บทที่ 197 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 15)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

* * *

“วันนี้ไม่สามารถเข้าพบพระชายาได้ค่ะ”

“อะไรนะ ทำไมล่ะ! ฉันนัดเอาไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่ แล้วฉันก็บอกไปแล้วด้วยว่าจะมาวันนี้น่ะ…!”

ขุนนางที่ยืนรอคิวอยู่หน้าห้องรับรองมาพักใหญ่พูดด้วยความตกใจกับคำพูดอันเด็ดขาดของแอนนี่

เมื่อเธอตรวจดูรายชื่อที่ถืออยู่ ก็มีชื่อของเขาถูกลงไว้อย่างที่เขาพูดจริงๆ

แอนนี่ถึงได้รู้ตัวว่าชื่อของเขาตกหล่นด้วยความผิดพลาดของเธอ เธอจึงเม้มปากแน่นและกลอกตาไปมา

ทำอย่างไรดี ทั้งที่ฉันควรจะจัดการมันตามที่ได้รับคำสั่งมาแท้ๆ แต่ตอนนี้การเข้าเฝ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว

อาเรียอุตส่าห์เชื่อใจและมอบหมายหน้าที่นี้ให้แท้ๆ แต่ถึงจะกังวลไป สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้น

เรียกขุนนางมาใหม่ครั้งหน้าแล้วกัน เรื่องนั้นเป็นไปได้เพราะเธอมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งที่เรียกว่าพระชายา

แอนนี่ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นัดไว้แล้วจริงหรือคะ แปลกจังค่ะ ไม่น่าจะใช่นะคะ… ทำไมถึงไม่มีชื่อของท่านลงไว้ล่ะคะ”

“นั่นมัน…!”

เรื่องเหลวไหลอะไรกัน! เขามาที่วังด้วยตัวเอง ลงชื่อจอง และได้รับแม้กระทั่งการยืนยันแล้วด้วยซ้ำ ถึงได้มายืนอยู่หน้าห้องรับรองแบบนี้ได้ไม่ใช่หรือไง!

ขุนนางมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ แอนนี่จึงเอียงหัวและแสร้งทำเป็นตรวจดูรายชื่ออีกครั้ง ทว่าเมื่อเธอส่ายหัวปฏิเสธไป ใบหน้าของขุนนางก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที

“ได้โปรดเช็กดูอีกครั้งเถอะ! ฉันมั่นใจว่าพระชายาท่านต้องอยากพบฉันแน่ๆ!”

“…”

ขุนนางตื๊อแอนนี่อย่างร้อนรนขอให้เธอตรวจดูอีกครั้งหนึ่ง

แอนนี่ทำหน้าพะว้าพะวัง

เพราะการต้อนรับอย่างเย็นชาเช่นนี้กับคนที่เฝ้ารอมาหนึ่งอาทิตย์และในที่สุดก็ถึงคิวของตัวเองนั้นมันช่างไร้หัวใจเหลือเกิน

เธอตั้งใจจะไม่คิดมากกับสีหน้าท่าทางของขุนนางและพยายามปล่อยมันผ่านไปเฉยๆ แต่เขาดูสิ้นหวังมากเสียจนแอนนี่ต้องเข้าไปในห้องรับรองและยอมรับว่าเธอทำผิดจริงๆ อย่างช่วยไม่ได้

“คือ… พระชายาคะ ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาให้สัก 10 นาทีไหมคะ”

แอนนี่ถามอาเรียด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ทันทีที่ปิดประตูลง อาเรียที่กำลังจะออกจากห้องรับรองหลับตาลงเมื่อได้ยินคำถามอันคุ้นเคยนั้น

“ใครหรือ”

เพราะแอนนี่ไม่ได้พลาดทำรายชื่อแขกผู้มาเยี่ยมตกหล่นเพียงแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น

แอนนี่มักจะทำพลาดบ่อยๆ ด้วยนิสัยใจร้อนของเธอ ระดับที่ว่าถ้าไม่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันตอนที่อยู่คฤหาสน์เคานต์โรสเซนต์ เธอก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง

ทั้งที่เธอมอบหมายหน้าที่นี้ให้แอนนี่ด้วยความไว้ใจอย่างมากในความสามารถของเธอที่จะเข้าใจและจัดการกับผู้คนได้อย่างเหมาะสมในเวลาอันสั้น ถึงแม้แอนนี่ทำพลาดบ่อย แต่เธอจะจัดการกับความผิดพลาดเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี อาเรียจึงคิดว่าเธอควรจะให้แอนนี่อยู่ติดกับคนที่ละเอียดและพิถีพิถันสักคนในไม่ช้า และเมื่ออาเรียถามชื่อของเขาเหมือนกับเป็นการอนุญาต แอนนี่จึงรีบตอบทันทีทันควัน

“ไวเคานต์สตรอว์ค่ะ”

“ไวเคานต์สตรอว์หรือ”

“ค่ะ  เหมือนเขาจะมีเรื่องสำคัญต้องคุยด้วยค่ะ”

ในบรรดาแขกที่มาเข้าพบอาเรียนั้นไม่เคยมีกรณีไหนที่แขกไม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ ทุกคนต่างมาเข้าพบเธอด้วยเรื่องสำคัญเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น

แอนนี่คิดว่าคราวนี้ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน เพราะจนถึงตอนนี้แม้เธอจะทำพลาดไปคนสองคน แต่มันเป็นเรื่องปกติที่เธอจะให้พวกเขาเหล่านั้นมาเข้าพบเธออย่างใจกว้าง แต่คำตอบที่ได้รับจากอาเรียนั้นกลับเป็นคำปฏิเสธอย่างที่เธอไม่คาดคิด

“ปฏิเสธไปซะ”

“คะ…!”

“บอกให้ไปบอกว่าฉันจะไม่พบเขาไง”

“…!”

ทำไมล่ะ แอนนี่อ้าปากกว้างด้วยความที่จู่ๆ เธอก็ตกที่นั่งลำบากเข้าให้เสียแล้ว เจสซี่ที่ยืนอยู่หลังอาเรียเองก็เบิกตาโพลง ไม่สามารถปกปิดความสงสัยใคร่รู้ของเธอไว้ได้

แอนนี่คิดว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่ๆ จึงถามเหตุผลกับอาเรียอย่างอย่างระมัดระวัง

“เอ่อ คือว่า… ขอโทษนะคะ แต่ขอถามเหตุผลได้ไหมคะว่าทำไม”

“เขาเป็นคนของพรรคขุนนางที่เหลือรอดจากการถูกจับไม่ใช่หรือ เขามีความสัมพันธ์อันดีกับเคานต์โรสเซนต์คนก่อน เขาเลี่ยงบทลงโทษมาได้อย่างโชคช่วยล่ะนะ”

เขาคือคนที่มาพบเคานต์โรสเซนต์คนก่อนบ่อยๆ ด้วยเรื่องธุรกิจ อาเรียจำได้ว่าเธอเคยเห็นเขามาเยี่ยมที่คฤหาสน์อยู่หลายครั้ง

ในตอนนั้นเองหลังจากที่อาเรียอธิบาย แอนนี่ก็พูดออกมาเสียงดังพร้อมกับปรบมือราวกับนึกออกว่าเคยเห็นเขาที่คฤหาสน์ตั้งหลายครั้ง

“ตายแล้ว! ฉันจำได้แล้วค่ะ! แต่ทำไมเขาถึงได้ดูแก่ขนาดนั้นนะ ทั้งที่เวลาผ่านไปอย่างมากก็น่าจะแค่ปีเดียวเท่านั้นนี่…!

แอนนี่พูดเอะอะว่าจำเขาแทบไม่ได้ เพราะใบหน้าของเขาดูราวกับแก่ขึ้น 10 ปี

คงจะเป็นเพราะเขาผ่านความลำบากมามากในช่วงที่ผ่านมา เขาต้องคอยหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ เจสซี่เองก็พูดเสียงดังขึ้นมาราวกับว่าเธอนึกออกแล้ว

“พอนึกดูดีๆ ดิฉันก็จำได้แล้วค่ะ! ตายจริง ทำไมเขาถึงยังอยู่ในเมืองหลวงได้อีกกันคะ ดิฉันคิดว่าเขาโดนลงโทษไปแล้วเสียอีก…”

“นั่นน่ะสิ  ทำไมถึงยังไม่ถูกจับไปลงโทษอีกล่ะคะ”

“ไม่รู้สิ สงสัยโทษเขาคงจะเบาล่ะมั้ง หรือบางทีมันอาจเป็นแค่ความสัมพันธ์เพื่อรักษาการติดต่อทางธุรกิจก็ได้…”

ถ้าคิดจากที่จำเรื่องของเขาได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว ก็มีความเป็นได้สูงที่เขาเกี่ยวข้องกับเรื่องระดับที่ไม่ค่อยสำคัญนัก อาจจะด้วยเหตุนั้นเขาก็เลยสามารถหลบหนีบทลงโทษออกมาได้

แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไม่พบเขา อาเรียจึงบอกให้แอนนี่ออกไปทันที

“อ้อ แล้วก็ต่อจากนี้เธอจัดการกับเรื่องแบบนี้ไปเลยนะ ถ้าเธอไม่ได้ทำพลาดอะไรมากมาย ก็ไม่ต้องรายงานฉันก็ได้”

มันก็เป็นอย่างมากแค่ลำดับการเข้าพบ งานนี้เป็นแค่งานแบบที่ด้วยระดับแอนนี่แล้ว จะจัดการแก้ไขลำดับอย่างไรก็ได้ อาเรียไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป ถึงจะเกิดความผิดพลาดขึ้นบ่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงอะไรถึงขนาดนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากอาเรียตัดสินใจที่จะไม่เล่นเป็นพระชายาผู้จิตใจดีมีเมตตาอีกต่อไปแล้ว เธอจึงคิดว่ามันคงจะไม่เป็นไรนักที่แอนนี่จะทำงานผิดพลาด แล้วไปทำให้ขุนนางหรือบรรดาแขกที่มาเข้าเยี่ยมอารมณ์เสีย

“แต่อย่าทำอะไรที่ขัดกับกฎหมายแล้วกัน ทำตัวให้อยู่ในขอบเขตที่ฉันพอจะช่วยได้ล่ะ”

แอนนี่รีบพยักหน้าทันควันกับคำพูดนั้นของเธอ อีกความหมายหนึ่งก็คือเธอจะช่วยหากเป็นการทำผิดกฎเล็กๆ น้อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้ฟัง

“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ! ดิฉันจะจัดการให้เป็นอย่างดีเลยค่ะ รวมถึงเรื่องของไวเคานต์สตรอว์ด้วยค่ะ!”

แอนนี่ตอบอย่างแข็งขัน ก่อนจะออกจากห้องรับรองไปทันที หลังจากนั้นไวเคานต์ที่รอแอนนี่อยู่ก็รีบวิ่งเข้ามาหาเธอทันทีและถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง

แอนนี่กอดอกและส่ายหัว

“เหมือนว่าอย่างไรก็คงไม่ได้น่ะค่ะ”

“ทำไมล่ะ!”

“เรื่องนั้นท่านไวเคานต์น่าจะรู้ดีกว่าดิฉันนะคะ”

“…ว่าไงนะ!”

แววตาของแอนนี่ดูเย็นชาเสียเหลือเกิน แววตาที่ถามว่านายไม่รู้ความผิดบาปของตัวเองหรืออย่างไรกัน

ทว่าไวเคานต์สตรอว์ก็ยังคงมีท่าทีไม่เข้าใจต่อไป แอนนี่จึงต้องอธิบายเหตุผลเพิ่มเติม

“แม้สถานที่จะต่างกัน แต่ในอดีตท่านก็ได้เห็นพระชายามาหลายครั้งแล้ว คงจะไม่จำเป็นต้องถึงขนาดเข้าพบหรอกค่ะ “

“…!”

คำพูดนั้นทำให้ไวเคานต์สตรอว์ตาโตจนแทบจะถลนออกมา

“ระ เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องในอดีตไม่ใช่หรือ! ฉันทำอย่างมากก็แค่ช่วยติดต่อธุรกิจเท่านั้นเอง มีขุนนางที่ไหนไม่ทำธุรกิจกับท่านเคานต์โรสเซนต์บ้างล่ะ! แถมอีกอย่าง อย่างที่เธอเห็นว่าฉันไม่ได้ถูกลงโทษด้วยนะ…!”

“ท่านคงไม่คิดหรอกใช่ไหมคะว่าท่านจะได้รับการให้อภัยเพียงเพราะไม่ได้รับบทลงโทษ พระชายาไม่ต้องการพบปะกับพวกคนที่ข้องเกี่ยวกับเรื่องเลวร้ายในอดีตค่ะ ฉะนั้นได้โปรดกลับไปอย่างเงียบๆ เถอะค่ะ”

“…!”

ไวเคานต์สตรอว์ที่กล่าวด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าล้มลงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบอันเด็ดขาดของแอนนี่ที่ไม่มีเค้าลางว่าจะยอมอ่อนข้อให้

เขาคงคิดว่ามันคงจะไม่เป็นไรในเมื่อเขาไม่ได้รับบทลงโทษ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับแม้กระทั่งคำอนุญาตแล้วแท้ๆ

ในขณะที่ไวเคานต์สตรอว์ยืนไร้สติอยู่อย่างหมดหวัง แอนนี่ก็เดินผ่านข้างๆ เขาและพูดออกมาคำหนึ่ง

“คอแห้งจังนะ ถ้ามีคนเอาน้ำมาให้ก็คงจะดี แต่ทุกคนไม่ว่างกันหมดเลย จะสั่งใครก็ไม่ได้ซะด้วย”

“…!””

มันไม่ต่างอะไรกับเสียงที่พูดให้เขาฟัง ด้วยเหตุนี้แววตาของไวเคานต์สตรอว์จึงสั่นอย่างไร้ความปรานี เขาดูเหมือนจะรู้สึกขัดแย้งกันภายในใจ เพราะเขาต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีของขุนนางไป

ทว่าสุดท้าย

“…เดี๋ยว รอเดี๋ยวก่อน”

ไวเคานต์สตรอว์ยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปและรีบออกไปหน้าห้องรับรอง ฝีเท้าของเขาเร็วมากอย่างไม่สมกับเป็นขุนนาง

ริมฝีปากของแอนนี่ที่คอยเฝ้าดูอยู่อย่างเหม่อลอยค่อยๆ ยกตัวขึ้น ราวกับไม่คิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เรียกว่าขุนนางนั้นจะล่อลวงได้ง่ายเช่นนี้

ใช้เวลาไม่นานนัก ไวเคานต์สตรอว์ก็นำน้ำเย็นๆ มาเสิร์ฟให้แอนนี่

* * *

“เป็นอัญมณีที่ดูล้ำค่ากว่าที่คิดไว้อีกนะคะนี่”

อาเรียสัมผัสและมองดูอัญมณีที่เจ้าของร้านอัญมณีนำมาและพูดพร้อมยิ้มอย่างพึงพอใจ

อัญมณีนั้นงดงามและล้ำค่าอย่างที่หาดูได้ยากจริงๆ อัญมณีที่มีสีฟ้าอมเขียวเป็นหลักที่ถูกขุดขึ้นมาจากท้องทะเลนั้นดึงดูดสายตาของเธอ แม้จะมีสีเหลืองและสีแดงเข้มปนอยู่ด้วย แต่สีที่งดงามที่สุดในนั้นก็คือสีฟ้าน้ำทะเลที่ดูคล้ายกับนัยน์ตาของอาซ

เมื่อเธอมองพิจารณาดูมันเป็นเวลานาน รอยยิ้มอันพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าของร้านอัญมณี

“ใช้ประกอบอาหารได้ด้วยใช่ไหมคะ”

“ใช่แล้วครับ มันไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เว้นก็เสียแต่ว่าจะรับประทานในปริมาณมากต่อครั้งครับ”

“ถ้าไม่รับประทานในปริมาณมาก… อย่างนั้นสินะ”

อาเรียคิดหนักกับเรื่องนี้ มันมีราคาสูงและมันคงจะมีไม่พอสำหรับรับประทานในปริมาณมากก็จริง แต่ถ้าเกิดมีใครสักคนบริโภคในปริมาณมากขึ้นมา ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงความรับผิดชอบ

“ถ้ารับประทานในปริมาณมากเข้าไปล่ะคะ”

“ยังไม่ได้รับการยืนยันอะไรครับ”

“ถ้าอย่างนั้นช่วยกำหนดมาตรฐานให้ชัดเจนด้วยนะคะ หากเกิดความเสียหายขึ้นมา ฉันเองก็คงปัดเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้น่ะค่ะ”

“เข้าใจแล้วครับ”

“แล้วคุณตั้งใจจะขายในท้องตลาดเท่าไหร่คะ ราคาล่ะคะ”

“กระผมตั้งใจจะขายแค่ปริมาณน้อยในราคาสูงครับ มันเป็นของพรีเมียมตามชื่อใช่ไหมล่ะครับ”

“อย่างนั้นสินะคะ”

มันเป็นสิ่งที่น่าพึงปรารถนา เพราะเมื่อเขาปล่อยออกสู่ท้องตลาดปริมาณน้อยในราคาสูง ราคาก็จะค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ และมูลค่าของมันก็จะเพิ่มขึ้น และทุกคนก็จะเกิดความอยากครอบครองมัน

“ฉะนั้นผมก็เลยหวังว่าพระชายาจะช่วยกระผมเล็กน้อย เพื่อให้กระผมสามารถทำกำไรได้มากขึ้นๆ ไปอีกครับ”

“ฉันหรือคะ ช่วยอะไรคะ”

อาเรียถามกลับทั้งที่รู้ว่าเขาจะขอร้องอะไรเธอ

“กระผมจะขอมอบอัญมณีทั้งหมดที่ผมจะนำเข้ามาต่อจากนี้ให้เป็นของขวัญแก่พระชายาก่อนเป็นคนแรก และกระผมหวังว่าพระชายาจะใช้ของเหล่านั้นครับ”

จะมีใครหน้าไหนมองเห็นประสิทธิผลของการโฆษณาได้เท่าพระชายาอีกล่ะ อาเรียตอบพร้อมกับยกมุมปากขึ้นเมื่อเขาร้องขอให้ช่วยโฆษณาแลกกับการที่เขาเสนอยกอัญมณีให้

“30 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย”

“…ครับ”

“ช่วยบริจาค 30 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายในนามของฉันทีค่ะ”

“บริจาค… หรือครับ ไปไหนครับ…”

“สิ่งที่ฉันจะสร้างต่อจากนี้ค่ะ”

เมื่อเจ้าของร้านอัญมณีถูกบอกให้บริจาคถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เขาก็ปิดปากและตกอยู่ในความกลุ้มใจ สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขากำลังคำนวณว่าเขาจะเห็นประสิทธิผลได้มากขนาดนั้นอย่างที่คิดหรือเปล่า

อาเรียพูดต่อด้วยใบหน้าที่รู้สึกว่าเขาช่างโง่เขลานัก

“ฉันรู้อยู่แล้วนะคะว่าคุณทำกำไรไปมากกว่าครึ่งแล้ว ฉะนั้นคุณอย่าแสร้งทำเป็นกลุ้มใจแบบนั้นเลยค่ะ”

เจ้าของร้านอัญมณีอมยิ้มเป็นการบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงเขาทำกำไรได้เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว

ถ้าเขาใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของอาเรีย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้กำไรเกิด 60 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว จึงถือว่าเป็นการเจรจาที่ไม่เลวนัก

ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นหญิงที่มีชื่อเสียงในต่างทวีปนอกอาณาจักร จึงเป็นไปได้ที่เขาจะได้รับกำไรคืนเท่ากับยอดที่บริจาคไป

“ทราบแล้วครับ  กระผมจะทำเช่นนั้นครับ”

“ช่วยเอาหนังสือสัญญามาในครั้งต่อไปที่มาพบด้วยนะคะ แล้วก็กรอกทุกอย่างตามที่ฉันบอกไปนะคะ”

“ครับ ผมจะมาพบพระชายาหลังจากจัดทำเอกสารเสร็จในเร็วๆ นี้ครับ แต่พระชายาจะสร้างอะไรหรือครับ ถึงได้บอกให้กระผมบริจาคเงินจำนวนมากขนาดนั้น”

เพชรพลอยที่วางขายอยู่ในร้านอัญมณีนั้นมาพร้อมกับการเจียระไนของช่างฝีมือ และราคาของมันก็สูงเกินกว่าจะบรรยาย ด้วยเหตุนี้ 30 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายจึงเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลอย่างไม่ผิดแน่

เธอจะเอาเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นไปใช้สร้างอะไรกันนะ เมื่อเห็นสีหน้าของชายผู้นั้นดูเหมือนจะจินตนาการอะไรอันตรายๆ อยู่ อาเรียก็ตอบพร้อมรอยยิ้มที่บอกว่าเขาช่างโง่เขลานัก

“ไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันไม่ยอมให้สร้างอะไรที่เป็นอันตรายเอาไว้ข้างๆ ฉันหรอกค่ะ มันเป็นสิ่งที่อย่างมากที่สุดก็แค่ช่วยรักษาตำแหน่งของฉันตอนนี้ให้มีความมั่นคงค่ะ”

สิ่งที่สนองต่อความคาดหวังของผู้คนทั้งหลาย

นั่นคือสิ่งที่อาเรียเลือกเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้

………………..