“เคร้ง!” ตะเกียบร่วงหลุดจากมือเมิ่งชื่อ
เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียนและภรรยาก็ตะลึงค้าง
เมิ่งเอ้ออิ๋นเอ่ยปากถาม “โยวเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงคิดจะเข้าเมืองหลวงไปหาอี้เซวียนกะทันหันเช่นนี้ เกิดเรื่องขึ้นกับเขาใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบความ “ท่านพ่อ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว อี้เซวียนอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบาย หาได้เกิดเรื่องอันใดไม่เจ้าค่ะ?”
เมิ่งชื่อได้สติกลับคืนมาแล้ว ร้อนรนถาม “เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องไปหาเขาฉุกละหุกเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปกปิดความจริง “ท่านแม่ ท่านมักบ่นว่าข้ากลายเป็นสาวใหญ่แล้ว สองวันมานี้ข้ามาคิดดู ก็รู้สึกว่าตัวเองสมควรไปหาเขาที่เมืองหลวง ถามเขาว่ายังจำสัญญาในอดีตได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยเอาไว้ ข้าได้ไม่มีเอาเป็นแน่แท้เชียว”
“โยวเอ๋อร์” เมิ่งชื่อเรียกนางด้วยสีหน้าขึงขัง
เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตกใจ แย้มยิ้มขานรับ
“เจ้าเป็นลูกสาวที่แม่ฟูมฟักเลี้ยงดูมา เจ้าปิดบังแม่ไม่ได้หรอก มีอะไรก็บอกแม่มาตามตรง ทำไมเจ้าถึงต้องไปเมืองหลวงกันแน่?” เมิ่งชื่อเค้นถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม แลบลิ้นปลิ้นตา พูดหยอกเย้า “ท่านแม่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีอะไรหลบพ้นสายตาท่านได้”
เมิ่งชื่อหาได้หวั่นไหว “อย่าเปลี่ยนเรื่อง บอกพวกเรามาว่าเจ้าจะไปเมืองหลวงทำไม? เกิดเรื่องขึ้นกับอี้เซวียนใช่หรือไม่?”
“ข้าบอกพวกท่านไป พวกท่านอย่าตกใจนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเตือนไว้ก่อน
เมิ่งชื่อเป็นคนใจร้อน กระวนกระวายใจพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้ รีบพูดมาเถอะ พวกเราร้อนใจจะแย่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจแผ่ว พูดว่า “ความจริงพวกที่ขึ้นบ้านเราเมื่อวานไม่ใช่โจร แต่เป็นคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี เป็นน้องชายของอี้เซวียน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อลุกขึ้นร้องอุทานพร้อมกัน “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวอุดหูตัวเองแน่น พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าบอกพวกท่านแล้วไงว่าอย่าตกใจ”
เมิ่งชื่อเปล่งน้ำเสียงตำหนิ “เจ้าลูกคนนี้ เรื่องใหญ่เช่นนี้ยังกล้าปิดบังพวกเรา ทั้งยังนั่งตรงนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามบ้าง “คุณชายรองบุกรุกบ้านพวกเรากลางดึกด้วยเหตุใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ยกมือบอกคนทั้งสองอย่าเพิ่งใจร้อน แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่าน นั่งลงก่อน ใจเย็นๆ ข้าจะค่อยๆ เล่าให้พวกท่านฟังเจ้าค่ะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นนั่งลงก่อน
แม้เมิ่งชื่อจะร้อนใจ แต่ก็ยอมนั่งลง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งลงด้วย แล้วเอ่ยปากพูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในร้านของพวกเราเมื่อวานเป็นฝีมือของคุณชายรอง จุดประสงค์ก็เพื่อให้พวกเราเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำลายการค้าพวกเรา ไม่คิดว่าข้าจะจับพิรุธและสืบหาความจริงได้โดยไว พอเขาเห็นว่าแผนแรกไม่สำเร็จ จึงคิดจะบุกเข้ามากลางดึกเพื่อจับตัวข้าไปเมืองหลวง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวเมิ่งชื่อและเมิ่งเอ้ออิ๋นจะเป็นห่วง ไม่กล้าพูดตามตรงว่ามาฆ่านาง เปลี่ยนเป็นมาจับตัวนางแทน
“เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้? พวกเรามีความแค้นกับพวกเขาหรือ?” เมิ่งชื่อถามอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ยังจำเรื่องการหมั้นหมายแต่เยาว์ของอี้เซวียนที่ท่านแม่ทัพฉู่เคยบอกได้หรือไม่? บัดนี้เขาถึงวัยแต่งงานแล้ว อ๋องฉีบีบเขาให้แต่งงานกับธิดาราชเลขา เขาไม่ยินยอม คุณชายรองเติบโตมาพร้อมคุณหนูคนนี้ คงจะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นหลังจากได้ยินบทสนทนาของพวกเขา คิดว่าเป็นข้าที่ขวางเส้นทางรักของนาง จึงจะมาจับตัวข้าเข้าเมืองหลวงเพื่อบีบอี้เซวียนให้ถอนหมั้นกับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างประนีประนอม เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อกลับเข้าใจถึงประเด็นสำคัญ เมิ่งชื่อถามด้วยความเป็นห่วง “พวกเขาจะจับตัวเจ้า เจ้ากลับจะไปเมืองหลวง ไม่เท่ากับเข้าไปอยู่ในกำมือพวกเขาหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ข้าได้ซักถามแล้ว นี่เป็นความคิดวู่วามของคุณชายรองฝ่ายเดียว อ๋องฉีไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย ข้าเลยจะใช้โอกาสนี้เข้าเมืองหลวง หนึ่งเพื่อให้อ๋องฉีรับผิดชอบ สองเพื่อ…” แล้วนางก็หยุดพูด
เมิ่งชื่อร้อนใจถามพลัน “สองคืออะไร? รีบพูดสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบโต๊ะ พูดหน้าชื่นตาบาน “สองเพื่อไปบีบให้แต่งงาน!”
สิ้นเสียงนาง ซุนเชี่ยนก็เปล่งเสียงขึ้นทันที “พี่สะใภ้สนับสนุนเจ้า เจ้าสมควรจะทำนานแล้ว”
เมิ่งเสียนมองซุนเชี่ยนอย่างแหนงหน่าย ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “น้องสาวอายุยังน้อย ทำอะไรขาดการยั้งคิด เจ้ากลับจะยุยงนาง”
ซุนเชี่ยนโต้แย้ง “ข้ายุยงนางที่ไหน อี้เซวียนอายุสิบห้าปีแล้ว เข้าสู่วัยแต่งงานมีคู่ครอง หากน้องสาวยังไม่ไป หากเขาทนแรงกดดันไม่ไหวแต่งกับคุณหนูนางนั้น หลายปีมานี้น้องสาวไม่ต้องรอเปล่าหรือ ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรถูกกำหนด ให้น้องสาวรีบเข้าเมืองหลวง ลงมือก่อนเป็นต่อ รีบแต่งงานกับอี้เซวียน เรื่องอื่นค่อยว่ากันที่หลัง”
แม้เมิ่งเสียนจะรู้สึกว่านางพูดมีเหตุผล กลับยังไม่เห็นด้วย พูดว่า “เมืองหลวงไม่เหมือนชนบท จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ จวนอ๋องฉีก็หาใช่ที่ที่เจ้าอยากจะเข้าก็เข้าไปได้ หากน้องสาวถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่เจออี้เซวียนจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดต่อ “พี่ใหญ่ ท่านลืมไปแล้วหรือ คุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉีอยู่ในมือข้า มีป้ายอาญาสิทธิ์นี้ ข้าก็สามารถพบหน้าอี้เซวียนได้อย่างง่ายดายแล้ว”
เมิ่งเสียนไม่มีเหตุผลคัดค้านอีก
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อนิ่งอึ้งกับคำพูดสั่นประสาทของเมิ่งเชี่ยนโยวไปนานแล้ว มองนางอย่างไม่รู้จัก กระทั่งซุนเชี่ยนพูดจบ ทั้งสองถึงได้สติกลับมา เมิ่งชื่อชี้เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้า เจ้า เจ้า…” อย่างไรก็พูดไม่ออก
เมิ่งเอ้ออิ๋นที่ตามใจเมิ่งเชี่ยนโยวมาตลอด ก็ตกใจพูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นสาวเป็นนาง ต้องรักนวลสงวนตัว จะไปบีบเขาให้แต่งงานถึงบ้านได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระเง้ากระงอด “ท่านพ่อ หากข้าไม่ไปบีบบังคับเขา ข้าไม่กลายเป็นสาวแก่จริงๆ หรอกหรือ”
ในที่สุดเมิ่งชื่อก็พูดได้แล้ว “แต่ก็จะทำเช่นนั้นไม่ได้ จะทำให้คนอื่นเอามาเป็นขี้ปากได้ ต่อไปหากได้แต่งงานกับอี้เซวียนจริงๆ น้ำลายของผู้หวังดีพวกนั้นจะถ่มรดท่วมตัวเจ้าตาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกพูดว่า “ท่านแม่ บุตรสาวท่านต้องกลัวน้ำลายคนพวกนั้นหรือ? หากพวกเขากล้ามาถ่มรดข้า ข้าก็กล้าเหวี่ยงพวกเขากลับไป”
นางพูดเช่นนี้ เมิ่งชื่อยิ่งไม่วางใจ “ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะไปเมืองหลวงไม่ได้ เอาอย่างนี้ ให้พี่ใหญ่เจ้าพาคุณชายรองไปเมืองหลวง แล้วให้เขาถามอี้เซวียนว่า เขายังจะยอมรับการแต่งงานนี้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “คนสุภาพอ่อนโยนอย่างพี่ใหญ่ คาดว่ายังไม่ทันได้เจอหน้าอี้เซวียนก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาจากจวนอ๋องฉีแล้ว”
“งั้นก็ให้พี่รองเจ้าไป ประเดี๋ยวจะให้คนไปตามเขามาจากเรือนใหม่” เมิ่งชื่อยืนหยัดพูดต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเมิ่งเสียนและภรรยา แสดงสีหน้าให้พวกเขาช่วยพูดหว่านล้อม
เมิ่งเสียนขบขันกับท่าทีของนาง ยกยิ้มส่ายหน้าไปมา แล้วพูดโน้มน้าวเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ น้องสาวพูดไปอย่างนั้นเอง หาได้จะไปบีบบังคับเรื่องงานแต่งงานจริงๆ ไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพยักหน้าเออออ “พี่ใหญ่พูดถูกต้อง นั่นเป็นความคิดขั้นที่แย่ที่สุด หากข้าเจออี้เซวียนแล้วเขาตกลงจะแต่งงานกับข้า การบีบให้แต่งงานก็จะไม่เกิดขึ้นเจ้าค่ะ”
ซุนเชี่ยนก็ช่วยพูดอีกแรง “ท่านแม่ ท่านให้น้องสาวไปเถอะ สี่ปีมานี้ไม่มีข่าวคราวของอี้เซวียนเลย ท่านเองก็เป็นกังวลมาตลอด ใช้โอกาสนี้ให้น้องสาวเข้าไปดูพอดี หากท่านไม่วางใจ ให้เมิ่งเสียนตามไปด้วยก็ได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ได้ พี่ใหญ่ต้องอยู่ที่นี่ดูแลกิจการของครอบครัว พวกท่านวางใจเถอะ ข้าคิดเอาไว้แล้ว ข้าจะพาเหวินเปียวและเหวินหู่ไปด้วย พวกเขาเติบโตในเมืองหลวง คุ้นเคยกับที่แห่งนั้น มีพวกเขาสองคน จะกินอยู่หลับนอนย่อมไม่เป็นปัญหา อีกอย่าง ข้าจะพาพวกกัวเฟยไปด้วย พวกเขามีวรยุทธ์สูง หากเจอเรื่องอะไรจะได้คุ้มครองข้าได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นนางวางแผนทุกอย่างดีแล้ว พูดโอนอ่อน “เมื่อเจ้าเตรียมการไว้พร้อมแล้ว อยากไปก็ไปเถอะ หลังจากเจออี้เซวียนจงบอกเขาว่า พ่อแม่คิดถึงเขามาก ถ้าเขามีเวลาให้เขียนจดหมายมาถึงพวกเราบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำหน้าบาน “ทราบแล้ว ท่านพ่อ พอข้าเจอเขาจะให้เขาเขียนจดหมายหาพวกท่านเป็นสิ่งแรกเลยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า ช่วยพูดหว่านล้อมเมิ่งชื่อ “โยวเอ๋อร์อยากไปก็ให้นางไปเถอะ จะปล่อยให้การแต่งงานยืดเยื้อต่อไปก็คงไม่ดี รีบไปรีบมีบทสรุป พวกเราก็จะได้เตรียมการแต่เนิ่นๆ”
เห็นทุกคนเห็นชอบแล้ว เมิ่งชื่อถอนหายใจ พยักหน้ายอมจำนน
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดประจบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะต้องอนุญาตให้ข้าไปเมืองหลวง พวกท่านวางใจเถอะ พอข้าไปถึงจะให้คนส่งจดหมายกลับมารายงานความปลอดภัยทุกสิบวันเจ้าค่ะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี อย่าให้พวกเราต้องคอยเป็นห่วงเจ้า”
เมิ่งชื่อก็พยักหน้า “เจ้าต้องพูดได้ทำได้ หากแม่ไม่ได้รับจดหมายตรงตามเวลา จะให้พี่ใหญ่ไปหาเจ้าที่เมืองหลวง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “พวกท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่ลืมเด็ดขาด”
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว เมิ่งชื่อถึงรีบถามถึงหวงฝู่อวี้ “คุณชายรองเล่า เจ้าจัดการกับเขาอย่างไร?”
“เด็กเกเรคนนั้นไร้การอบรม เมื่อคืนพอจับเขาได้ ข้าก็มอบเขาให้พวกกัวเฟย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าบางครั้งนางทำอะไรไม่ยั้งคิด กำชับนาง “หากเจ้าได้แต่งงานกับอี้เซวียน เขาก็จะเป็นน้องชายสามีเจ้า เจ้าอย่าได้ทำอะไรเกินกว่าเหตุ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเชื่อฟัง “ข้าทราบแล้ว ท่านแม่” แล้วพูดเสริมในใจ “สายไปเสียแล้ว ข้าสั่งสอนเขาไปจนหนำใจแล้ว”
เมิ่งชื่อไม่รู้ความคิดนาง เก็บตะเกียบขึ้นแจกให้ทุกคนใหม่ แล้วพูดว่า “กินข้าวเถอะ พอกินข้าวเสร็จแม่จะไปตระเตรียมข้าวของให้โยวเอ๋อร์”
คนทั้งหมดรับตะเกียบ ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าของตัวเอง
พอกินเสร็จ สาวใช้สองคนเข้าไปเก็บล้าง เมิ่งชื่อกลับมาในห้องเตรียมสิ่งของให้เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเอ้ออิ๋นพาเมิ่งเส้าเดินตามไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยน แล้วเดินนำออกไปนอกเรือน
เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนหันหน้ามองกันเดินตามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรอคนทั้งสองเดินออกมา ถึงกระซิบบอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานอย่างละเอียด
ซุนเชี่ยนได้ฟังก็ตกใจเหงื่อผุดซึม เมิ่งเสียนก็ตื่นตระหนกไม่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พอข้าจับพวกเขามัดเสร็จ ก็เอาไปทิ้งไว้ในสนามประลองยุทธ์ ให้องครักษ์หลวงคอยผลัดเวรยามเฝ้าดู ทั้งสั่งกัวเฟยเข้าไปหาท่านผู้ว่าการ คาดว่าพอท่านผู้ว่าการรู้เรื่องจะต้องรีบตรงเข้ามา ดังนั้นพี่ใหญ่พี่สะใภ้ ประเดี๋ยวพวกท่านไม่ต้องไปโรงงานแล้ว อยู่ที่บ้านคอยดูแลท่านพ่อท่านแม่ ห้ามให้พวกเขารู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
ซุนเชี่ยนพูดว่า “คนมากขนาดนั้น ต่อให้ถูกนำตัวเข้าคุกก็จะต้องเป็นขบวนใหญ่ ต่อให้ท่านพ่อท่านแม่ไม่รู้ตอนนี้ ภายหน้าก็จะต้องรู้”
“ข้าเพียงกลัวว่าถ้าพวกเขารู้วันนี้ จะเปลี่ยนความคิดห้ามไม่ให้ข้าไปเมืองหลวง ขอแค่ผ่านวันนี้ไปได้ พวกท่านจะบอกพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
สองสามีภรรยาเข้าใจความหมายของนางแล้ว ต่างพยักหน้า “เข้าใจแล้ว พวกเราจะเข้าไปชวนท่านพ่อท่านแม่คุย พยายามไม่ให้พวกเขาออกไปไหนในวันนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า พูดว่า “นี่ก็สายมากแล้ว คงอีกสักพักกว่าท่านผู้ว่าการจะมาถึง พวกเราไปดูคุณชายรองกันก่อนเถอะ”
ทั้งสองพยักหน้า ตามเมิ่งเชี่ยนโยวมายังเรือนรอง
กัวเฟยเข้าไปแจ้งความในเมือง ให้องครักษ์หลวงอีกคนเฝ้าหวงฝู่อวี้ไว้
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา องครักษ์หลวงน้อมเรียก “นายท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะ ถามขึ้น “คนเล่า?”
องครักษ์หลวงตอบความ “อยู่ในห้องขอรับ”
ทั้งสามเดินเข้าไปในห้อง เห็นหวงฝู่อวี้นั่งหงอยอยู่ปลายเตียง พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาก็เบะปาก เกือบจะร้องไห้ออกมา พูดเสียงกระเส่า “ห้องของพวกเขาเหม็นยิ่งนัก ข้านอนไม่ได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะพ่นหัวเราะออกมา
เมิ่งเสียนและภรรยาเห็นเขาไม่มีท่าทีดุดันเ**้ยมโหดเหมือนที่คิดไว้ ต่างตะลึงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา พูดว่า “ข้าเห็นแก่อี้เซวียนหรอกนะ ถึงให้เจ้ามาอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องถูกมัดทิ้งเอาไว้ในสนามฝึกยุทธ์เหมือนลูกน้องของเจ้า หากเจ้ายังรังเกียจ ข้าจะให้คนมาโยนเจ้ากลับไป”
หวงฝู่อวี้ตกใจตัวสั่น ลนลานพูด “ข้าไม่อยากถูกส่งกลับไป ฝืนใจอยู่ที่นี่ก็ได้”
ซุนเชี่ยนตกใจร้องถาม “โยวเอ๋อร์ นี่ๆ คือคนที่จะมาฆ่าเจ้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ พยักหน้า “เมื่อคืนวานยะโสโอหังนัก ถูกข้าสั่งสอนเข้าไป ทำตัวดีขึ้นมาก” ว่าแล้ว ก็ปรายตามองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง
หวงฝู่อวี้ตกใจหดตัวถอยกรูด
เมิ่งเสียนเห็นรอยบวมช้ำทั่วใบหน้าเขา เริ่มไม่เห็นด้วยกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว เจ้าลงมือหนักเกินไปแล้ว หากเจ้าพาเขากลับเมืองหลวงไปในสภาพนี้ อ๋องฉีจะต้องโมโหโกรธเกรี้ยว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมองหวงฝู่อวี้ครู่หนึ่ง พูดอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไร กว่าจะถึงเมืองหลวงต้องใช้เวลาหลายวัน ถึงตอนนั้นอาการบวมช้ำบนใบหน้าเขาก็ไม่เหลือแล้ว”
แม้นางจะพูดมีเหตุผล เมิ่งเสียนก็ยังไม่เห็นด้วย พูดว่า “เจ้าเข้าเมืองหลวงไปครั้งแรก จะให้พวกเขารู้สึกไม่ดีกับเจ้าไม่ได้ เชื่อพี่ใหญ่ ประคบยาให้เขาก่อน ให้อาการบวมช้ำทุเลาเร็วขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเอาไว้หมดแล้วว่าจะทำอะไร ได้ฟังก็พยักหน้าเออออ “ทราบแล้วพี่ใหญ่ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนมาทายาให้เขา”
เมิ่งเสียนเป็นปฏิกิริยาของนาง ก็รู้ว่านางไม่ใส่ใจคำพูดของตัวเอง กำลังจะพูดบางอย่าง ซุนเชี่ยนก็แอบดึงชายเสื้อเขา พูดว่า “น้องสาวรู้ว่าควรไม่ควรทำอะไร ท่านไม่ต้องพูดแล้ว อีกอย่าง อายุเพียงเท่านี้ก็กล้ามาสังหารคน สมควรได้รับการสั่งสอน น้องสาวไม่จับเขาไปมัดไว้ใต้ต้นไม้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
หวงฝู่อวี้ได้ฟัง ยิ่งห่อหดร่างตัวสั่น
เมิ่งเสียนกำลังจะเอ่ยปากพูด กัวเฟยก็เดินเข้ามา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอ่อนน้อม “นายท่าน ท่านผู้ว่าการมาถึงหมู่บ้านแล้วขอรับ”
“พาเขาตรงไปสนามฝึกยุทธ์ ข้าจะตามเข้าไป” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขา
กัวเฟยรับคำ หันหลังเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะไปสนามฝึกยุทธ์”
เมิ่งเสียนพยักหน้า “ไปเถอะ พวกเราจะกลับไปอยู่กับท่านพ่อท่านแม่”
ทั้งสามเดินออกมาพร้อมกัน
หวงฝู่อวี้เผยอปากคิดจะพูดบางอย่าง ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป นั่งตาละห้อยมองพวกเขาเดินออกไป
เพิ่งจะเปิดประตูศาลาว่าการ ผู้ว่าการตำบลก็ได้รับคำแจ้งความของกัวเฟย บอกทุกคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวแก่เขาอย่างไม่ตกหล่นสักคำ
ผู้ว่าการตำบลตะลึงงัน รีบตรงเข้ามาพร้อมกัวเฟยทันที กระทั่งเห็นชายชุดดำหลายสิบชีวิตถูกจับมัดในสนามฝึกยุทธ์ ก็ยิ่งให้ตะลึงลาน
ร้องถามเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เมื่อคืนคนทั้งหมดนี้บุกเข้าไปในบ้านเจ้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “แค่เพียงส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ คนที่เหลือคอยคุ้มกันนายของพวกเขาด้านนอก”
ผู้ว่าการตำบลถามอย่างไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเจ้าจับกุมพวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร?”
“ง่ายมากเจ้าค่ะ พอจับนายของพวกเขาได้ พวกเขาก็จะยอมให้จับแต่โดยดี” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
ผู้ว่าการตำบลกวาดตามองชายชุดดำทั้งหมด ไม่เห็นใครโดดเด่น ถามขึ้น “ใครเป็นนายของพวกเขา?”
“ข้านำตัวไปขังแยกไว้อีกที่เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
ผู้ว่าการตำบลสั่งการ “รีบไปพาตัวเขามา ข้าจะนำตัวกลับไปสอบสวนพร้อมกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เกรงว่าท่านใต้เท้าจะสอบสวนไม่ได้”
ผู้ว่าการตำบลขมวดคิ้ว “แม่นางเมิ่งหมายความว่าอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกัวเฟย “เอาแผ่นป้ายคล้องเอวของพวกเขามาให้ท่านใต้เท้าดู”
กัวเฟยรับคำสั่ง เดินไปตรงหน้าเฮ่ออี ควานหาแผ่นป้ายแล้วนำมามอบให้ผู้ว่าการตำบล
ผู้ว่าการตำบลรับมาอย่างไม่อินังขังขอบ กวาดตามองส่งๆ กระทั่งเห็นตัวอักษรที่สลักบนแผ่นป้าย ก็ตกใจเกือบล้มก้นจ่ำเป้า มือที่ถือแผ่นป้ายสั่นระริก พูดตะกุกตะกัก “แม่นางเมิ่ง นี่ๆ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “นายของพวกเขาคือคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี ดังนั้นข้าถึงพูดว่าท่านสอบสวนไม่ได้”
ผู้ว่าการตำบลได้ฟังเบิกตาโพลง พูดอะไรไม่ออกพักใหญ่
เฮ่ออีและคนอื่นๆ ลอบยินดี เห็นอาการของผู้ว่าการตำบลแล้ว อีกไม่นานก็คงสั่งให้ปล่อยตัวพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองพวกเขา ราวกับรู้ความนึกคิดของพวกเขา หันไปพูดกับผู้ว่าการตำบล “พรุ่งนี้ข้าจะกุมตัวคุณชายรองเข้าเมืองหลวง ไปฟ้องร้องอ๋องฉี คนที่เหลือพวกนี้ มอบให้ท่านใต้เท้าแล้ว ข้าไม่มีข้อเรียกร้องมาก ขอแค่ท่านขังพวกเขาไว้ในคุกสิบวันก็พอ”