“อู๋จุน หยุดต่อสู้ พวกเราไปวังหลวงกันเถิด” ซูจิ่นซีตะโกนบอก
อู๋จุนและหัวหน้าองครักษ์ต่างหยุดมือ
“ตกลง แม่นางพิษน้อย พี่จุนฟังเจ้า เจ้าพูดสิ่งใด พวกเราก็ทำตามนั้น”
หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นเผยท่าทีลำพองใจ เขาออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง “นำตัวไป! ”
คราวนี้พวกเขาไม่ได้ถูกล่ามโซ่ ทว่าท่าทางก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมนัก
จิงจ้าวหยิ่นที่ถูกฝูงชนเบียดเสียด และแอบเฝ้าดูสถานการณ์ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบฝ่าฝูงชนออกไปพูดกับหัวหน้าองครักษ์ว่า “องครักษ์เหลิ่ง องครักษ์เหลิ่ง พวกเขาทั้งสองสังหารคุณชายใหญ่จง แม่ทัพใหญ่จงต้องไม่ปล่อยพวกเขาเป็นแน่! ”
“สังหารคุณชายใหญ่จงหรือ? ”
หัวหน้าองครักษ์ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเดินไปดูผู้ที่นอนอยู่บนเปลหามด้านหลังจิงจ้าวหยิ่น เมื่อเปิดผ้าขาวคลุมศพ ก็เห็นเป็นคุณชายใหญ่จงจริงๆ สีหน้าพลันเผยให้เห็นความโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น
เขาหันกลับมาพลางยกมือออกคำสั่ง “เอาตัวไป รอให้ตรวจพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยเสร็จ ค่อยมอบให้แม่ทัพใหญ่จัดการภายหลัง”
ในฐานะหัวหน้าองครักษ์แห่งวังหลวง นึกไม่ถึงว่าตนจะถูกส่งให้มาเฝ้าป้ายประกาศของราชสำนัก อย่างไรก็ตาม เพียงเฝ้าป้ายประกาศก็ไม่เป็นไร ทว่าเขาเฝ้ามาสามวันเต็มๆ แล้ว ยังไม่มีผู้ใดดึงประกาศนี้แม้แต่ผู้เดียว
ท่านแม่ทัพใหญ่จงพูดว่า หากยังหาหมอมารักษาโรคให้กุ้ยเฟยไม่ได้ จะตัดศีรษะของเขาในพระราชพิธีพระศพของกุ้ยเฟย
เขาที่กำลังกังวลต่อความปลอดภัยของศีรษะตนเอง ทั้งยังรู้สึกโกรธไม่หาย! สองคนนี้ก็เข้ามาในจังหวะวิกฤติของเขาพอดี
ยังมีเด็กหนุ่มในชุดสีแดงเพลิงนั่นอีก ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าทำให้เขาโกรธเคือง
ดูท่าทางพวกเขาไม่เหมือนผู้ที่มีวิชาแพทย์ ต่อให้มีวิชาแพทย์ กุ้ยเฟยก็ทรงประชวรด้วยโรคประหลาด มีโอกาสถึงแปดส่วนที่พวกเขาอาจรักษาไม่ได้
รอให้พวกเขาไม่สามารถรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยได้แล้ว เขาจะลากคนทั้งสองไปตัดศีรษะที่นอกประตูอู่เหมินเพื่อระบายโทสะ
เรื่องนี้นับได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว เหตุใดเวลานี้เขาต้องโกรธและร่วมต่อสู้ด้วยเล่า?
ซูจิ่นซีและอู๋จุนถูกองครักษ์เหลิ่งคุมตัวเข้าไปในวังหลวง และโยนไว้ด้านนอกตำหนักฉินเจิ้ง ส่วนเขาเข้าไปในตำหนักเพื่อรายงานต่อผู้บังคับบัญชา
ครู่หนึ่ง องครักษ์เหลิ่งก็ออกมาจากตำหนักฉินเจิ้ง
“มหาอุปราชมีรับสั่งให้นำตัวผู้ที่ดึงประกาศราชสำนักไปยังห้องบรรทมของกุ้ยเฟยทันที”
“น้อมรับสั่ง! ”
องครักษ์สองนายที่ดูแลซูจิ่นซีกับอู๋จุนส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะคุมตัวซูจิ่นซีกับอู๋จุนเข้าไปในวังหลัง
ซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัดกับการต้อนรับอย่างเรียบง่ายและหยาบคายเช่นนี้ นางขมวดคิ้วมุ่น
“อย่าได้ทำอันใดมักง่ายเช่นนี้”
อู๋จุนตบมือขององครักษ์ทั้งสองที่มาคุมตัวซูจิ่นซี
“พวกเราเดินเองได้! ”
ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินมาถึงห้องบรรทมของกุ้ยเฟย
ด้านนอกห้องบรรทม บรรดาขุนนาง ขันที และเหล่าหมอหลวงต่างคุกเข่าอยู่บนพื้น
แต่ละคนตัวสั่นเทา ท่าทางราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ
องครักษ์เหลิ่งพูดกับขันทีที่เฝ้าประตู จากนั้นขันทีก็สั่งให้นางกำนัลเปิดประตูห้องบรรทม และปล่อยให้ซูจิ่นซีกับอู๋จุนเข้าไปข้างใน
ภายในตำหนักมืดสลัว ประตูหน้าต่างถูกปิดสนิท ทั้งยังแขวนผ้าม่านหนาทึบจนแสงไม่สามารถรอดผ่านเข้ามาได้
ทันทีที่ซูจิ่นซีกับอู๋จุนเดินเข้าไป ประตูตำหนักก็ถูกผู้ที่อยู่ด้านนอกปิดลงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ บรรยากาศพลันมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้า
นางกำนัลผู้หนึ่งถือเทียนเดินเข้ามา พลางพูดกับซูจิ่นซีและอู๋จุนว่า “ท่านทั้งสอง โปรดตามข้ามาทางนี้”
แม้ในมือของนางกำนัลจะถือเทียนไว้ ทว่าแสงเทียนกลับให้แสงสว่างน้อยกว่าเทียนปกติอย่างมาก ทำให้มองเห็นเพียงทางเดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาทั้งสามเท่านั้น
ซูจิ่นซีเห็นเช่นนั้น ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย กุ้ยเฟยทรงประชวรด้วยโรคอันใดกันแน่?
พระองค์ไม่สามารถเห็นแสงสว่างได้หรือ?
นางกำนัลพาซูจิ่นซีและอู๋จุนเดินผ่านผ้าม่านหนาทึบ ไม่นานนักก็เดินมาถึงแท่นบรรทมของกุ้ยเฟย
ตามกฎระเบียบแล้ว วังหลังไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาโดยง่าย ทว่ายามนี้ เพื่อการตรวจรักษากุ้ยเฟย จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิบัติตามกฎระเบียบได้
อย่างไรก็ตาม มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ยังคงจำเป็น
ซูจิ่นซีและอู๋จุนเพิ่งมาถึง นางกำนัลก็ยกอ่างล้างมือที่โรยด้วยกลีบดอกไม้เข้ามาให้พวกเขาได้ทำความสะอาด และส่งเสื้อคลุมสีน้ำเงินขนาดใหญ่จำนวนสองชุดให้พวกเขา
ทันทีที่พวกเขาสวมเสื้อคลุมเรียบร้อย ก็ถูกห่อตัวไว้แน่น ทั้งยังต้องสวมหมวก ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดมากขึ้น มีเพียงครึ่งหนึ่งของใบหน้าและแขนเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับอากาศด้านนอก
ซูจิ่นซีอดบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจไม่ได้ นี่เป็นกฎพิลึกอันใดกัน?
รอจนทั้งสองแต่งกายเรียบร้อยแล้ว นางกำนัลราวสามสี่คนก็ก้าวออกมาด้านหน้า และเปิดผ้าม่านหนาทึบที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา เผยให้เห็นพื้นที่กว้างขวางและหรูหรา
ซูจิ่นซีกวาดตามองไปรอบๆ จากการตกแต่งสามารถยืนยันได้ว่าที่แห่งนี้คงเป็นห้องบรรทมของกุ้ยเฟย
“เชิญท่านทั้งสอง! ” นางกำนัลเชิญซูจิ่นซีและอู๋จุนเข้าไป
แม้ด้านในจะมีเทียนจุดไว้ ทว่าด้านบนของเทียนทั้งหมดกลับครอบไว้ด้วยโคม แสงสว่างจึงจำกัดให้มองเห็นได้เพียงร่างที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
พวกเขามองตรงไปยังแท่นบรรทมหรูหราขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า บนแท่นบรรทมยังมีผ้าม่านหนาทึบที่ถูกดึงลงมา
“กุ้ยเฟย ท่านหมอมาแล้วเพคะ! ”
นางกำนัลผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้า พลางเอ่ยข้างผ้าม่านด้วยน้ำเสียงต่ำอย่างระมัดระวัง
ไม่นานนัก มือที่ซีดขาวและเรียวยาวคู่หนึ่งก็โผล่ออกมาจากผ้าม่าน
ใช่แล้ว เมื่อซูจิ่นซีเห็นมือคู่นั้น สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองเป็นคำแรกคือ ‘ซีดขาว’
หากอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีแสงเป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความซีดขาวที่บ่งบอกถึงการมีสุขภาพไม่แข็งแรงก็จะก่อตัวขึ้น
ซูจิ่นซีและอู๋จุนสบตากัน สอบถามว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายไปตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟยก่อน
อู๋จุนส่งสัญญาณว่าเขามาเป็นเพื่อนซูจิ่นซีเท่านั้น ไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง
ซูจิ่นซีทำได้เพียงเดินมาด้านหน้าและตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟย
แรกเริ่ม ใบหน้าของซูจิ่นซียังปรากฏความสงสัย ทว่าท่าทีของนางก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอยู่พักใหญ่
อู๋จุนเห็นท่าทางของซูจิ่นซี ในใจพลันรู้สึกตึงเครียด
การดึงประกาศของราชสำนักเพื่อรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยนั้น ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากรักษาไม่ได้ต้องถูกตัดศีรษะ
ตลอดทางเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมากมาย คงไม่ใช่ว่ากุ้ยเฟยทรงประชวรด้วยโรคที่รักษาไม่ได้กระมัง?
ผ่านไปครู่หนึ่ง นิ้วมือของซูจิ่นซียังคงจับอยู่บนข้อมือที่ทั้งบอบบางและซีดขาวราวกับกระดาษ ท่าทางของนางยังคงเคร่งขรึมไม่ผ่อนคลาย
อู๋จุนเป็นกังวล จึงอดถามไม่ได้ “แม่นางพิษน้อย เจ้าตรวจพบสิ่งใดบ้างหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีหลับตาและยืนขึ้น พลางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อู๋จุนมาตรวจดูเอง
อู๋จุนก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟย ครู่หนึ่ง แววตาของเขาก็ปรากฏความเคร่งเครียดเหมือนซูจิ่นซี เขาแนบปลายนิ้วบนข้อมือของกุ้ยเฟยสักพัก ก่อนจะสบถเสียงต่ำว่า “บัดซบ เสียชีวิตไปแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่มีชีพจร”
“บังอาจ กล้าหยาบคายกับกุ้ยเฟยหรือ! ”
นางกำนัลสูงวัยต่อว่าอู๋จุนทันที
“ไม่เป็นไร ถอยไป! ”
น้ำเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยนของสตรีพลันดังขึ้นจากด้านหลังผ้าม่าน
“เพคะ! ”
นางกำนัลผู้นั้นตอบรับและถอยห่างออกไปยืนก้มหน้า ไม่พูดอันใดอีก
“ท่านทั้งสองตรวจดูไม่ผิด ข้าไม่มีชีพจรจริงๆ ทว่าข้าไม่ได้เสียชีวิต นอกจากอาการที่ไม่สามารถเจอแสงได้และไม่มีชีพจรแล้ว ก็ไม่มีความผิดปกติอื่นใดอีก ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองตรวจดูแล้ว รู้หรือไม่ว่าข้าป่วยเป็นโรคอันใด? มีวิธีรักษาหรือไม่? ”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน และมีความสงบนิ่งเล็กน้อยตามแบบฉบับของผู้สูงศักดิ์
ดูไม่เหมือนเสียงและท่าทางของผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ากุ้ยเฟยท่านนี้ไม่ธรรมดา
นี่เป็นครั้งแรกที่อู๋จุนเห็นลักษณะอาการเช่นนี้ เขามองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความสับสน
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างหนัก “กระหม่อมยังต้องปรึกษากับสหายในเรื่องรายละเอียดอย่างรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ กุ้ยเฟยอย่าได้ทรงตำหนิ”