คนเฝ้าประตูจวนอัครมหาเสนาบดียังเป็นถึงขุนนางระดับเจ็ด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองครักษ์ลับพระชายาอ๋องฉี หากเป็นในอดีต ต่อให้ผู้ว่าการตำบลมีความกล้าล้นฟ้าก็ไม่กล้าจับกุมตัวพวกเขา แต่พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปาก คิดว่านางจะได้เป็นพระชายาองค์ชายในอนาคต ผู้ว่าการตำบลก็กัดฟันแน่น พยักหน้ารับคำ “ได้ คนพวกนี้กล้าบุกรุกเคหะสถาน เข่นฆ่าสังหาร ตามหลักสมควรรับโทษอาญา เมื่อแม่นางเมิ่งขอร้องแทนพวกเขา ก็ให้ขังพวกเขาไว้สิบวัน สิบวันให้หลังจะปล่อยตัวพวกเขาทันที”
เฮ่ออีและคนอื่นๆ มองผู้ว่าการตำบลอย่างไม่เชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองสีหน้าพวกเขา แอบยิ้มขบขัน ฉวยโอกาสนี้ยกยอผู้ว่าการตำบล “พวกเจ้ามาจากเมืองหลวง ไม่รู้จักผู้ว่าการตำบลของพวกเรา เขาเป็นคนซื่อตรงเที่ยงธรรม ไม่ประจบสอพลอใคร มีใจมุ่งมั่นเพื่อประชาราษฎร์”
ผู้ว่าการตำบลที่กำลังหมดความเชื่อมั่น ได้ยินคำพูดนาง ก็ให้มีความมั่นใจ หันไปพูดกับพวกเฮ่ออีอย่างเด็ดขาด “แม่นางเมิ่งพูดถูกต้อง ข้าไม่เกรงกลัวอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น พวกเจ้าอย่าได้วาดฝันว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆ”
ความหวังของพวกเฮ่ออีดับสูญ หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างร้อนใจ เฮ่ออีขอร้องนาง “แม่นางเมิ่ง นายท่านของพวกเรายังเยาว์ ขอท่านให้ข้าติดตามเขากลับเมืองหลวงด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มอ่อน “ไม่ต้องแล้ว อย่างไรเขาก็เป็นถึงคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี ข้าไม่ทำอะไรเขาหรอก อย่างมากก็ให้เขาได้รับความลำบากเล็กน้อยระหว่างทาง”
เฮ่ออีได้ฟังยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข ขยับร่างหมายจะลุกขึ้น กลับถูกองครักษ์หลวงข้างๆ กดกลับที่เดิม เฮ่ออีดิ้นรนพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ความผิดทั้งหมดเป็นความผิดของพวกเรา เป็นพวกเราที่ไม่ขัดขวางนายท่าน ท่านจะโบยจะปรับ จะจับพวกเราขังคุกก็ได้ แต่อย่าทารุณนายท่านของพวกเราเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา หันไปพูดกับผู้ว่าการตำบล “รบกวนท่านใต้เท้าแล้ว ท่านพาตัวพวกเขาไปเถอะ ข้ายังต้องกลับไปเก็บของ พรุ่งนี้จะออกเดินทางเข้าเมืองหลวงแต่เช้าตรู่”
ผู้ว่าการตำบลพยักหน้า สั่งการเจ้าหน้าที่ “พาตัวพวกเขาทั้งหมดไป!”
เจ้าหน้าที่รับคำ ตวาดสั่งองครักษ์ลับให้ลุกขึ้นตามพวกเขาไป
องครักษ์ลับเหล่านี้คอยติดตามหวงฝู่อวี้ อยู่ในเมืองหลวงมีแต่คนนับหน้าถือตา ในตอนนี้กลับเพลี้ยงพล้ำถูกคนรังแก แม้แต่เจ้าหน้าที่กระจอกๆ ยังกล้าตวาดใส่พวกเขา โทสะปะทุ นัยน์ตาสะท้อนแววดุดัน หากไม่เพราะข้างๆ มีองครักษ์หลวงเฝ้าอยู่ คาดว่าพวกเขาคงกระชากเชือกขาด กระโจนเข้าใส่พวกเจ้าหน้าที่ไปแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดให้พวกเขาผ่อนคลายลง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “หากพวกเจ้าทำตัวดีๆ อยู่ในคุกสิบวัน ข้าจะไม่ทารุณนายของพวกเจ้า ให้เขานั่งในรถม้ากลับไปเมืองหลวงพร้อมข้า แต่ถ้ามีใครหน้าไหนกล้าหนีคุก ข้าจะมัดหวงฝู่อวี้ไว้บนหลังม้า ไม่ให้เขากินดื่มสามวัน”
พวกเฮ่ออีรับรู้ถึงความเ**้ยมอำมหิตของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว รู้ว่านางพูดจริงทำจริง ตกใจจนโทสะหดหาย เดินตามเจ้าหน้าที่ออกไปจากสนามฝึกยุทธ์แต่โดยดี
ผู้ว่าการตำบลก็กำลังจะตามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขาเสียงเบา “ท่านใต้เท้า หลังจากนำตัวพวกเขาขังคุกแล้ว ห้ามทารุณกรรมพวกเขาเด็ดขาด จะเป็นการยั่วโทสะ นำภัยมาถึงชีวิตพวกท่านได้”
ผู้ว่าการตำบลเหงื่อผุดซึมออกมาฉับพลัน รีบร้อนพูดขอบคุณ “ขอบใจแม่นางเมิ่งที่เตือน ข้ารู้แล้ว กลับไปข้าจะกำชับพวกเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้ว่าการตำบลเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เดินรั้งท้ายออกมาจากสนามฝึกยุทธ์
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกัวเฟย “พรุ่งนี้เจ้าพาคนสิบคนตามข้าไปเมืองหลวง คนที่เหลือให้จัดเวรยามให้ดี ให้พวกเขาคอยระวังความปลอดภัย ห้ามให้เกิดความผิดพลาดเด็ดขาด”
“ทราบแล้วขอรับ นายท่าน” กัวเฟยรับคำ หันหลังออกไปจัดเตรียมการ
ชาวบ้านเห็นเจ้าหน้าที่กุมตัวชายชุดดำหลายสิบนายเดินเป็นขบวนออกไปจากหมู่บ้าน เกิดเสียงดังเอ็ดอึง คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีชาวบ้านใจกล้าคนหนึ่งเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ “ใต้เท้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
เจ้าหน้าที่ไม่เคยจับกุมคนเข้าคุกมากเช่นนี้ ให้รู้สึกเห่อเหิมใจ จึงตอบไปว่า “เมื่อคืนวานคนพวกนี้บุกเข้าไปในบ้านแม่นางเมิ่ง ถูกแม่นางเมิ่งให้คนจับตัวไว้ได้”
สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ ชาวบ้านก็ส่งเสียงดังเซ็งแซ่ หลายปีก่อน หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการกับพวกอันธพาล หลายปีมานี้ ในหมู่บ้านก็มีแต่ความสงบสุข ไม่มีขโมยขึ้นบ้านใครอีก บัดนี้กลับมีคนหนึ่งโขยงบุกรุกบ้านเมิ่ง ทุกคนพอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนถึงกับคิดไปถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีความสัมพันธ์กับองค์ชายจวนอ๋องฉี
เมิ่งฉีเพิ่งจะเดินออกมาจากในบ้าน ได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่เข้าพอดี ตกใจตาลีตาลานกลับไปบ้านเก่า พอพ้นประตูเข้ามาก็ร้องโวยวายกลางลานเรือน “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
เมิ่งเสียนและภรรยากำลังแยกกันชวนสองสามีภรรยาเมิ่งพูดคุยตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับ ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเมิ่งฉี ต่างหัวใจเต้นรัว รีบลุกขึ้นออกมาพร้อมกัน เมิ่งฉีสาวเท้าเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว ซุนเชี่ยนยกยิ้มเปลี่ยนเรื่องพูด “น้องรอง น้องสะใภ้ไม่ได้มาพร้อมเจ้าด้วยหรือ”
เมิ่งฉีหยุดฝีเท้า เรียกขาน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” แล้วตอบว่า “เยียนเอ๋อร์ใกล้คลอดเต็มที่ ไม่อยากเดินไปไหน อยู่ที่บ้านให้สาวใช้คอยดูแล ข้ากำลังจะไปโรงงาน เห็นเข้ากับ…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกซุนเชี่ยนตัดบท “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? โรงงานมีข้าและพี่ใหญ่ดูแลแล้ว ให้เจ้าอยู่ที่บ้าน คอยดูแลน้องสะใภ้ให้ดี” ว่าแล้ว ก็พยายามขยิบตาให้เมิ่งฉี
เมิ่งฉีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอบกลับ “วันนี้ข้าเห็นนางสบายดี เลยจะไปดูโรงงานเสียหน่อย แล้วค่อยกลับบ้านไปดูแลนาง”
พูดจบก็ถามเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
ซุนเชี่ยนแย่งตอบ “เมื่อคืนมีคนบุกเข้ามาในบ้าน แต่ถูกน้องสาวให้คนจับตัวไว้ได้ ด้วยกลัวน้องสะใภ้จะตกใจ ถึงไม่ได้ให้คนไปบอกพวกเจ้า เจ้าใจเย็นก่อน ให้พี่ใหญ่ค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง”
เมิ่งฉีทำการค้ามาหลายปี ย่อมฟังความหมายแฝงของซุนเชี่ยนออก รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีเรื่องที่ไม่ควรให้สองสามีภรรยาเมิ่งรู้ พยักหน้า พูดเออออว่าตาม “พี่ใหญ่ ท่านรีบบอกข้าสิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ซุนเชี่ยนเห็นเขาเข้าใจความหมายแฝงแล้วก็โล่งใจ พูดว่า “พวกท่านค่อยๆ คุยกันไป ข้าจะเข้าไปอยู่กับท่านพ่อท่านแม่”
ซุนเชี่ยนเข้ามาในบ้าน เมิ่งชื่อถามด้วยความสงสัย “ทำไมถึงไม่ให้พวกเขาสองคนเข้ามาคุยในบ้าน?”
ซุนเชี่ยนใช้เมิ่งเส้าเป็นข้ออ้าง “เส้าเอ๋อร์ยังเด็ก ไม่ควรฟังเรื่องพวกนี้มากเกินไปเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อพยักหน้าไม่สงสัยอีก
ด้านนอก เมิ่งเสียนพาเมิ่งฉีมาห้องฝั่งตะวันออก ค่อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
เมิ่งฉีลุกขึ้นด้วยความโมโห พูดว่า “หยาบช้าเกินไปแล้ว ถึงกับส่งคนมาฆ่าน้องสาว คุณชายรองคนนั้นอยู่ที่ไหน ข้าจะไปอัดเขาระบายแค้นให้น้องสาว”
เมิ่งเสียนห้ามเขา “คุณชายรองได้รับการสั่งสอนจากน้องสาวไม่น้อยแล้ว เจ้าอย่าไปทำให้เรื่องยิ่งยุ่ง สิ่งสำคัญในตอนนี้คือปิดบังท่านพ่อท่านแม่เรื่องที่เมื่อวานมีคนเข้ามามากมาย ทุกอย่างจะพูดได้เมื่อน้องสาวเดินทางเข้าเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ไปแล้ว”
“น้องสาวจะไปเมืองหลวง?” เมิ่งฉีตกใจถาม
เมิ่งเสียนพยักหน้า “ท่านพ่อท่านแม่เพิ่งจะยอมอนุญาต ประเดี๋ยวเจ้าอย่าได้พลั้งปากเด็ดขาด หากพวกเขารู้ได้ห้ามไม่ให้น้องสาวไปเมืองหลวงอีก”
เมิ่งฉีพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว พี่ใหญ่” แล้วถามต่อ “เตรียมการเรื่องการไปเมืองหลวงของน้องสาวเรียบร้อยแล้วหรือไม่? พวกเราใครที่ต้องตามนางไปด้วย?”
“น้องสาวจะพาเหวินเปียว เหวินหู่และกัวเฟยไป” เมิ่งเสียนพูด
เมิ่งฉีไม่เห็นด้วย “จะให้น้องสาวเข้าเมืองหลวงไปลำพังได้อย่างไร? พวกเราเป็นพี่ สมควรมีใครสักคนตามไปเป็นกองหนุน”
เมิ่งเสียนถอนหายใจ “น้องสาวเข้าเมืองหลวงไปครั้งนี้ คงไม่กลับมาในระยะเวลาสั้นๆ กิจการของครอบครัวจำเป็นต้องมีคนดูแล น้องสะใภ้ก็ใกล้จะคลอดแล้ว เจ้าเองก็ปลีกตัวไม่ได้ จำต้องให้นางเดินทางไปคนเดียว”
“พี่ใหญ่ไปกับนางเถอะ ข้าจะอยู่ดูแลกิจการเอง” เมิ่งฉีพูด
เมิ่งเสียนส่ายหน้า “เจ้ายังไม่เข้าใจ กิจการของครอบครัวเป็นเพียงเรื่องรอง น้องสาวกลัวว่าช่วงเวลาที่นางไม่อยู่นี้ จะมีคนบุกเข้ามาลอบสังหารอีก ข้าจำเป็นต้องอยู่บัญชาการที่นี่ เจ้าอยู่ที่เรือนใหม่ เกรงจะไม่ทันการ”
เมิ่งฉีพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาจากสนามฝึกยุทธ์ เห็นเมิ่งฉีก็อยู่ด้วย ยิ้มถามเขา “พี่รอง วันนี้พี่สะใภ้รองเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมิ่งฉีส่ายหน้า ตอบความ “สบายดี บอกว่าตัวหนัก คร้านจะขยับตัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “ข้ากำลังจะให้คนไปหาท่าน พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองหลวง เรื่องในครอบครัวต้องมอบให้ท่านและพี่ใหญ่คอยดูแลแล้ว”
เมิ่งฉีรับคำ “พี่ใหญ่บอกข้าแล้ว ระหว่างทางเจ้าต้องระวังให้มาก ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปนำตั๋วเงินจำนวนหนึ่งมาให้เจ้า ในเมืองหลวงอะไรก็แพง พกตั๋วเงินไปมากหน่อยจะได้อุ่นใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ ที่ข้ามีก็พอแล้ว”
เมิ่งฉีไม่ดึงดันต่อ
สามพี่น้องเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกัน
เมิ่งชื่อจัดเตรียมข้าวของให้เมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จแล้ว เห็นนางเดินเข้ามา ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าดูสิว่าของพวกนี้เพียงพอหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองข้าวของที่กินเนื้อที่ไปเกือบครึ่งห้อง
ซุนเชี่ยนปิดปากแอบขำ พูดว่า “ข้าห้ามท่านแม่แล้ว บอกให้เจ้าพกตั๋วเงินไปมากหน่อย ค่อยไปซื้อหาในเมืองหลวง ท่านแม่ก็ไม่ฟัง ตอนนี้แม้แต่ผ้านวมชุดใหม่ก็เอาออกมาให้เจ้านำติดตัวไปด้วย”
เมิ่งชื่อมองดูสิ่งของที่ตัวเองจัดเตรียมอย่างพึงพอใจ พูดว่า “ผ้านวมในเมืองหลวงจะอุ่นเท่ากับพี่แม่ทำได้อย่างไร” ว่าแล้ว ก็ชี้ห่อผ้าขนาดใหญ่หลายกอง พูดว่า “ยังมีเสื้อผ้าพวกนี้ ใครจะทำได้พอดีตัวเจ้าเท่าแม่อีก เจ้าจงเอาไปด้วยทั้งหมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องโอดโอย ฟุบลงไปบนกองผ้านวม บ่นครวญคราง “ท่านสมกับเป็นแม่แท้ๆ ของข้าจริงๆ”
ทุกคนหัวเราะครืน