และแล้วเหตุการณ์ที่ทำให้เฮ่ออีและคนอื่นๆ ต้องตกใจตาถลนก็เกิดขึ้น จู่ๆ หวงฝู่อวี้ก็ร้องไห้จ้าออกมา “ข้าไม่อยากถูกสัตว์ร้ายกิน ข้าจะกลับเมืองหลวง!”
เฮ่ออีและคนอื่นๆ พูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะพ่นหัวเราะออกมา “เป็นถึงคุณชายรองจวนอ๋องฉีกลับมีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ ไม่รู้ว่าควรดีใจแทนอี้เซวียน หรือว่าดีใจแทนอี้เซวียนดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนระงับความขบขัน สั่งการกัวเฟย “ปล่อยเขาซะ!”
กัวเฟยก็ฝืนกลั้นขำตัวสั่น ได้ยินดังนั้นก็โยนหวงฝู่อวี้ลงบนพื้น เบี่ยงศีรษะอมยิ้มขบขัน
พอหันกลับมาก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวปรายตาเ**้ยมมองเขา กัวเฟยเนื้อตัวหดเกร็ง รีบเก็บคืนรอยยิ้ม นายท่านอะไรก็ดี เสียแต่ทรมานคนได้อย่างสยดสยอง ใครทำความผิด ตกมาอยู่ในเงื้อมือนาง นางมีวิธีเป็นร้อยพันทรมานคนผู้นั้น ทำเอาองครักษ์อย่างพวกเขาต้องคอยเตือนตัวเอง อย่าได้เผลอกระทำความผิด
หวงฝู่อวี้ที่ถูกโยนลงบนพื้นเจ็บจนร้องไห้ลั่น “ข้าไม่อยากถูกโยนให้สัตว์ร้ายบนเขากิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขา “หุบปาก! ไม่เช่นนั้นจะจับเจ้าโยนทิ้งไว้บนเขาจริงๆ”
หวงฝู่อวี้หยุดร้องทันที ช้อนดวงตาเอ่อคลอมองนางอย่างน่าเวทนา
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ ถามขึ้น “ข้าถามเจ้า ตอนนี้อี้เซวียนสุขสบายดี?”
หวงฝู่อวี้สะอึกสะอื้นตอบ “เสด็จย่าและเสด็จลุงต่างรักใคร่เขา มักจะรับสั่งเรียกหาเขาเข้าวัง พระบิดาก็รักเขามาก”
“เช่นนั้นเจ้าได้ยินเขาพูดพระบิดาเจ้าตอนไหน ถึงได้รู้ว่าเขาไม่ยินยอมแต่งงานกับธิดาราชเลขาฝ่ายการทหาร?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
หวงฝู่อวี้ตอบตามความสัตย์จริง “ครึ่งเดือนก่อน พระบิดาหารือกับเขาเรื่องการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์ เขาไม่ตกลง พระบิดาโกรธมาก บอกว่าจะเข้าวังขอสมรสพระราชทานให้เขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “เช่นนั้นธิดาราชเลขาว่าอย่างไร?”
หวงฝู่อวี้ตอบทันควัน “เยียนเอ๋อร์เป็นคนจิตใจดีอ่อนโยน มีความรู้โคลงฉันท์กาพย์กลอน ทั้งงดงามอรชร เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งเมืองหลวง หากไม่เพราะได้หมั้นหมายกับพี่ใหญ่ไว้ตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่รู้ว่าจะถูกแม่สื่อเหยียบธรณีประตูบ้านพังไปกี่คนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม ถามเขา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแม่สื่อจะเหยียบธรณีประตูบ้านพวกเขาพัง?”
หวงฝู่อวี้สะดุ้งตกใจตัวสั่น ตอบทันควัน “ข้าได้ยินตอนที่พระบิดาโกรธ”
“พระบิดาเจ้ายังพูดสิ่งใดอีก?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
หวงฝู่อวี้หลบสายตา ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนลั่น “กัวเฟย!”
ไม่รอให้กัวเฟยขานรับ หวงฝู่อวี้ก็พูดขึ้นทันที “พระบิดายังพูดว่า เจ้าเป็นเพียงสาวบ้านนาชั้นต่ำ หาได้คู่ควรกับพี่ใหญ่ไม่ หากเขาปรารถนาจะได้เจ้า รอให้เสร็จงานมงคลสมรสของเขา ค่อยรับเจ้าเข้ามาเป็นนางสนมในจวน”
พูดจบ ก็ลอบช้อนสายตามองเมิ่งเชี่ยนโยว กริ่งเกรงว่าพอนางได้ฟัง จะโมโหให้คนจับตัวเองโยนขึ้นเขาอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับนั่งยืดตัวตรง เท้าคางขบคิด พยักหน้า พูดพึมพำ “ดูท่า ข้าสมควรเข้าเมืองหลวงไปหาเขาแล้ว”
หวงฝู่อวี้มองนางอย่างไม่เข้าใจ
กัวใจตกตะลึง “นายท่านจะเข้าเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่อย่างไร”
ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดนั้น อู๋ต้าและองครักษ์หลวงก็กุมตัวชายชุดดำที่เหลือเข้ามา
กัวเฟยเห็นพวกเขาหลายสิบคน ถามเมิ่งเชี่ยนโยว “นายท่าน จะจัดการพวกเขาอย่างไรขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง
หวงฝู่อวี้ตกใจร้องพูด “เจ้าจะฆ่าพวกเขาไม่ได้ พระบิดาให้องครักษ์ลับข้าไว้เพียงเท่านี้”
เฮ่ออีและคนอื่นๆ มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความหวาดผวา
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองชายชุดดำทั้งหมด สั่งการกัวเฟย “คืนนี้ให้พวกเขาอยู่ในสนามฝึกยุทธ์นี้ไปก่อน พอฟ้าสางให้เจ้าไปที่ว่าการตำบล บอกท่านผู้ว่าการว่าเมื่อคืนพวกเราถูกชายชุดดำล้อมสังหาร โชคดีที่พวกเราจับคนไว้ได้ ให้เขาเข้ามาจัดการ”
“ขอรับ นายท่าน” กัวเฟยรับคำ
พอได้ยินว่านางจะส่งพวกเขาให้ผู้ว่าการตำบล หวงฝู่อวี้และพวกเฮ่ออีต่างก็ถอนใจโล่งอก ในตัวพวกเขาต่างก็มีป้ายจวนอ๋องฉี คิดว่าผู้ว่าการตำบลเล็กๆ คนนี้คงไม่กล้าทำอะไรพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ มองพวกเขาอย่างเหยียดหยัน
ทุกคนถูกมองจนขนลุกชัน ต่างก้มหน้าก้มตา
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กำชับกัวเฟย “เจ้าให้คนคอยมาผลัดเปลี่ยนเวรยามที่นี่ ห้ามแก้มัดให้พวกเขา อีกอย่าง พาคุณชายรองไปที่เรือนของพวกเจ้า หากคนพวกนี้กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ให้ฆ่าเขาทันที”
ว่าแล้ว ก็เดินออกไปจากสนามฝึกยุทธ์
กัวเฟยสั่งให้คนคอยผลัดเปลี่ยนเวรยาม แล้วพาตัวหวงฝู่อวี้เดินตามหลังออกไป
พวกอู๋ต้าเดินรั้งท้าย
พวกเฮ่ออีทนมองดูหวงฝู่อวี้ถูกพวกเขาพาออกไปตาปริบๆ ไม่กล้าผลีผลาม
เหน็ดเหนื่อยกันมาค่อนคืน ในที่สุดฟ้าก็เริ่มสาง
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องตื่นเช้ามาฝึกยุทธ์อีก
ทุกคนขานรับด้วยความยินดี กลับไปที่เรือนตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูลานเรือนเบาๆ ไม่พบว่ามีความเคลื่อนไหวใด จึงค่อยๆ ย่องกลับเข้าห้องตัวเอง
ถอดเสื้อผ้าแล้วเอนตัวนอนบนเตียงเตา ตั้งใจคิดทบทวนคำพูดของหวงฝู่อวี้ ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ แล้วอ้าปากหาว เข้าสู่ห้วงนิทรา
ฟ้าสว่างจ้าแล้ว เมิ่งชื่อตื่นมาทำกับข้าว พบว่าประตูห้องเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่เปิดออกเหมือนเคย ให้ประหลาดใจ เดินมาหน้าประตูห้อง ค่อยๆ แง้มบานประตูออก เห็นนางนอนหลับสนิทบนเตียงเตาด้วยสีหน้าปกติ คิดว่าเมื่อวานนางคงจัดการเรื่องจนเหนื่อย จึงไม่คิดอะไรมาก ค่อยๆ งับบานประตูลง เดินมาทำกับข้าวในครัว
เมื่อวานซุนเชี่ยนก็นอนไม่เต็มอิ่ม วันนี้จึงนอนต่ออีกหน่อย ตอนที่ลืมตาเห็นท้องฟ้าสว่างจ้า ตกใจลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า พาสาวใช้เร่งรุดมาที่ครัว
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จหมดแล้ว เห็นพวกเขาสามคนเหมือนเพิ่งตื่นนอน ถามด้วยความประหลาดใจ “เช้าวันนี้พวกเจ้าต่างเป็นอะไร? จนถึงตอนนี้โยวเอ๋อร์ยังไม่ตื่น พวกเจ้าสามคนก็เหมือนเพิ่งจะตื่นนอน”
เมิ่งเสียนกำชับไว้แล้วว่าห้ามบอกเรื่องเมื่อคืนกับเมิ่งชื่อ ซุนเชี่ยนจึงยิ้มตอบว่า “สองวันมานี้โรงงานค่อนข้างยุ่ง เหนื่อยล้าสะสม ทำให้ตื่นสายเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อพูดด้วยความห่วงใย “หากเจ้าเหนื่อย ก็พักสักวันเถอะ เรื่องในโรงงานให้เสียนเอ๋อร์ไปจัดการ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่” ซุนเชี่ยนยกยิ้มขานรับ
แม่สามีลูกสะใภ้พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวที่แต่งตัวเสร็จ ก็เดินตรงมายังครัว ถามอย่างใคร่รู้ “ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกท่านคุยอะไรกัน ดูมีความสุขนัก”
เมิ่งชื่อตอบว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กำลังเล่าเรื่องในโรงงานให้แม่ฟัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งชื่อพูดกับนาง “เจ้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ พวกเราจะได้กินข้าวกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเดินเข้ามาในครัว ยิ้มตาหยีพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน แต่ท่านห้ามตื่นเต้นตกใจนะ”
“เรื่องอะไร?” เมิ่งชื่อเงยหน้าถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเรียบๆ “เมื่อคืนวานมีโจรขึ้นบ้านพวกเรา ข้าและกัวเฟยจับพวกเขาไว้ได้”
เมิ่งชื่อผงะอึ้ง แล้วเดินเข้าไปพินิจดูนางโดยรอบ ร้อนรนถาม “เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บหรอกนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหมุนเบื้องหน้านางหนึ่งรอบ พูดว่า “ข้าไม่ได้ลงมือ พวกกัวเฟยจับกุมพวกเขาได้อย่างไม่ต้องเหนื่อยแรง”
เมิ่งชื่อมองนางด้วยความกังขา
เมิ่งเชี่ยนโยวให้นางพินิจมองเต็มที่
เมิ่งชื่อไม่เห็นว่านางมีอะไรผิดปกติ จึงเชื่อในคำพูดนาง วางใจแล้วพูดว่า “ต่อไปหากมีเรื่องเช่นนี้ ก็ให้พวกกัวเฟยจัดการ แม่ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
สี่ปีก่อนที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บ ต้องนอนบนเตียงเตาถึงสามเดือนเต็ม ทำเอาเมิ่งชื่อขวัญหนีดีฝ่อ นับแต่นั้นมา เมิ่งชื่อไม่ยอมให้นางเดินทางไกลอีก ต่อให้ต้องไปเจรจาการค้าก็ไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งชื่อเป็นห่วงตัวเอง โอบไหล่นางพูดโอ้โลม “ข้ารู้ว่าท่านแม่เป็นห่วงข้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ลงมือเลย ท่านวางใจเถอะ”
เมิ่งชื่อตบมือนางเบาๆ พูดว่า “ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ แล้วเรียกเจี๋ยเอ๋อร์มากินข้าวด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวคลายมือออก เดินมากลางลานเรือนตะโกนเรียก “เจี๋ยเอ๋อร์กินข้าวได้แล้ว”
เมิ่งเจี๋ยส่งเสียงขานรับออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเข้ามาล้างหน้าในห้อง
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ได้ยินเสียงตะโกนของนาง เดินออกมาจากในบ้าน
ซุนเชี่ยนสั่งสาวใช้ไปตามเมิ่งเสียนและเมิ่งเส้ามา
กระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวล้างหน้าเสร็จ กลับเข้ามาในครัว คนก็มารอนางพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ยังไม่กินข้าว แต่หันไปยิ้มตาหยีแล้วพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นกับเมิ่งชื่อว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะบอกพวกท่าน”
เมิ่งชื่อพูดว่า “เมื่อครู่แม่บอกเรื่องที่เมื่อคืนมีคนโจรขึ้นบ้านพวกเรากับพ่อเจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงฉีกยิ้มพูดว่า “ข้าไม่ได้จะบอกพวกท่านเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อเห็นปฏิกิริยานางไม่เหมือนเป็นเรื่องใหญ่อะไร จึงหยิบตะเกียบในมือแจกจ่ายให้ทุกคน แล้วถามไปด้วยว่า “เช่นนั้นเป็นเรื่องอันใดเล่า?”
“ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะเข้าเมืองหลวงไปหาอี้เซวียน”