ภาคที่ 5 บทที่ 19 เจ้าเข้าใจ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ปล่อยออกมา? เขาหมายความว่าอะไร?

สายตาคุณหนูจวินจับอยู่บนกริชในมือลู่อวิ๋นฉี

“เจ้ากลับมาได้อย่างไร?” เขามองใบหน้าของนาง “เพราะเจ้าเปลี่ยนไปเป็นหน้าตาเช่นนี้ ถึงไม่กล้ามาพบข้า ไม่กล้ายอมรับว่ารู้จักข้าหรือ?”

มือของเขาเลื่อนลงมา กริชแนบลงบนหน้าของนาง

“ไม่ต้องกลัว ข้าจะปล่อยเจ้าออกมา” เขาสีหน้านิ่งเฉยเอ่ยขึ้น

ปลายคมของกริชคล้ายกรีดทะลุหนังของนาง คุณหนูจวินรู้สึกว่ามีหยดเลือดซึมออกมา

คนบ้าคนนี้!

“ลู่อวิ๋นฉี!” คุณหนูจวินตะโกนโกรธเกรี้ยว “เจ้าเป็นบ้าอะไร !”

คบไฟเต้นระริก ทำให้ใบหน้าของลู่อวิ๋นฉีเปลี่ยนเป็นเลือนรางอยู่บ้าง

“ข้าเป็นบ้าอะไร? ข้าเป็นบ้าเพราะเจ้ากลับมาแล้วทำไมปิดบังข้า” เขาเอ่ยขึ้น กริชวาดบนหน้าคุณหนูจวินช้าๆ

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร!” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกำลังยิ้ม

“เจ้าไม่เข้าใจ? เจ้าวิ่งหนีอะไรเล่า?” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าต้องร้องเพลงนั้นใส่ข้า?”

มือที่เขากำกริชพลิกทีหนึ่ง หลังมือแนบบนหน้าของคุณหนูจวินแล้วไล้เบาๆ

“ข้าวิ่งเพราะเจ้าเป็นศัตรูของข้า ลู่อวิ๋นฉี จุดนี้เจ้าและข้าในใจล้วนรู้ชัด” คุณหนูจวินนิ่งขึงเอ่ย “ส่วนเพลงอะไร ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง หลังมือแนบติดบนใบหน้าของนาง

“งั้นหรือ” เขาเอ่ยอย่างนิ่งเฉย หลังจากนั้นไม่พูดอีกเพียงมองนาง

สีหน้านิ่งเฉย แววตาจ้องนิ่ง คล้ายจะมองทะลุไปถึงกระดูกของนาง

คบไฟเต้นระริกไม่กี่ทีก็ไหม้หมด ในห้องดำสนิท

แต่คุณหนูจวินรู้สึกได้ว่าลู่อวิ๋นฉียังคงนั่งยองอยู่ตรงหน้าตนเอง สายตามองตรงมาที่นาง

เขาไม่พูดจา เพียงมองเงียบงันเช่นนี้

เงียบงัน มืดมิด หายใจไม่ออก เหมือนห้วงน้ำลึก แล้วค่อยๆ มีความเงียบสงบอีกแบบ

“พูดสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรจริงๆ” คุณหนูจวินพลันเอ่ยขึ้น

มือที่แนบอยู่บนหน้าสั่นไหวเล็กน้อยอยู่บ้าง คล้ายไม่อาจควบคุมแรงที่ใช้ได้

“เอามือออกไป” คุณหนูจวินเอ่ย

มือที่แนบบนใบหน้าพริบตาก็รั้งกลับไป

“นี่คือที่ไหน?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

“คุกใต้ดินที่บ้านของพวกเรา” เสียงลู่อวิ๋นฉีดังขึ้น

ในความมืดมองไม่เห็นหน้าของเขา ได้ยินเพียงเสียงทื่อๆ

คุณหนูจวินขานอ้อ

“ใต้เรือนฝูอวิ๋นที่ข้าปลูกดอกไม้หลังนั้นรึ?” นางเอ่ย

ลมหายใจในความมืดชะงักนิ่งไปอยู่บ้าง คล้ายผ่านไปเนิ่นนานนักแล้วก็คล้ายเพียงชั่วลมหายใจ

“ใช่” เสียงของลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น อากาศไหลเคลื่อนในความมืด คล้ายเขากำลังออกแรงพยักหน้า “ดอกไม้ยังปลูกอยู่ ปลูกได้ดีเหมือนที่เจ้าปลูก”

คุณหนูจวินหัวเราะทีหนึ่ง

“ข้าปลูกอะไรได้ดี” นางเอ่ย “ข้าปลูกดอกไม้เป็นที่ไหน ข้าเป็นแต่กินพวกมัน”

ในความมืดตกสู่ความเงียบงันอีกครั้ง คนที่นั่งยองๆ อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือตรงหน้าคล้ายไม่มีลมหายใจ คล้ายคงอยู่แต่ก็คล้ายหายไปแล้ว แต่คุณหนูจวินยังคงสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา สายตาของเขาทะลุผ่านความมืดจับจ้องนิ่งอยู่บนร่างนางตลอดไม่เคยละออกไป

“ก่อนหน้านี้ข้าตายเป็นความตายของข้าเอง จิ่วหลีกับจิ่วหรงไม่เกี่ยว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “ข้ามีชีวิตก็เป็นชีวิตของข้าเอง ไม่เกี่ยวกับพวกเขาเช่นกัน ข้าตายได้ หวังว่าจะไม่ต้องพัวพันถึงพวกเขา…”

คำพูดของนางยังไม่ทันเอ่ยจบ หลังมือของลู่อวิ๋นฉีพลันปิดปากนาง

“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจชัดๆ” เสียงของเขายังคงทื่อมะลื่อ

เข้าใจอะไร?

คุณหนูจวินกัดฟันแน่น

“จิ่วหลิง พวกเราเป็นสามีภรรยา” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้”

รู้อะไร?

รู้ว่าเขาแต่งงานกับนางเพื่อกักขังนาง รู้ว่าเขารู้ชัดว่าบิดามารดาของนางตายอย่างไรยังปิดบังนาง รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนร้ายที่สังหารพระบิดาพระมารดาของนาง รู้ว่าเขาเป็นคนของฮ่องเต้

คุณหนูจวินอ้าปากกัดหลังมือเขา กัดลงไปอย่างแรง ประหนึ่งสัตว์ร้ายตัวน้อยกัดกระชาก

รสสนิมเหล็กหวานคาวพริบตาคลุ้งในปากจมูก

ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่รู้สึกรู้สาปล่อยให้นางกัด มืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของคุณหนูจวิน ลูบแผ่วเบา

“จิ่วหลิง ไม่ต้องกลัว” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “พวกเรากลับบ้านแล้ว พวกเราอยู่ในบ้าน ไม่ต้องกลัว”

อยู่ในบ้าน นี่ไม่ใช่บ้านของนาง นี่คือคุก

ต่อให้ในบ้านแห่งนั้นมีพี่สาว นางก็ไม่มีทางเข้าไปเด็ดขาด สิ่งที่นางต้องทำคือช่วยพี่สาวออกมา ไม่ใช่เอาตนเองเข้าไปอีก

คุณหนูจวินสะบัดศีรษะอย่างแรง ปล่อยปาก ดิ้นรน

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ปล่อยข้า” นางกัดฟันเอ่ย “เจ้าปล่อยข้า”

ลู่อวิ๋นฉียังคงนิ่งเงียบเหมือนรูปปั้นดินอยู่ในความมืดเช่นเดิม

“จิ่วหลิง ข้างนอกอันตรายเกินไป เจ้าออกไปไม่ได้” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินสบถทีหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะ

“ข้างนอกอันตรายเกินไป? เจ้าพูดผิดแล้วกระมัง ที่นี่อันตรายที่สุดชัดๆ” นางยิ้มพลางเอ่ย

“จิ่วหลิง ไม่ว่าเจ้าพูดอย่างไร ครั้งนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าออกไปอีก” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยตอบ “ข้าจะไม่ให้เจ้าเกิดเรื่องอีกแล้ว”

คุณหนูจวินดิ้นรนจะลุกขึ้นแต่ไร้ผล

“ลู่อวิ๋นฉี ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ถึงจะเกิดเรื่อง” นางตะโกน “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าข้าถูกขังให้ตายอยู่ที่นี่จึงยังสำราญใจ แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว”

นางตะเบ็งเสียงตะโกน น้ำตาไหลร่วง

“ตอนนี้ข้ารู้แล้ว เจ้ายินดีมองข้าถูกขังให้ตายอยู่ที่นี่หรือ?”

มือของลู่อวิ๋นฉีลูบบนใบหน้านางพลางเช็ดน้ำตาไป

“ข้าเพียงอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่” เขาเอ่ยบอก

คุณหนูจวินออกแรงเงยศีรษะขึ้นชนใบหน้าเขาอย่างแรง

ทว่าลู่อวิ๋นฉีมือประคองใบหน้านาง ขวางไม่ให้นางเข้าใกล้อย่างมั่นคง

“กระแทกเจ้าจะเจ็บเอา” เขาเอ่ยขึ้น

สายตาปรับเข้ากับความมืดสลัว ระยะห่างชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของอีกฝ่าย คุณหนูจวินกัดฟันมองเขา

“เจ้าเพียงอยากให้ข้ามีชีวิต ข้าจะมีชีวิตได้อย่างไร? ขอเพียงข้าไม่ตายหนึ่งวัน ข้าก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้” นางเอ่ยทีละคำๆ

ขอเพียงไม่ตายวันหนึ่ง นางก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้อยคำนี้ฟังดูพิกลแล้วก็ขัดแข้ง แต่ลู่อวิ๋นฉีรู้ว่านี่หมายความว่าอย่างไร

นางไม่ตายวันหนึ่ง ใจคิดแก้แค้นก็ไม่ดับมอด ยังไม่ได้แก้แค้นวันหนึ่ง นางก็ไม่อาจสงบใจมีชีวิตได้

“จิ่วหลิง นี่เจ้าจะไปตายเปล่า” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดว่าออกไปจะแก้แค้นได้หรือ?”

เขาส่ายศีรษะ

“เจ้าลืมแล้วหรือว่าหลังเจ้าออกไปตายอย่างไร?”

เขาส่ายศีรษะอีกครั้ง

“ข้ายังไม่ลืม”

คุณหนูจวินถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาคำหนึ่ง

“นั่นขอโทษด้วยจริงๆ ทำให้เจ้ากลัวแล้ว” นางเอ่ยอย่างเย็นชา

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เช็ดน้ำลายบนใบหน้าออก เพียงกดศีรษะคุณหนูจวินที่ประคองอยู่วางกลับไปบนไม้กระดานเตียงช้าๆ

“ตอนนี้ก็เหมือนก่อนหน้านี้ ต่อให้มีเฉิงกั๋วกง เขาก็เป็นกำลังช่วยเจ้าไม่ได้” เขาเอ่ยนิ่งๆ ”ตรงกันข้ามเขาจะถ่วงทำร้ายเจ้า พวกเจ้าล้วนไม่รู้ว่าฝ่าบาทไม่ได้ขี้ขลาดไร้ความสามารถจริงๆ”

เขาพูดพลางดึงผ้าผืนกว้างผืนหนึ่งออกมาอีก

“เฉิงกั๋วกงถูกฟ้องโทษหนักฐานคิดกบฏแล้ว เวลานี้กองทหารองครักษ์ไล่ตามล้อมจับเขาอยู่ ต้องการจับกุมเขากลับเมืองหลวง หลังจากนั้นก็คือตาย”

ผ้าผืนกว้างมัดหัวไหล่ของคุณหนูจวินไว้ นางยิ่งกระดิกไม่ได้ ส่วนนางก็ถูกข่าวนี้ทำให้ตกตะลึงชั่วขณะจนลืมกระดิก

คิดกบฏ?

ความผิดบ้าบอน่าขันเช่นนี้โน้มน้าวผู้คนให้เชื่อได้อย่างไร?

“จิ่วหลิง ไม่มีโน้มน้าวได้ไม่ได้อะไรหรอก ขอแค่คนตายแล้ว โน้มน้าวได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย นอนลงบนไม้กระดาน

“เจ้าจะทำอะไร?” คุณหนูจวินตกใจเอ่ยขึ้น รู้สึกได้ว่าเขาเข้ามาใกล้รวมถึงสองมือกอดตนเองไว้ นางดิ้นรนอีกครั้ง

มือบนร่างออกแรงรัดนางไว้ คนก็แนบชิดอยู่ข้างกายนาง ศีรษะหนุนอยู่บนหัวไหล่ของนาง

แต่ก็เพียงเท่านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวอีก

“ข้าง่วงแล้ว ข้าอยากนอน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น อาจเพราะฝังศีรษะอยู่กับหัวไหล่ของนาง เสียงทื่อมะลื่อจึงแผ่วเบางึมงำอยู่บ้าง คล้ายเหนื่อยล้าเต็มที่ แต่ก็มีความยินดีสายหนึ่งกระโดดโลดเต้นอยู่ “ข้าหลับได้สนิทดีสักที”

คนบ้าคนนี้!

คุณหนูจวินจะดิ้นรนก็ทำอันใดไม่ได้ ได้แต่ด่าสาปแช่งอย่างโกรธแค้น

แต่ลู่อวิ๋นฉีทำเหมือนไม่ได้ยิน ทั้งยังคล้ายได้ยินคำด่าสาปแช่งของนางเป็นเพลงกล่อมนอน ไม่นานก็หลับไปจริงๆ

หลับไปจริงๆ ไม่ใช่เสแสร้ง เพราะเขาแนบชิดอยู่ใกล้นัก คุณหนูจวินจึงสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาผ่อนคลาย คนผู้นั้นหลังนอนหลับจะผ่อนคลายไร้การระวังอย่างสิ้นเชิง ข้างหูยังมีเสียงกรนเบาๆ เหมือนเช่นก่อนนี้

ก่อนนี้สองคำนี้แล่นผ่าน คุณหนูจวินพลันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีกหน ไม่คิดถึงก่อนนี้ ต้องคิดถึงตอนนี้ ตอนนี้ เฉิงกั๋วกงพวกเขาเป็นอย่างไรแล้ว?

……………………………………….

……………………………………….

กีบเท้าม้าย่ำพร้อมเพรียง ทหารม้าเกือบร้อยประหนึ่งพัดคลี่ออก นายทหารทั้งหลายบนม้าดาบหอกในมือเล็งพร้อมเพรียงมาที่คณะของเฉิงกั๋วกง

จูจั้นชักม้าหมุนวนอยู่ที่เดิมรอบหนึ่ง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองพวกเขา

“ทำไม? นี่จะสำเร็จโทษพวกเราที่นี่รึ?” เขาเอ่ย

“เฉิงกั๋วกง เชิญกลับเมืองหลวงกับพวกเรา” แม่ทัพทหารที่เป็นหัวหน้าไม่ได้สนใจการล้อเล่นของจูจั้น เอ่ยอย่างเย็นชาพลางมองรถม้าเรียบง่ายคันนี้

ม่านสีดำของรถม้าถูกเลิกเปิด เฉิงกั๋วกงที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาชุดหนึ่งเหมือนบัณฑิตปัญญาชนคนหนึ่งเสียมากกว่าปรากฏตัวตรงหน้าผู้คน

“นี่เป็นคำสั่งของผู้ใด?” เขาเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน

“นี่เป็นบัญชาของฝ่าบาท” แม่ทัพประสานมือไปทางทิศทางของวังหลวง หน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น “เฉิงกั๋วกง ท่านจะขัดราชโองการหรือ?”