โรงเตี๊ยมที่ซูจิ่นซีและอู๋จุนพักอาศัย ตั้งอยู่บนถนนที่คนพลุกพล่านที่สุดในเมืองเย่หลินแคว้นหนานหลี พวกเขาทั้งสองเพิ่งถูกลูกน้องของจิงจ้าวหยิ่นมัดมือและพาเดินออกจากประตูโรงเตี๊ยม ด้านนอกประตูเต็มไปด้วยสายตาของผู้คนที่พากันมุงดูและส่งเสียงซุบซิบ
แม้คุณชายใหญ่จงจะมีสถานะสูงศักดิ์ ทว่าเขากลับมีชื่อเสียงด้านการเป็นอันธพาลของเมืองเย่หลิน ปกติจะอาศัยตระกูลตนเองเพื่อเป็นที่โปรดปรานของราชวงศ์ บิดาของเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ ท่านป้ายังมีสถานะเป็นถึงกุ้ยเฟย เขาใช้อำนาจบาตรใหญ่ในการรังแกหญิงชาวบ้าน และกลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอมากมาย
วันนี้ซูจิ่นซีและอู๋จุนสังหารคุณชายใหญ่จง แท้จริงแล้วเป็นการระบายความแค้นให้ชาวบ้านมากกว่า
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ทุกคนยังคงเกรงกลัวอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคุณชายใหญ่จง จึงไม่กล้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นและความสุขใจ
วันนี้ จิงจ้าวหยิ่นไม่ได้มาโรงเตี๊ยมเพื่อจับฆาตกร เขาเพียงนำลูกน้องออกเดินลาดตระเวนในเมืองหลวง และบังเอิญผ่านมาพอดี จึงไม่ได้นำรถขังผู้ต้องหามาด้วย ทำได้เพียงเดินกลับพร้อมซูจิ่นซีและอู๋จุน
ฝูงชนจำนวนมากเดินขวักไขว่อยู่บนถนนหลายสาย ขณะที่ผ่านทางสี่แยกนั้น จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนเข้ามาขวางทาง
ที่ปากทางสี่แยกมีป้ายประกาศข่าวสารของทางการติดไว้ โดยปกติจะติดประกาศเกี่ยวกับนโยบายของราชสำนัก
วันนี้มีคนมามุงดูเป็นจำนวนมาก ไม่รู้ว่าทางการติดประกาศสิ่งใด
จิงจ้าวหยิ่นเกรงว่า ซูจิ่นซีและอู๋จุนซึ่งเป็นผู้มีวรยุทธ์จะอาศัยความวุ่นวายนี้ก่อปัญหาขึ้น จึงสั่งการให้ลูกน้องไปกั้นพื้นที่บนถนน
อย่างไรก็ตาม เวลานี้มีฝูงชนมากเกินไป พวกเขาไม่สามารถกันฝูงชนจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นได้ ดังนั้นทุกคนจึงต้องเดินเลี่ยง
ทว่าหลังจากที่พวกเขาเปลี่ยนไปเดินเส้นทางอื่นเพียงไม่กี่ก้าว ลมก็เกิดกระโชกแรง แผ่นประกาศของทางการที่ติดอยู่บนแผ่นผนังลอยมาทางซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ราวกับร่ายเวทมนตร์ และกลุ่มคนจำนวนมากก็พุ่งมาทางซูจิ่นซีดั่งกระแสน้ำไหล
“ปลิวไปแล้ว ปลิวไปแล้ว… ”
“ยังไม่รีบตามไปอีก! ”
หัวหน้าองครักษ์ที่ทำหน้าที่ดูแลป้ายประกาศ ออกคำสั่งให้องครักษ์ใต้บังคับบัญชารีบวิ่งตามป้ายประกาศแผ่นนั้น
เหล่าองครักษ์และฝูงชนที่ยืนมุงดูต่างพากันวิ่งไล่ตามป้ายประกาศ สถานการณ์วุ่นวายอย่างมาก
อู๋จุนเกรงว่าผู้คนที่ตื่นตระหนกจะเหยียบซูจิ่นซี จึงเข้ามาขวาง ปกป้องซูจิ่นซีไว้ที่ด้านหลังตนเองอย่างรวดเร็ว
ทว่าใบประกาศที่ลอยอยู่กลางอากาศราวกับมีดวงตา มันลอยตรงมาหาซูจิ่นซี
ท่ามกลางสายตาของผู้คน ใบประกาศนั้นตกลงในมือของซูจิ่นซีอย่างพอดิบพอดี
“ว้า ว้า” เสียงฝูงชนที่วุ่นวายพลันสงบลง แต่ละคนต่างมองไปทางซูจิ่นซีด้วยแววตาแปลกประหลาด
นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
ซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัดที่กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนอย่างกะทันหัน นางกำลังจะก้มหน้าอ่านเนื้อหาประกาศที่อยู่ในมือ ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่เอื้อมมากระชากใบประกาศจากมือของนาง
“บังอาจนัก กล้าดึงประกาศของทางราชสำนัก ควรรับโทษสถานใด! ”
บัดซบ!
ซูจิ่นซีสาปแช่งอย่างรุนแรงภายในใจ
วันนี้เป็นวันอันใดกัน? คิดไม่ถึงว่านางจะโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า หากรู้แต่แรก ก่อนออกเดินทางควรดูฤกษ์ยามให้ดีกว่านี้
“ขุนนางท่านนี้ ท่านเห็นชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? กระดาษใบนี้ถูกลมพัดลอยมาตกในมือข้า พูดได้อย่างไรว่าข้าเป็นผู้ดึง? ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายแตะต้องมันตั้งแต่แรก! ”
องครักษ์ในชุดทหารที่คว้าประกาศของราชสำนักไป เมื่อดูจากการแต่งกายแล้ว คงเป็นหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์แห่งราชสำนักแคว้นหนานหลี
เขามองซูจิ่นซีด้วยแววตาเคร่งขรึม พลางประเมินสถานการณ์ของใบประกาศที่อยู่ในมือ
“หึ เจ้าจะดึงหรือไม่ เหตุใดประกาศของราชสำนักที่ติดอยู่บนกำแพงจึงลอยมาอยู่ในมือของเจ้าได้? ต้องเป็นเพราะเจ้าใช้เวทมนตร์หรือคาถาบางอย่างเป็นแน่! ”
บัดซบ!!!
แก้มของซูจิ่นซีพลันกระตุก เหตุผลไร้สาระอันใดกัน
ดูราวกับคนหยาบไร้เหตุผล
กล่าวกันว่า ขนบธรรมเนียมของแคว้นหนานหลีดีที่สุดในบรรดาแคว้นทั้งหมดของอาณาจักรเทียนเหอ วันนี้ได้ประจักษ์แล้วว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พูด
“จากคำพูดของท่าน ข้าสามารถคิดได้หรือไม่? กลิ่นแป้งหอมที่ติดอยู่บนร่างของท่านนั้น ฮูหยินของท่านไม่มีทางใช้แป้งหอมกลิ่นนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นกลิ่นหอมที่นางคณิกาในหอเทียนเซียงใช้กัน ท่านผู้นี้ เหมือนข้าจะจำได้ว่ากฎหมายของแคว้นหนานหลีนั้น ห้ามให้คนในราชสำนัก ไม่ว่าตำแหน่งเล็กหรือใหญ่เข้าไปในหอเทียนเซียง กลิ่นหอมบนร่างของท่าน แสดงว่าเมื่อคืนเพิ่งไปค้างแรมที่หอเทียนเซียง และวันนี้ก็มาทำงานตั้งแต่เช้า ยังไม่ทันได้ชำระร่างกายใช่หรือไม่? ”
หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนแปลงทันที โดยไม่ใส่ใจว่าด้านข้างมีคนยืนอยู่กี่คน เขารีบยกแขนเสื้อขึ้นมาดม แต่กลับไม่ได้กลิ่นใดๆ
เขาขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าพูดจาเหลวไหล ไม่มีกลิ่นใดอยู่บนตัวข้าแม้แต่น้อย”
กลิ่นนั้นบางเบายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้นตลอดเวลา นางคงไม่ได้กลิ่นอย่างแน่นอน
จมูกของคนทั่วไปสามารถดมกลิ่นนั้นได้ก็นับว่าแปลกแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางตกประหม่าของหัวหน้าองครักษ์ เมื่อคืนเขาต้องไปค้างแรมที่หอเทียนเซียงตามที่ซูจิ่นซีพูดมาแน่นอน
ทันใดนั้น ผู้คนโดยรอบต่างหันมามองหัวหน้าองครักษ์ด้วยสายตาแปลกประหลาด
หัวหน้าองครักษ์คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไปตามคำพูดของซูจิ่นซี เขาเดือดดาลอย่างมาก ภายใต้สายตาที่จับจ้อง เขายิ่งต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีของตนกลับคืนมา
เขาผลักใบประกาศในมือกลับสู่อ้อมแขนของซูจิ่นซี และออกคำสั่งกับลูกน้อง “โทษฐานดึงประกาศของราชสำนัก นำตัวคนผู้นี้กลับวังหลวง”
‘ตึ่งตึ่งตึ่ง’ องครักษ์สามสี่นายวิ่งเข้ามาเพื่อคุมตัวซูจิ่นซี
อู๋จุนปกป้องซูจิ่นซีอย่างแน่นหนา ดวงตาของเขาจ้องมองราวกับสายตาของนกอินทรี
“ข้าจะดูสิว่าผู้ใดกล้าแตะต้องนาง? หากผู้ใดกล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย ข้าจะจัดการมัน”
ขณะที่เขาพูดก็เกิดเสียงดังลั่น โซ่เหล็กที่มัดร่างของเขาถูกทำลายด้วยพลังภายใน ฝูงชนที่อยู่โดยรอบต่างตกใจ ถอยหลังออกไปสองก้าว
จากนั้นเขาก็ดึงโซ่เหล็กที่มัดร่างซูจิ่นซีออก โดยการจับปลายทั้งสองข้างและกระชากอย่างรุนแรง และเหวี่ยงโซ่เหล็กลงบนพื้น
อู๋จุนจับมือซูจิ่นซี “แม่นางพิษน้อย พวกเราไปกันเถิด มีวิธีให้เจ้าสืบหาสถานะของตนเองมากมาย พวกเราอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้”
‘ฉับ’ หัวหน้าองครักษ์ชักกระบี่ยาวออกมาขวางทางซูจิ่นซีและอู๋จุน
“โทษฐานดึงประกาศของราชสำนัก เจ้าต้องตามข้ากลับไปยังวังหลวงและรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟย หากขัดขืนหรือไม่สามารถรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยได้ นับว่าเป็นการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีโทษตัดศีรษะ ดูสิว่าผู้ใดจะกล้าทำอันใดโดยพลการ! ”
รักษาพระอาการประชวรให้กุ้ยเฟย?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น
“หึ กุ้ยเฟย กุ้ยเฟยอันใด ข้าไม่รู้จัก ทางที่ดีอย่าได้ยืนขวาง ไสหัวออกไป! ”
อู๋จุนพูดพลางยกแขนเสื้อกว้างสีแดงเพลิงขึ้นมา และเข้าไปตะลุมบอนกับเหล่าองครักษ์
ซูจิ่นซีหยิบใบประกาศของราชสำนักขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง
เนื้อหาคร่าวๆ ในประกาศกล่าวว่า จงกุ้ยเฟยในวังหลวงทรงประชวรด้วยโรคประหลาด หมอหลวงในวังไม่สามารถรักษาได้ กระทั่งท่านหมอที่มีวิชาแพทย์สูงส่งของสกุลจงยังไม่อาจวินิจฉัยได้ว่ากุ้ยเฟยประชวรด้วยโรคอันใด ดังนั้นจึงออกประกาศนี้มาเป็นพิเศษ เพื่อเสาะหาหมอเทวดาไปทำการรักษากุ้ยเฟย หากสามารถรักษากุ้ยเฟยให้หายดีได้ จะตกรางวัลอย่างงาม