ภาคที่ 5 บทที่ 20 เขาไปแล้ว

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เฉิงกั๋วกงเคยขัดราชโองการ ตอนนั้นฮ่องเต้ให้ทหารแดนเหนือกลับมาป้องกัน เฉิงกั๋วกงปฏิเสธ

แต่นี่ที่จริงก็ไม่นับว่าขัดราชโองการ เรียกได้ว่าเป็นการประเมินสถานการณ์ในสนามรบ หรือก็คือแม่ทัพออกรบ ไม่รอคำสั่งนายเหนือหัว

นอกจากนี้ต่อมาเฉิงกั๋วกงก็เชื่อฟังบัญชาฮ่องเต้จากแดนเหนือกลับมาถึงเมือหลวง

อดีตฮ่องเต้เคยกล่าวว่าเฉิงกั๋วกงเป็นคนที่ภักดีกล้าหาญแข็งแกร่งเด็ดขาดคนหนึ่ง คำว่าภักดีคำนี้วางอยู่ด้านหน้าสุด เขาสังหารศัตรูตอบแทนประเทศชาติกล้าหาญไร้คู่ต่อกร เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ยอดขุนนางผู้ภักดีในสายตาชาวบ้านทั้งหลาย

“พวกเขาฟ้องข้าโทษฐานอะไร?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถาม

“คิดกบฏ” แม่ทัพเอ่ยเคร่งขรึม

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว คล้ายได้ยินถ้อยคำที่น่าขันที่สุดบนโลกใบนี้

“คิดกบฏ” เขาเอ่ย “คิดกบฏ!”

เขาไม่พูดคำอื่นอีก เพียงย้ำสองคำนี้ซ้ำๆ เฉิงกั๋วกงก็ไม่เอ่ยวาจาเพียงมองแม่ทัพคนนี้ สีหน้าของเขาอ่อนโยน กระทั่งความโกรธเกรี้ยวสักนิดก็ไม่มี

แต่แม่ทัพกลับอดไม่ได้หลบสายตา

“มีหลักฐานไหม?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน

แม่ทัพสายตาไหววูบ

“ก็คงมีกระมัง” เขาเอ่ย

จูจั้นกระตุ้นม้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“ก็คงมี?” เขาคิ้วตั้งตวาด “พวกเจ้ารู้ไหมว่าพวกเจ้ากำลังพูดสามคำนี้กับใครอยู่?”

เขายื่นมือทึ้งเสื้อออก เผยร่างกายแข็งแกร่งท่อนบน ชี้รอยแผลดาบธนูที่แผ่เต็มด้านหน้าด้านหลัง

“พวกเราอาบเลือดสู้รบสิบกว่าปี ทิ้งแผลทั้งร่างนี่ไว้ ก็คงมี แค่สามคำเลื่อนลอยนี้ก็จะเอาผิดพวกเรา? พวกเจ้าพูดออกมาได้อย่างไร?”

สีหน้าแม่ทัพยังคงรักษาความเคร่งขรึมเย็นชานี่ไว้ แต่ตนเองก็รู้สึกแสบร้อน สายตาทนมองจูจั้นไม่ได้

“ดังนั้น” น้ำเสียงของเขาผ่อนลงอยู่บ้าง “ฝ่าบาทถึงต้องการให้พวกท่านกั๋วกงกลับเมืองหลวง ตรวจสอบพิสูจน์กระจ่างจะได้มอบความบริสุทธิ์ให้พวกท่าน”

จูจั้นหัวเราะหยันต้องการจะพูดอะไร เฉิงกั๋วกงก็เรียกเขาคำหนึ่ง

“พอแล้วจั้นเอ๋อร์ไม่ต้องพูดแล้ว” เขาเอ่ย

จูจั้นหมุนตัวมาท่าทางร้อนรนอยู่บ้าง

“พ่อ” เขาเอ่ยเรียก “พวกเราจะกลับไปเช่นนี้หรือ?”

เฉิงกั๋วกงยิ้มแล้ว

“แน่นอนไม่” เขาเอ่ย

แน่นอน…ไม่?

แม่ทัพตะลึง เขาฟังผิดหรือไม่?

แต่นาทีต่อไปเขาก็เห็นเฉิงกั๋วกงดึงดาวยาวเล่มหนึ่งออกมาจากในตัวรถ

ดาบนี้เขาคุ้นเคยนัก เฉกเช่นเดียวกับที่คนในใต้หล้าคุ้นเคยกับเฉิงกั๋วกง นั่นคือดาวยาวที่เฉิงกั๋วกงพกติดตัวไม่ห่าง เข่นฆ่าชาวจินนับไม่ถ้วน

“ดาบเล่มนี้ไม่ได้ไว้ใช้จัดการคนของตนเอง” เฉิงกั๋วกงเอ่ย ฉับพลันหันดาบกลับหัว กำปลายดาบไว้ หันด้ามดาบออกข้างนอก สีหน้าอ่อนโยนมองไปทางแม่ทัพ

สีหน้าแข็งทื่อของแม่ทัพค่อยๆ กลายเป็นสีขาว

“ท่านกั๋วกง ท่าน ท่านนี่หมายความว่าอย่างไร?” เขาเอ่ยติดอ่าง

“ความหมายก็คือ ข้าไม่กลับไป ข้าจะไปแล้ว” เฉิงกั๋วกงเอ่ย ยิ้มอ่อนโยนให้เขาทีหนึ่ง สิ้นเสียงด้ามดาบพลันตบลงบนก้นม้าด้านหน้า

ม้าส่งเสียงร้องทีหนึ่ง ส่วนคนรถก็โยนแส้ยาวในมือทิ้ง ยืนขึ้นจับเชือกบังเหียนไว้แน่น

“ฮ่า” เขาตวาด

ม้าประหนึ่งธนูพุ่งออกจากแล่งตะบึงไปด้านหน้า

แม่ทัพหนาวทั้งร่าง

“จับเขาไว้!” เขาตะโกนพลางชักดาบข้างเอวออกมา วิ่งเข้าไปหารถม้าของเฉิงกั๋วกงคนแรก

เสียงเคร้งดังทีหนึ่ง ดาบในมือจูจั้นกระแทกดาบของเขาปลิวไป

แรงกระแทกมหาศาลส่งแม่ทัพกลิ้งร่วงลงจากหลังม้าทันที

รอบด้านเสียงตะโกนตวาดวุ่นวายดังขึ้น นายทหารเกือบร้อยล้อมรถม้าของเฉิงกั๋วกงไว้แล้ว

หอกยาวประหนึ่งผืนป่าแทงเข้าใส่เฉิงกั๋วกง

เฉิงกั๋วกงยังคงสีหน้านิ่งสงบนั่งอยู่ด้านหน้ารถ สะบัดด้ามดาบในมือ

เสียงเปรี้ยงปร้างพรวนหนึ่งดังขึ้น หอกยาวใกล้ๆ ถูกกวาดร่วง นายหทารบนม้าถูกพากลิ้งร่วงลงไป

หอกร่วงด้ามดาบพลันเก็บกลับ ไม่แตะถูกร่างกายพวกเขาสักนิด

ใช้ด้ามดาบจัดการ เพียงเคาะอาวุธพวกเขาร่วงหล่น เรี่ยวแรงพอเหมาะหอดี ไม่ทำร้ายชีวิตนายทหารเหล่านี้สักนิด

แม่ทัพที่กลิ้งร่วงอยู่บนพื้นสีหน้าใกล้จะร้องไห้แล้ว

ท่านกั๋วกง ในเมื่อท่านจะขัดบัญชา ท่านก็เหี้ยมสักหน่อยสิ ไยต้องให้พวกเขาลำบากใจเช่นนี้

นายทหารทั้งหลายเห็นได้ชัดว่าก็คิดเช่นนี้ด้วย ถึงขั้นหนักยิ่งกว่าแม่ทัพ

สำหรับพวกเขาแล้ว เฉิงกั๋วกงนั่นเป็นตัวตนประหนึ่งเทพ พวกเขาเคารพเทิดทูนก้มกราบ จนปัญญาด้วยคำสั่งจึงลำบากใจเดินทางมาตามจับ เวลานี้ยังเห็นเฉิงกั๋วกงใช้ด้ามดาบรับมือ ไม่ทำร้ายชีวิตของพวกเขา หัวใจพริบตาพังทลาย

นายทหารที่ถูกโจมตีร่วงยังอยู่บนพื้น นายทหารทั้งหลายข้างหลังพลันถอยออกพรึบพรับ หอกยาวในมือตกลง

จูจั้นคนเดียวนำไปก่อน รถม้าของเฉิงกั๋วกงวิ่งเร็วรี่ไปด้านหน้า พุ่งออกจากการล้อมโจมตีของบรรดานายทหาร

“มารดา พวกเจ้ากำลังทำอะไร!” ขุนนางของศาลต้าหลี่ที่ติดตามมาซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังตลอดได้สติกลับมา ตะโกนโกรธเกรี้ยวอยู่บนม้า “ให้นักโทษหนีไม่ได้!

เขากระตุ้นม้ามาด้านหน้า มองรถหนึ่งคันม้าหนึ่งตัวที่ทะยานเร็วรี่ไปเบื้องหน้า

เฉิงกั๋วกงรถเบาผู้ติดตามน้อย ออกจากเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ แค่ครอบครัวสามคน นอกจากคนรถคนหนึ่ง ไม่มีผู้ติดตามคนอื่น

นี่ล้วนเป็นเรื่องที่สืบกระจ่างมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาถึงรวมพลหนึ่งร้อยนาย กำลังคนเหล่านี้เพียงพอคุมตัวครอบครัวสามคนนี่กลับมา

คิดไม่ถึงเฉิงกั๋วกงถึงกับกล้าขัดราชโองการ

ในเมื่อขัดราชโองการ….

ดวงตาของขุนนางหรี่ลง ฉายแววเย็นเยียบ

“พลธนู” เขาตะโกน “เฉิงกั๋วกงกลัวความผิดหลบหนี สังหารทันที”

แม่ทัพและนายทหารทั้งหลายตกใจสะดุ้งโหยง อึ้งงันไม่ขยับ

“พวกเจ้าก็จะขัดราชโองการด้วยหรือ?” ขุนนางตวาดเสียงโกรธเกรี้ยว มองนายทหารเหล่านี้อย่างเย็นชา “อย่าลืมว่าพวกเจ้าเป็นทหารของต้าโจว พวกเจ้าที่แท้ฟังคำสั่งของใคร?”

ใต้แผ่นฟ้าไม่มีผืนดินใดไม่ใช่ของจักรพรรดิ บนผืนดินไม่มีผู้ใดไม่ใช่ข้าของจักรพรรดิ

แม่ทัพกัดฟันทีหนึ่งยกมือ

“พลธนู” เขาตวาด

นายทหารทั้งหลายเอาธนูออกมาอย่างพร้อมเพรียงเล็งไปยังรถม้าที่วิ่งทะยานไปข้างหน้า

“ยิง” แม่ทัพตะโกนเอ่ย พร้อมกันนั้นก็หลับตาทนดูไม่ได้

เสียงแหวกอากาศฟึบฟึบดังขึ้น ธนูดั่งสายฝนบินไปยังรถม้าของเฉิงกั๋วกง

ม้ากรีดร้อง ม้าใต้ร่างจูจั้นต้องศรล้มร่วง แต่จูจั้นกลับไม่ได้ล้มลงไปตามมัน ร่างทะยานขึ้นบนรถม้า

ม้าที่ลากรถก็ต้องศรล้มลงเช่นกัน แต่รถม้ากลับไม่ได้พลิกร่วงแตกกระจาย

รถนั่นดูไปแล้วเป็นรถม้าที่ธรรมดายิ่ง ทว่าชั่วพริบตาหลังคารถพลันกางออกประหนึ่งปีก เสียงติงติงดังขึ้นไม่หยุด นั่นคือเสียงศรร่วงลงบนนั้น หลังจากนั้นร่วงหล่น

ขุนนางและแม่ทัพด้านนี้สีหน้าประหลาดใจ รถม้านี่ถึงกับทำมาจากเกราะ!

เฉิงกั๋วกงผู้นี้ไม่ได้ออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดอย่างว่าง่ายจริงๆ อย่างที่คิดไว้ ไม่เป็นโจรใจไม่กลัว ทำไมใช้เกราะทำรถม้า เขาป้องกันอะไร!

ขุนนางโกรธเกรี้ยวในบัดดล

มีเกราะขวางศรแล้วอย่างไร ไม่มีรถม้า พวกเขาสามครอบครัวติดปีกก็ยากหนี

“จับพวกเขาไว้” เขาตวาด

นายทหารทั้งหลายยกคันศรควบม้าไปล้อมเฉิงกั๋วกง

บนพื้นแรงสะเทือนส่งมา

ไม่ถูกต้องนะ

แม่ทัพก้มศีรษะมองใต้เท้า จากนั้นฉุกคิดได้มองไปด้านหลัง จากนั้นหน้าถอดสี

หลังร่างไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรปรากฏกำลังพลกลุ่มหนึ่ง แม้พวกเขาสวมเสื้อป่านแต่ในมือกลับกำคันศรดาบยาว

ไม่ใช่แค่หลังร่าง คนอื่นก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน มองไปรอบด้านอย่างตกตะลึง

ประหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ดิน กำลังคนหลายร้อยคนล้อมเข้ามาจากรอบด้าน

พวกเขาไม่พูดสักคำ สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา กีบเท้าม้าย่ำพร้อมเพรียง คันศรในมือทอประกายเย็นเยียบ ล้อมนายทหารเหล่านี้ไว้

ไม่ต้องให้พวกเขาเอ่ยวาจา นายทหารทั้งหลายที่ชูคันศรล้อมเข้าไปหาเฉิงกั๋วกงก็ล้วนหยุด

“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นใคร?” ขุนนางสีหน้าซีดขาวตวาด

ไม่มีผู้ใดตอบเขา เพราะไม่จำเป็นต้องตอบ

เฉิงกั๋วกงเดินออกมาจากหลังรถม้า จูจั้นประคองนายหญิงอวี้ คนที่มาจูงม้าสามตัวมารับพวกเขา

ปลดผู้คุ้มกัน ไม่มีทหารส่วนตัว ไอ้คนหลอกลวง! ไร้ยางอาย! ขุนนางทั้งร่างสั่นระริกสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว

“เฉิงกั๋วกง”

ขุนนางมองครอบครัวเฉิงกั๋วกงด้านนั้นพลิกกายขึ้นม้า อดไม่ได้อีกต่อไปตวาดขึ้นมา

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าไปครานี้หมายความว่าอย่างไร?”

เฉิงกั๋วกงหันศีรษะมองไปหาเขา

ไปครั้งนี้จะเป็นการกลัวความผิดหลบหนี จะเป็นการยืนยันความผิดหนักคิดกบฏ บารมีไม่เหลือ ถูกชาวบ้านถ่มน้ำลาย ความชอบที่ทำศึกสิบกว่าปีสลายกลายเป็นความว่างเปล่า

ขุนนางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง สีหน้าซีดเผือด สีหน้าจริงใจ

“เฉิงกั๋วกง ในเมื่อบริสุทธิ์ใจไม่มีซ่อนเร้นก็เชิญกลับไปบอกแก่ใต้หล้า” เขาเอ่ยเสียงสั่น “ไยต้องเป็นโจร!”

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยนทีหนึ่ง พลิกดาบยาวในมือหมุนกลับสะพายไว้หลังร่าง สักคำก็ไม่เอ่ยควบม้าไปด้านหน้า

ฝีมือขี่ม้าของนายหญิงอวี้ก็เห็นชัดว่าไม่เลว ตามไปติดๆ

จูจั้นถ่มน้ำลายใส่ด้านนี้คำหนึ่ง ยกดาบในมือขึ้นขว้างมาหาขุนนาง

“เจ้าไปเองสิ” เขาตะโกน หมุนตัวควบม้าเร็วรี่

แม้ระยะทางไกล แต่ดาบนั่นบินมาประหนึ่งศร ขุนนางไม่ทันรู้ตัวร้องเสียงเบาทีหนึ่งถอยไปข้างหลัง

ดาบครึ่งหนึ่งปักทแยงลงห่างจากปลายเท้าเขาไม่กี่ก้าว พัดฝุ่นขึ้นขณะจมลงดิน

……………………………………….

……………………………………….

“กบฏแล้ว!”

เสียงป้าบดังขึ้นทีหนึ่ง ฮ่องเต้ขว้างถ้วยชาบนโต๊ะลงพื้น เหวี่ยงมือสองข้างตวาดโกรธเกรี้ยว

“เขากบฏแล้ว!”