มาก

 

 

การที่เขาใจร้อนวู่วามประกาศรับหลินเป่ยเฉินเป็นลูกศิษย์ ติงซานฉือไม่รู้เลยว่านั่นเป็นการคุ้มครองเด็กหนุ่มหรือเป็นการทำร้ายทางอ้อมกันแน่

 

 

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะปล่อยให้หลินเป่ยเฉินเดือดร้อนไม่ได้เด็ดขาด

 

 

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ร่างกายจะยังไม่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บสาหัส แต่ติงซานฉือก็ยังปิดบังความจริงและเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นปกติ เขาถึงกับออกตามล่าผู้อาวุโสสวีไปสังหารที่นอกเมืองหยุนเมิ่งในคืนนี้

 

 

และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้อาการบาดเจ็บกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

ติงซานฉือรู้ดีว่าตนเองคงไม่สามารถปิดบังอาการบาดเจ็บได้อีกนานเท่าไหร่นัก

 

 

“ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะทันเวลาละนะ”

 

 

ติงซานฉือถอนหายใจ และนำผ้าพันแผลผืนใหม่ออกมาพันรอบลำตัวของตนเองอย่างระมัดระวัง

 

 

ต่อจากนั้น เขาก็นำถุงใส่ของวิเศษสีแดงและกำไลหยกออกมาตรวจสอบ

 

 

“ไม่น่าจะเปิดยากสักเท่าไหร่…”

 

 

“เอ๊ะ ค่ายอาคมส่วนใหญ่ก็ถูกเปลวไฟของหลินเป่ยเฉินทำลายไปเกือบหมดแล้วนี่…”

 

 

เปลวไฟที่เด็กหนุ่มเป็นคนสร้างขึ้นมา สามารถทำลายได้แม้แต่อาคมพิเศษเช่นนี้ หรือว่าหลินเป่ยเฉินจะมีพลังแห่งจักรพรรดิมังกรไฟในตำนานจริงๆ?

 

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ประมาณเช้าวันพรุ่งนี้ เราก็น่าจะเปิดของทั้งสองชิ้นนี้ได้แล้ว”

 

 

ติงซานฉือยิ้มกว้างในขณะที่เริ่มต้นหาวิธีเปิดปากถุงสีแดงและกำไลหยกต่อไป

 

 

 

 

“ท่านพ่อขอรับ ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินเป็นหัวหน้านักบวชประจำเมือง เรื่องนี้ลูกคิดไม่ถึงเลยจริงๆ มิน่าเล่า เขาถึงได้กล้าสังหารพวกของอ๋องน้อยและใต้เท้าหนี่อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และถ้าหากว่าเรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไปถึงหูของท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันและบิดาของหนี่ฟู่กวงแห่งแคว้นซินจิน พวกเขาคงไม่ทนอยู่นิ่งเฉยแน่…”

 

 

ณ จวนผู้ว่า

 

 

ฉุยหมิงโหลวกำลังพยายามรวบรวมสติอย่างสุดความสามารถและรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างในห้องทำงานส่วนตัวของบิดา

 

 

หลังจากที่ฉุยเฮาเฟิงได้รับฟังทั้งหมดแล้ว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ “เมืองหยุนเมิ่งนับว่าเป็นชุมชนเก็บมังกรซ่อนพยัคฆ์จริงๆ หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนทุกอย่างให้พลิกกลับตาลปัตรไปหมด ทุกครั้งที่ผู้คนเชื่อว่าเขาต้องถูกโจมตี แต่กลับกลายเป็นเด็กคนนี้นั่นแหละที่โจมตีผู้อื่น หลินเป่ยเฉินคือคนที่น่ากลัวที่สุดอย่างแท้จริง บิดาอ่านไม่ออกว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ แม้แต่พี่สาวของเขาก็ยังไม่ร้ายกาจถึงขนาดนี้ เขาทำให้บิดานึกถึงหลินจิ้นหนานขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ”

 

 

“แต่เรื่องราวคงไม่จบเพียงเท่านี้สิขอรับ ท่านพ่อ”

 

 

ฉุยหมิงโหลวพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เหตุการณ์ในครั้งนี้ ท่านอ๋องจากแคว้นไห่อันและท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจินคงไม่ยอมอยู่เฉย การล้างแค้นนองเลือดกำลังจะเกิดขึ้น พวกเราไม่มีทางหลีกหนีความรับผิดชอบได้เลย เพราะฉะนั้นแล้ว…”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงยิ้มกว้าง “เจ้ากลัวว่าพวกเขาจะมาระบายความแค้นที่บิดา?”

 

 

“ใช่แล้วขอรับ”

 

 

ฉุยหมิงโหลวตอบรับด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย

 

 

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราพ่อลูกก็คงต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะยืนอยู่ข้างไหน”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงว่า

 

 

“หืม?”

 

 

ฉุยหมิงโหลวถึงกับชะงักไปเล็กน้อย

 

 

ความขมขื่นปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเขาทันที

 

 

แม้แต่กับคนที่ยอมหักไม่ยอมงออย่างบิดา ก็ยังต้องเลือกข้างในที่สุดแล้วหรือ?

 

 

ฉุยหมิงโหลวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้วขอรับท่านพ่อ บัดนี้พวกเราทำได้เพียงเลือกข้างเท่านั้น… เดี๋ยวลูกจะเดินทางไปเข้าพบท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันและท่านข้าหลวงใหญ่แห่งแคว้นซินจินเอง ลูกเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกับอ๋องน้อยสวีแล้วก็ใต้เท้าหนี่ จะอย่างไรพวกเขาก็คงเห็นแก่หน้าลูกบ้าง…”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงมองหน้าบุตรชายด้วยความไม่อยากเชื่อ “ใครบอกเจ้าว่าบิดาจะเลือกข้างพวกเขา?”

 

 

ฉุยหมิงโหลวถึงกับตกตะลึงไปอีกครั้ง

 

 

ฉุยเฮาเฟิงกล่าวว่า “คนพวกนั้นหาได้มีค่าในสายตาบิดาไม่… นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้ามีเวลาหนึ่งเดือนไปฝังตัวอยู่ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม และหาทางตีสนิทหลินเป่ยเฉินให้ได้ ยิ่งเจ้าสนิทกับเขาได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น…”

 

 

“ตกลงว่าบิดาเลือกข้างหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือขอรับ”

 

 

ฉุยหมิงโหลวเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “ทำไม… เพราะอะไรกัน?”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงยิ้มแย้ม ตอบว่า “สัญชาตญาณ”