“บ้าแล้ว บ้าไปหมดแล้ว ทำไมข้าจึงมิสามารถที่จะตามทันนังนั่นได้ ข้าควรจะมีพลังเทียบเท่ากับคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณในตอนนี้ แต่ข้าก็มิสามารถที่จะจับคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณได้” เหมาอี้จวินร่ำร้องในใจในขณะที่เขาไล่ตามหงอวี้เอ๋อร์ไปรอบๆเวทีอย่างต่อเนื่องราวกับว่านี่เป็นเกมแมวจับหนู
“หรือว่าพี่สาวอวี้เอ๋อร์พยายามที่จะถ่วงเวลาและปล่อยให้ยานั่นฆ่าเขา” ซูหยินอุทานดังลั่น
“มิเพียงเท่านั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายตาย เธอก็จักมิถูกกล่าวหาถึงการตายของอีกฝ่าย ในเมื่อพวกเราทุกคนได้เป็นพยานว่าเธอไม่ได้แตะต้องอีกฝ่ายแม้แต่น้อย” เขากล่าว
“มันต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ที่เจ้าคิดก่อนที่ยานั่นจะพรากชีวิตของศิษย์คนนั้น” โหลวหลานจีถามเขา
ซูหยางหรี่ตามองไปที่เหมาอี้จวินชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวว่า “ดวงตาของเขาแดงก่ำไปหมดแล้ ข้าจักให้เวลาเขาสิบนาทีก่อนที่ชีวิตของเขาจะหมดไป แน่นอนว่านั่นเฉพาะสำหรับถ้าพวกเขาเพียงแค่วิ่งไปมา ถ้าศิษย์คนนั้นเริ่มใช้วิชา มันก็จะสั้นลงไปมากกว่านั้น”
และก็เป็นเช่นนั้นจริง หลังจากที่วิ่งไปรอบๆอีกประมาณห้านาที เหมาอี้จวินก็สังเกตเห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากจมูกของตนเอง เขาจึงหยุดไล่ตามหงอวี้เอ๋อร์ไปชั่วครู่
“เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่” รู้ว่าตนเองไม่อาจจะจับหงอวี้เอ๋อร์ได้ เหมาอี้จวินก็จึงตะโกนใส่เธออย่างสิ้นหวัง “หรือว่าเจ้าจะคอยหลีกหนีข้าเหมือนแมลง สำนักเมฆม่วงมีระดับแค่นี้รึ”
“เจ้ากำลังพยายามที่จะหลอกเด็กด้วยคำพูดเหล่านั้นรึ”
หงอวี้เอ๋อร์ไม่ตกลงไปในคำยั่วยุของอีกฝ่ายและยังคงรักษาระยะห่างจากอีกฝ่ายระดับหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
“เจ้าอยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณในตอนนี้ในขณะที่ข้าเพียงแค่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ มีแต่เพียงคนโง่ที่ต้องการตายแต่เนิ่นๆเท่านั้นที่จะเข้าไปสู้กับเจ้าในช่วงเวลาที่เงื่อนไขไม่เหมาะสมเช่นนั้น”
“เช่นนั้นอย่ากล่าวโทษข้าถ้าข้าฆ่าเจ้าไปโดยมิตั้งใจ” เหมาอี้จวินคำรามขณะที่ร่างกายของเขาพลันระเบิดพลังปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลออกมา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ชม
“ท่านพ่อ นี่คือ…” ซีซิงฟางหันไปมองเจ้าซี ซึ่งจ้องมองไปยังเหมาอี้จวินพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มีบางอย่างมิถูกต้อง เห็นชัดว่าเขาอยู่เพียงแค่ระดับแรกของเขตปฐพีวิญญาณ แต่ว่าเขาสำแดงพลังที่เหนือกว่านั้นไปมาก”
ซีซิงฟางพยักหน้าและกล่าวว่า “สี่… ไม่ใช่ นั่นควรจะเปรียบได้กับระดับห้าในตอนนี้”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เธอก็ถามเขาว่า “ท่านจะไปหยุดการต่อสู้หรือไม่”
เขาส่ายหน้า “ไม่ ข้าต้องการเห็นว่านิกายล้านอสรพิษต้องการทำอะไรกันแน่”
“แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา…” ซีซิงฟางแสดงท่าทางเป็นกังวล แม้ว่าเธออาจจะไม่ชอบหงอวี้เอ๋อร์นัก แต่เธอก็ยังไม่ต้องการให้คู่หมั้นของซูหยางตายต่อหน้าพวกเขา
“อย่ากังวล ข้ากำลังดูอยู่อย่างใกล้ชิด ถ้าข้ารู้สึกถึงสัญญาณว่าเธออยู่ในอันตรายแม้แต่น้อยนิด ข้าจักปกป้องเธอด้วยตนเอง” เจ้าซีกล่าว
ต่อให้เขาไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เขาก็มั่นใจว่าซูหยางย่อมไม่ปล่อยให้คู่หมั้นของตนเองตายต่อหน้า
“ดูซิว่าเจ้าจะหลบการโจมตีพวกนี้พ้นหรือไม่” เหมาอี้จวินตะโกน
“พันงูจู่โจม”
“งูม่วงบิน”
เหมาอี้จวินโหมใช้วิชาต่างๆอย่างต่อเนื่องเข้าใส่หงอวี้เอ๋อร์ หวังว่ามันจะโดนตัวเธอ แต่อนิจจาหงอวี้เอ๋อร์หลบทุกวิชาของเขาอย่างงดงามง่ายดาย
“นี่คือทั้งหมดที่นิกายล้านอสรพิษมีรึ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่พวกเจ้าสามารถขึ้นไปเป็นสำนักระดับสูงได้จากฝีมือเพียงแค่นี้” หงอวี้เอ๋อร์เย้ยเขาอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่เป็นไปได้อย่างไร การโจมตีของข้าทุกอย่างมิสัมผัสตัวเธอแม้แต่น้อย ข้าต้องใช้พลังมากกว่านี้”
เมื่อคิดเช่นนั้น เหมาอี้จวินก็ยิ่งปลดปล่อยปราณไร้ลักษณ์ยิ่งกว่าเดิม
“แค่ก”
อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พลันไอออกมาเป็นเลือด และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เลือดก็ไหลออกจากหูของเขาเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าเวลาของเจ้าใกล้จะหมดลงแล้ว” หงอวี้เอ๋อร์หยุดเคลื่อนที่หลังจากที่สังเกตเห็นสภาพของเหมาอี้จวิน
“เจ้าทำอะไรกับข้า” เหมาอี้จวินมองดูเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ เขามั่นใจว่าหงอวี้เอ๋อร์ต้องทำอะไรสักอย่างกับร่างกายของเขาโดยที่เขาไม่รู้
“ข้ารึ ข้ามิได้ทำอะไรกับเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าทำเช่นนี้ด้วยตัวเจ้าเอง”
“ไร้สาระ”
“ยาปีศาจเสริมพลัง ยาที่เจ้าได้รับเข้าไปก่อนที่การต่อสู้ของพวกเราเริ่มต้น มันจักเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเจ้าอย่างเห็นได้ชัดช่วงเวลาสั้นๆแต่ในเวลาเดียวกันก็จะทำให้ร่างกายเจ้าติดพิษ หลังจากที่กินยาชะตาของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตาย”
“จ-เจ้าโกหก ทำไมผู้นำนิกายของข้าจักต้องป้อนพิษให้กับข้าด้วย” เหมาอี้จวินปฏิเสธที่จะเชื่อคำของเธอที่ว่าผู้นำนิกายของตนเองจะทำร้ายเขา
“ทำไมข้าจะต้องโกหกเจ้า มิมีเหตุผลที่ข้าจักต้องทำเช่นนั้น ตามจริงข้าสามารถรู้สึกได้ถึงพิษชนิดอื่นในร่างของเจ้านอกจากยาปีศาจเสริมพลัง ถ้าข้าจำมิผิดมันควรจะเป็นพิษเปลี่ยนวิญญาณ”
หงอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “ถ้าลำพังเพียงเจ้าหยุดหลังจากกลืนพิษเปลี่ยนวิญญาณไปแล้ว เจ้าก็คงมิต้องถึงกับเสียชีวิต และสูญเสียเพียงอนาคตในฐานะของผู้ฝึกยุทธ แต่ตอนนี้กระทั่งเซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
เหมาอี้จวินหันไปมองฟูกวางด้วยสีหน้าเสียใจ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากถาม ร่างของเขาก็เริ่มล้มลง สิ้นชีวิตไปก่อนที่จะสัมผัสพื้น
การที่เหมาอี้จวินพลันล้มลงไปกับพื้นนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับคนจำนวนมาก และซื่อตงก็รีบตะโกนขึ้นมา “หมอ”
ต่อจากนั้นหลังจากที่ตรวจสอบชีพจรเหมาอี้จวินแล้ว หมอก็พูดพร้อมกับส่ายหน้าว่า “ตันเถียนของเขาแตกสลายและว่างเปล่าเหมือนกับบ่อน้ำแห้ง และเส้นชีพจรของเขาล้วนขาดสะบั้น โชคร้าย เขาสิ้นชีวิตแล้ว”
“อะไรกัน”
ไม่เพียงแต่ผู้ชมแต่กระทั่งฟูกวางเองก็ตื่นตระหนกไปกับความตายของเหมาอี้จวินเช่นกัน
“หรือว่าเป็นเพราะยา” ฟูกวางร่ำร้องในใจ
ในเมื่อมียาปีศาจเสริมพลังอยู่เพียงไม่กี่เม็ด เขาจึงไม่ได้ทดสอบเม็ดยาให้ดีก่อน ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเขาจึงไม่รู้ถึงผลทั้งหมดของมัน
“นี่ไม่ดีแน่ ต้องมิอาจให้พวกนั้นรู้ว่าข้าเป็นคนให้ยาเขา”
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ฟูกวางก็พลันขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวและชี้ไปยังหงอวี้เอ๋อร์ขณะที่ตะโกนออกมา “เจ้า เจ้าฆ่าศิษย์ข้า เจ้ากล้าฆ่าเขาได้อย่างไร เขาทำอะไรให้กับเจ้าจึงได้รับผลเช่นนี้”