บทที่ 611 ศิษย์อุปถัมภ์!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 611 ศิษย์อุปถัมภ์!
หวังเป่าเล่อกะประมาณพลังปราณของตนจนเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มวาดฝันถึงอนาคต ทำให้ค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง แม้ว่าชายหนุ่มจะยังคงงุนงงและชั่งใจว่าสิ่งที่ศิษย์พี่ของเขาพูดในตอนท้าย แต่ด้วยนิสัยของหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่จะมามัวกังวลกับสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ การสนุกกับปัจจุบันสำหรับเขาแล้วสำคัญกว่า

ชายหนุ่มเลียริมฝีปากและจ้องมองไปยังห้องโถงใหญ่ของวังลำดับเจ็ด พลางนึกสงสัยว่าเขาควรจะเดินต่อไปหรือไม่ คลื่นพลังงานของการเคลื่อนย้ายปะทุขึ้น ณ วังลำดับสามเบื้องหลังหวังเป่าเล่อ กงเต๋าปรากฏตัวขึ้น บ้วนโลหิตออกมากองใหญ่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งหลับตาทำสมาธิ

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์สำนักใน ณ วังลำดับที่สามทำให้ต้องจบลงด้วยตำแหน่งศิษย์สำนักนอกเพียงเท่านั้น แย่กว่าเจ้าเยี่ยเหมิงเล็กน้อย หลังจากที่เห็นกริยาของกงเต๋า หวังเป่าเล่อก็หันกลับไปจ้องมองวังลำดับเจ็ด

หวังเป่าเล่ออยากจะลองเข้าไป แต่ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เขารู้ดีว่าตัวเองมาไกลได้เพียงถึงวังบูชาลำดับที่หกเท่านั้น หากไร้ศิษย์พี่ข้างกาย แม้ว่าจะได้รับภารกิจอื่นใด โอกาสที่ตัวเขาจะเสียชีวิตก็สูงยิ่ง ชายหนุ่มแทบไม่มีหวังว่าจะทำภารกิจนี้ลุล่วงได้เลย

หากวังบูชาลำดับหกยังขนาดนี้แล้ว วังบูชาลำเด็บเจ็ดย่อมจะต้องเลวร้ายกว่าอย่างแน่นอน แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากจะละทิ้งเรื่องนี้ไปง่ายๆ หลังจากเงียบงันไปนาน ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกไปข้างหน้าและเริ่มก้าวเดินเข้าไปสู่โถงใหญ่

หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากโถงใหญ่อีกครั้งภายในระยะเวลาห้าสิบลมหายใจด้วยสีหน้ายอมจำนน พลางโคลงศีรษะดิก

ข้าสู้ภารกิจในตำหนักวังบูชาระดับเจ็ดในตอนนี้ไม่ไหวแน่นอน ต่อให้ข้าสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณขั้นต้นได้ในตอนนี้ แต่สำหรับภารกิจ…สั่งให้ข้าลอบสังหารผู้ฝึกตนในระดับดาวพระเคราะห์…

เรียกได้ว่าเกิดความบ้าคลั่งไปเสียอีก หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถทำภารกิจนี้ได้ หากไม่ได้ใช้วิธีที่ตัวเขาเองคาดไม่ถึง การทำภารกิจอย่างตรงไปตรงมานั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ข้าขอยอมแพ้กับการเป็นศิษย์แห่งเต๋าและขอเป็นแค่ศิษย์อุปถัมภ์ก็แล้วกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ขณะที่เขาไปจบการทดสอบที่ตำหนักวังบูชา ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าตำหนักวังบูชารู้ความคิดของเขาได้อย่างไร แต่ทันทีที่เขานึกยอมแพ้ ร่างกายเขาก็หายวับไปในทัน

เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็ยืนอยู่ตรงจุดเริ่มต้นของเส้นทางชัชวาล ทะเลเพลิงเดือดพล่านอยู่ข้างๆ ถนนทอดยาวไปจนถึงด้านหลังของตำหนักวังบูชา ไม่ว่าคลื่นร้อนระอุจะเหวี่ยงขึ้นลงมากเพียงไร ก็ไม่อาจจะขึ้นมาถึงตรงที่ชายหนุ่มยืนอยู่ได้

กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏกายขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมา แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าต่างคนต่างไปเจอภารกิจแบบใดมา แต่ทุกคนก็สามารถเดาได้ว่าภารกิจเหล่านั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด

ประกายตาของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ามีความสุขลึกล้ำสะท้อนอยู่ข้างใน พวกเขาได้พบสมบัติจำนวนไม่น้อยจากภารกิจนั้นแถมยังหยิบติดตัวออกมาได้อีกด้วย

“พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเจอสิ่งใดในการทดสอบที่วังบูชาลำดับที่สอง” กงเต๋าผู้ที่ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะสะกดเอาไว้ไม่อยู่เอ่ยถามออกมา พร้อมทั้งยกมือขวาขึ้นโบกไปมาอย่างภาคภูมิใจ รากของสมุนไพรวิญญาณที่อัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณปรากฏขึ้นในมือนั้น สะท้อนล้อกับแสงไฟอยู่ไปมา

“เป็นอย่างไรเล่า พวกเจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่ บันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลเรียกสิ่งๆ นี้ว่าผลก่อเมฆา เพียงลูกเดียวก็จะช่วยเปิดหนึ่งในเจ็ดทวารของร่างกาย ทำให้การฝึกตนในอนาคตนั้นง่ายดายขึ้นไปอีก!” กงเต๋ายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น แม้ว่าทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและหวังเป่าเล่อจะเข้าไปวังที่ลึกกว่ามาแล้วก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะได้พบเจอสมบัติที่ยอมเยี่ยมเช่นเดียวกัน เพราะอย่างไรเสีย กงเต๋าก็สูญเสียไปอย่างมากมายเพื่อจะได้เห็นผลไม้นี้ในระหว่างการทดสอบ

หวังเป่าเล่อกะพริบตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปที่กงเต๋าผู้ลิงโลดใจ ชายหนุ่มกระแอมก่อนจะดึงเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดออกมาจากกำไลคลังเก็บ

กงเต๋าไม่เคยเห็นศิาลาอัคคีชั้นสูงสุดมาก่อน แต่ทว่า ด้วยความร้อนระอุอันแรงกล้าที่แผ่ซ่านออกมาจากศิลาชิ้นนั้นทันทีที่มันถูกหยิบออกมา อุณหภูมิรอบๆ กายพวกเขาพุ่งสูงขึ้นทันที แม้ว่ากงเต๋าจะไม่รู้จักศิลานั้น แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าต้องเป็นสมบัติชั้นยอดเป็นแน่!

“ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดงั้นหรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงถามขึ้นมาปุบปับ น้ำเสียงของนางฟังเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง

หวังเป่าเล่อยิ้มออกมาจางๆ ชายหนุ่มขยับศิลาในมืออยู่ไปมา ก่อนจะพยักหน้าอย่างตั้งใจ ก่อนจะหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสายตายอมรับ เพราะหากไม่มีใครรู้จักสมบัติชิ้นนี้เลย เขาก็คงต้องอธิบายสรรพคุณของมันเอง อาจจะทำให้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มต้องการจะโอ้อ้วด

“ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดคือสิ่งใดกัน” กงเต๋าละล่ำละลัก

“สิ่งนี้เป็นวัตถุดิบในตำนานที่ใช้เพื่อหลอมวัตถุเวท จะกำเนิดขึ้นได้เมื่อมีดวงดาวแตกดับเท่านั้น มูลค่าของมันนั้น…ชิ้นใหญ่เช่นนั้นคงมีราคาเท่าผลไม้ของเจ้าสิบลูก” เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามจะข่มจิตใจตนเองก่อนจะอธิบาย

กงเต๋าก็สูดลมหายใจเช่นกันขณะที่ฟังเจ้าเยี่ยเหมิงอธิบาย ชายหนุ่มไม่ได้เชื่อทั้งหมด เขากำลังจะดึงเอาสมบัติอีกชิ้นออกมาอวดแต่หวังเป่าเล่อก็กระแอมและหยิบเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดออกมาอีกชิ้นหนึ่ง…

ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มหยิบศิลาออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า ตอนแรก กงเต๋าทำได้เพียงกลืนอากาศเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อดึงเอาศิลาชิ้นที่สิบออกมา กงเต๋าก็หยุดหายไปโดยปริยาย จากนั้น หวังเป่าเล่อก็เปิดกำไลคลังเก็บและเทเอาสมบัติทั้งหมดออกมา ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดไหลบ่าออกมากองรวมกันสูงเป็นภูเขาเลากา กงเต๋าตกตะลึงนิ่งขึงไป

กระทั่งเจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังตกใจอย่างรุนแรงจนอ้าปากค้าง ไม่มีคำพูดใดๆ ไหลออกมาผ่านริมฝีปากคู่นั้น

“ข้าไม่มีที่วางทั้งหมดให้พวกเจ้าดู แต่ว่า…ข้ายังมีศิลาเช่นเดียวกันนี้อยู่อีกราวเจ็ดถึงแปดกองด้วยกันในกำไลคลังเก็บ” หวังเป่าเล่อยกมือตบท้องเบาๆ พลางทำทีเป็นไม่ภาคภูมิใจ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกและนำเอาศิลากลับไปเก็บไว้เช่นเดิม

กงเต๋าทำได้เพียงจ้องมองผลไม้ในมือเป็นเวลานานก่อนจะค่อยๆ เก็บเข้ากระเป๋าไป ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าอยู่พักใหญ่ แล้วจึงทอดถอนใจออกมา

“เป่าเล่อ ถ้าเจ้ายังทำตนเช่นนี้ ระวังจะไม่มีเพื่อนเหลือเล่า…”

หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มยกมือตบบ่ากงเต๋า ก่อนจะหยิบเอาศิลาอัคคีขั้นสูงสุดออกมาหลายสิบก้อนมายัดใส่มือเพื่อน กงเต๋าชะงักอยู่อึดใจหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจยอมลดราวาศอก เขาเก็บเอาศิลาไปอย่างรวดเร็วก่อนจะมองค้อนหวังเป่าเล่อใหญ่

หวังเป่าเล่อให้ศิลาอัคคีขั้นสูงสุดกับเจ้าเยี่ยเหมิงไปนับร้อยก้อน ชายหนุ่มบอกให้พวกเขาทั้งคู่มาบอกเขาได้หากต้องการเพิ่ม เมื่อหวังเป่าเล่อแสดงน้ำใจออกมาเช่นนั้น กงเต๋าจึงหยิบผลก่อเมฆาออกมาสองลูกพลางยื่นให้เพื่อนทั้งสองเช่นกัน

เจ้าเยี่ยเหมิงเอาก็แบ่งสิ่งของที่นางหามาได้ให้เพื่อนๆ เช่นกัน กำลังใจของทุกคนเพิ่มพูนขึ้นมาหลังจากการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงที่นิ่งสงบอยู่เป็นปรกติก็ยังไม่อาจจะคุมหัวใจไม่ให้เต้นแรงได้ นางกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างแต่เส้นทางชัชวาลและตำหนักวังบูชาเกิดเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นเสียก่อน

พื้นดินใต้เท้าพวกเขาโยกคลอนอย่างรุนแรง แสงสว่างจ้าระเบิดขึ้นมาจากเบื้องบนวังลำดับสอง สาม และหก แสงนั้นส่องสว่างและพวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า ไปรวมตัวกันอยู่บนสรวงสวรรค์และก่อตัวขึ้นเป็นแผ่นหยกสามแผ่น!

อันหนึ่งสีเขียว อีกอันหนึ่งสีแดง และอันสุดท้ายมีสีม่วง!

สีเขียวแสดงถึงศิษย์สำนักนอก สีแดงแทนศิษย์สำนักใน ในขณะที่สีม่วง…แทนศิษย์อุปถัมภ์!

แผ่นหยกสุกสว่างทั้งสามพุ่งตรงเข้ามาหาสามสหายเบื้องล่างที่รับเอาไว้ได้พอดี ทันทีที่พวกเขาสัมผัสเข้ากับแผ่นหยกนั้น ความรู้สึกแปลกประมาณก็ไหลบ่าเข้าท่วมกายในบัดดล

กงเจ๋ารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในกระบี่สำริดเขียวโบราณ ราวกับว่าก่อนหน้านี้กระบี่เขียวโบราณเล่มนั้นปกคลุมไปด้วยเส้นด้ายนับไม่ถ้วน ที่ก่อตัวรวมกันเป็นแผ่นแน่นหนา แม้จะไม่ได้มีตัวตนที่หนาแน่นหรือขัดขวางการเคลื่อนไหวมากจนเกินไปนัก แต่ก็ยังมีการโอบรัดที่ทำให้ขยับได้ลำบากขึ้นระดับหนึ่ง

ขณะนี้ เมื่อแผ่นหยกสีเขียวมาอยู่ในมือ ราวกับว่าช่องว่างระหว่างเส้นด้ายเหล่านั้นขยายกว้างขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายและเบากายขึ้นมาก

นัยน์ตาของกงเต๋าส่องประกาย ชายหนุ่มรู้สึกถึงความสำคัญของการได้รับสถานะศิษย์มา เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน แต่รุนแรงเสียยิ่งกว่า ราวกับว่าช่องว่างระหว่างเส้นด้ายเหล่านั้นขยายกว้างขึ้นอีกสำหรับนาง เพียงขยับด้วยจิตเพียงเล็กน้อย นางก็สามารถจะหลบหลีกเส้นด้ายเหล่านั้นได้อย่างหมดจด

เพราะความเข้าใจในเรื่องวงแหวนปราณของนาง ทำให้นางรู้ดีว่าความรู้สึกนั้นหมายความว่าอย่างไร…ขณะนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงนั้นมีภูมิคุ้มกันกับคำสาปหลายหลากบนกระบี่สำริดเขียวโบราณไปแล้วเรียบร้อย!

“มันดีอย่างนี้เองสินะ…เมื่อได้สถานะศิษย์ที่แท้จริงมาและมีนามสลักเอาไว้ ณ บนแท่นสลักเต๋า!” นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงส่องประกายด้วยความยินดี ทั้งนางและกงเต๋าหันไปจ้องมองหวังเป่าเล่อ

แต่สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูแปลกแปร่ง ชายหนุ่ยเงยศีรษะขึ้นจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าอยู่นาน ดูราวกับว่าเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างสุดจะหาคำมาเอื้อนเอ่ย

“เป่าเล่อ เจ้าได้รับสถานะศิษย์อุปถัมภ์มาจากวังที่หก เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า” กงเต๋าถามอย่างสงสัย

“ข้าหรือ…ข้ารู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกกำลังส่งเสียงให้กำลังใจข้า…” หวังเป่าเล่อคิด ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าแปลกแปร่งที่แสดงออกมา ชายหนุ่มไม่ได้โกหก ทันทีที่เขาสัมผัสถูกแผ่นหยกก็มีความรู้สึกต้อนรับอันทั่งท้นไหลซึมออกมาจากโลกรอบข้าง หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังบอกเขาว่าเหลือสถานที่เพียงหยิบมือเท่านั้นที่ชายไม่อาจจะเหยียบย่างเข้าไป

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงก้าวเท้าออกไปข้าวหน้า โดยไม่มุ่งไปยังตำหนักวังบูชาแต่เข้าไปบนทะเลเพลิง ชายหนุ่มเดินก้าวเข้าไปหาทะเลสีแดงฉานอย่างมั่นคง ก้าวออกจากอาณาเขตอันปลอดภัยของตำหนักวังบูชาไป ทันทีที่เท้าของเขากำลังจะจมลงไปในทะเลเพลิงนั่นเอง ศิลาชิ้นเขื่องก็พุ่งเข้ามารองเท้าของเขาเอาไว้ทันที…

“ข้ารู้สึกเช่นนี้ละ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ชายหนุ่มยืนอยู่บนศิลาพลางยักไหล่ ก่อนจะหันไปหากงเต๋า ที่ยืนมองอ้าปากค้างตาเบิกโพลง เช่นเดียวกับเจ้าเยี่ยเหมิงที่ยืนตาโตอยู่คล้ายกัน