บทที่ 612 หลุมฝังศพแห่งหนึ่ง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 612 หลุมฝังศพแห่งหนึ่ง!
ทุกๆ คนมีสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหวังเป่าเล่อเสนอว่าไหนๆ พวกเขาก็ได้เป็นศิษย์แห่งวังเต๋าแล้วก็ไม่ควรจะรีบกลับ

ไหนๆ ก็เป็นโอกาสอันหายากที่จะได้มาเข้าไปยังพื้นที่ต้องสาป ควรจะเข้าไปยังที่ๆ ไม่เคยมีใครเคยไป แล้วไปตามหาสมบัติกันจะเหมาะกว่า

ทั้งวัตถุดิบและตราประจำตัวก็สามารถนำไปแลกเป็นแต้มการรบได้ทั้งสิ้น

ทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่ตกตะลึงก็พากันตกปากรับคำหวังเป่าเล่อทั้งๆ ที่ยังงงงัน พวกเขาตามหวังเป่าเล่อไปบนถนนพร้อมทั้งความรู้สึกตื่นตะลึงเช่นนั้น

ในความเป็นจริงแล้ว…หลังจากที่พวกเขาออกมาจากตำหนักวังบูชา การที่พวกเขามาเดินอยู่ในบริเวณตัวกระบี่นั้นเป็นอันตรายอันใหญ่หลวง รอยฉีกขาดของอวกาศและพื้นที่ต้องสาปจำนวนมากกระจัดการจายไปจนสุดลูกหูลูกตา

มีสองเหตุผลที่พื้นที่ต้องสาปจำนวนมากนั้นไม่เคยมีผู้ฝึกตนที่ได้ตำแหน่งศิษย์ในอดีตย่างกรายเข้าไป เหตุแรกก็เพราะระดับศิษย์ของพวกเขาไม่สูงพอ อีกเหตุหนึ่งก็เพราะว่าผืนแผ่นดินในโลกนี้เคลื่อนตัวอยู่บ่อยๆ

ด้วยเหตุนี้ บรรดาศิษย์คนอื่นๆ จึงรู้สึกว่าพื้นที่ส่วนนี้นั้นยากแก่การสำรวจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องยุกยากเช่นนั้นไม่อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ชายหนุ่มย่างก้าวไปอย่างระมัดระวังในช่วงแรก แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้พื้นที่ต้องสาปแล้วคำสาปทั้งมวลในบริเวณก็จางสลายไป ทางเข้าที่ส่องแสงเรืองรางปรากฏขึ้นแทนที่…

ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปทันที

คำสาปหยุดทำงานเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ แม้กระทั่งพายุหมุนที่พัดผ่านอยู่เป็นนิจก็ยังสลายหายไปเมื่อชายหนุ่มเข้าไปในระยะ ราวกับว่ากลัวที่จะเข้ามาสัมผัสกับเขากระนั้น

แต่สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรอยฉีกขาดของอวกาศที่กงเต๋าเข้าพอดีเมื่อมันมาปรากฏอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ดูราวกับปากอ้ากว้างที่พร้อมจะกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัว แต่ทว่า ก่อนที่มันจะได้สัมผัสเขา ก็ดูเหมือนกับว่าจะมีพลังประหลาดมาหยุดรอยฉีกนั้นเอาไว้ ปากของมันหุบแน่น มันต่อสู้ขัดดิ้นรนพยายามขณะที่หวังเป่าเล่อเดินทอดน่องผ่านไปได้อย่างปลอดภัย

ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายบังเกิดขึ้นในใจกงเต๋า ราวกับว่าเป็นความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่ทำให้เขาเหนื่อยหน่ายและสัมผัสได้ถึงความแตกต่างกันอย่างรุนแรงระหว่างตัวเขาและหวังเป่าเล่อ

ทะเลเพลิงและอสูรเพลิงอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่าสถานที่นี้ทั้งหมดได้กลายมาเป็นบ้านของหวังเป่าเล่อไปแล้วก็ไม่ปาน กงเต๋ามีความรู้สึกว่า แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะหลับตาเดินตั้งแต่เหนือจรดใต้ เขาก็คงจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ทั้งสามก้าวย่างเข้าไปในพื้นที่ต้องสาปแห่งแล้วแห่งเล่าและค้นหาต่อไป…

หม้อหลอมโอสถที่ไฟลุกท่วม แผ่นหยกกองแล้วกองเล่า เจดีย์ที่มีโอสถเก็บรักษาอยู่ด้านใน สนามรบเก่าและพื้นที่อื่นๆ ต่างก็เผยให้เห็นสมบัตินานาที่พร้อมจะให้หยิบฉวยไป ส่วนมากแล้ว พวกเขาเพียงแต่ต้องเก็บขึ้นมาก็เท่านั้น

ทั้งสามเก็บตราประจำตัว สมุนไพรที่มีประกายของพลังชีวิต และวัตถุดิบสำหรับการหลอมวัตถุเวทมาไว้เป็นกองที่สูงขึ้นทุกทีๆ สมบัติเหล่านี้หล่นกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง…ยังมีสมบัติที่ดูแปลกประหลาดอยู่อีกมากมาย ทั้งประคำปิดมิติที่สามารถปิดสถานที่แห่งหนึ่งได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อขัดขวางไม่ให้คนที่โดนเข้าสามารถเคลื่อนย้ายไปได้ พวกเขาเจอประคำเหล่านี้นับสิบ ยิ่งพวกเขาเดินเก็บสมบัตินานไป ทั้งสามก็รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันมากขึ้นทุกที ทุกๆ สิ่งช่างดูเหนือจริง

แต่อย่างไรก็ดี ที่แห่งนี้ก็เป็นความจริง ทั้งสามออกเดินไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงในตอนต้น แต่เมื่อใกล้จะจบการสำรวจ นัยน์ตาของพวกเขาก็เมื่อยล้าจากการความหาสมบัติที่มากขึ้นทุกทีๆ หนุ่มสาวทั้งสามลืมเรื่องการเดินทางกลับไปเสียสนิท

จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องตัดสินใจ เมื่อกระเป๋าคลังเก็บของทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าต่างก็เต็มจนเกือบๆ จะล้นปรี่ สมบัติดารดาษอยู่รอบกาย แต่กลับไม่มีวิธีการขนกลับเอาไป

“ทั้งกองนี้น่าจะมีค่าร่วมหลายแสน อาจจะเป็นล้านๆ แต้มการรบก็เป็นได้! หากเราแบ่งกันสามคน ก็ยังได้ตั้งหนึ่งแสนถึงสองแสนแต้มต่อคนเชียวนะ ข้าจะเอาแต้มไปไปซื้อ เสื้อคลุมนักแฝงเงาซึ่งเป็นอาวุธเวทระดับเก้ามาใช้เสียเลย!” กงเต๋าพึมพำอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบหน้าตนเองอย่างแรงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝัน จากนั้นจึงเริ่มหัวเราะราวกับเสียสติ

เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มีสีหน้าแปลกประหลาดใจ นางก้มลงมองกระเป๋าคลังเก็บในมือ ตามด้วยหวังเป่าเล่อ นางยังคงดูสับสนอยู่ไม่หาย…

การล่าสมบัติของทั้งสามในครั้งนี้จบลงด้วยวัตถุเวทคลังเก็บของทุกคนที่เต็มแน่นเสียจนใส่อะไรเพิ่มไม่ได้อีก พวกเขาถึงกับต้องทิ้งสมบัติที่มีมูลค่ารองๆ ลงมาไปเสีย จนกระทั่งไม่อาจจะทิ้งอะไรได้อีกจึงต้องหยุด

“พวกเราเอาของทั้งหมดออกไปจากตรงนี้กันก่อนดีไหม แล้วค่อยเตรียมการกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงแห่งความบ้าคลั่ง หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว ชายหนุ่มก็จ้องมองไปยังพื้นที่ต้องสาปแห่งสุดท้ายตรงหน้า ก่อนจะพูดประโยคนี้ออกมา และก้าวเดินดุ่มๆ เข้าไป

กงเต๋ารีบตามไปอย่างลิงโลด หัวใจของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เต้นรวดเร็วไม่แพ้กับความเร็วในการก้าวเดินของกงเต๋า แต่ทว่านางก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้ได้ นางก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว และทันใดนั้นเอง เมื่อนางเหลือบตาขึ้นมองพื้นที่ต้องสาปที่พวกเขากำลังก้าวเข้าไป คิ้วของนางก็ขยับขึ้นเล็กน้อยก่อนที่นางจะพูดขึ้นว่า “เป่าเล่อ ช้าก่อน!”

หวังเป่าเล่อชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงนาง ความรู้สึกผ่อนคลายที่เขารู้สึกมาก่อนหน้านี้มลายหายไปในพริบตา เหลือแต่เพียงความระแวดระวังเท่านั้น กงเต๋าเองก็ปรับสภาพจิตใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดใช้พลังปราณและสำรวจบริเวณโดยรอบตามสัญชาติญาณ ทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมา ก่อนจะหันมองไปด้านหน้า ยังพื้นที่ต้องสาปแห่งสุดท้ายของพวกเขา

พื้นที่นั้นดูไม่ต่างไปจากแห่งอื่นๆ คำสาปกระจัดกระจายอยู่ตามซากภูเขา ต่างก็แค่เพียงมีหลุมฝังศพอยู่ตรงหน้าภูเขาเท่านั้น!

บนหลุมฝังศพนั้นมีป้ายหลุมศพศิลาตั้งอยู่ แต่มีส่วนหนึ่งหลุดหายไปและคำพูดบนนั้นก็ไม่ชัดเจน รอยแตกร้าวเป็นทางปรากฏอยู่บนด้านข้าง รอยแยกที่เล็กที่สุดก็ยังขนาดเท่าฝ่ามือ และรอบที่ใหญ่ที่สุดนั้นใหญ่พอให้ผู้ชายตัวโตๆ ลอดผ่านไปได้

หมอกสีเขียวไหลออกมาจากรอยแยกนั้นเป็นสาย แต่ไม่ได้ไหลผ่านไปไกล กลับไหลวนรายล้อมหลุมฝังศพอยู่เช่นนั้น ออกมาด้านนอกแล้วก็ถูกดูดกลับเข้าไปในรอยแยกดังเดิม ราวกับว่ารอยแยกเหล่านั้นเป็นปากขนาดมหึมาที่กำลังหายใจเข้าออกก็ไม่ปาน!

คำสาปมากมายไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกถึงอันตราย…แต่หมอกสีเขียวที่พวยพุ่งออกมาจากหลุมฝังศพนั้นต่างหาก!

“ที่นี่มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะลองก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว คำสาปจางหายไป และประตูก็มาปรากฏตรงหน้าเขา หวังเป่าเล่อยืนอยู่หน้าประตูและไม่ได้ขยับตัวเข้าไปแม้แต่น้อง สถานการณ์นี้แม้จะคล้ายคลึงกับพื้นที่ต้องคำสาปอื่นๆ แต่ในครั้งนี้ มีรัศมีแปลกประหลาดที่ไม่มีอยู่ในพื้นที่ต้องสาปอื่นๆ มันไหลบ่าเข้าไปรวมกับอากาศรอบกายหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน ความเชี่ยวชาญในด้านวัตถุเวทบอกเขาว่ารัศมีนี้แผ่ออกมาจากอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง!

หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจถี่ เขายกมือขวาขึ้นทันที และส่งเอากระบี่เหาะเหินระดับเจ็ดออกไปยังหลุมศพที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเขียวทันที

ความเร็วของกระบี่เหาะเหินลดลงทันทีที่มันเข้าไปใกล้หลุมฝังศพนั้นและช้าลงจนกระทั่งสุดท้ายหยุดลอยค้างอยู่กลางอากาศ มันเริ่มจะแปรสภาพไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา มันกลายเป็นสีเขียวไปในบัดดล ลายที่มองดูคล้ายกับวงปีต้นไม้ปรากฏขึ้นรอบๆ กระบี่ทันที ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปไม่ถึงสิบลมหายใจเท่านั้นเอง สิ่งที่เคยเป็นกระบี่เหาะเหินที่ทำจากโลหะเมื่อครู่ตอนนี้ตกลงกระทบพื้นส่งเสียงทึบ

การเชื่อมต่อระหว่างหวังเป่าเล่อและกระบี่เหาะเหินถูกสะบั้นลงในพริบตา ราวกับว่าถูกลบหายไปจนสิ้น เทพเจ้าที่อยู่ภายในกระบี่ก็หายไปอีกด้วย พลังที่สถิตย์อยู่ภายในกระบี่เหาะเหินนั้นก็แปรสภาพจนกลายเป็นเสมือนกระบี่ธรรมดาไปเสียฉิบ

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเสียงตอนที่กระบี่ตกกระทบพื้น

“โครงสร้างของมันเปลี่ยนไป!” กงเต๋าหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกมา เจ้าเยี่ยเหมิงสังเกตเห็นสิ่งนั้นเช่นกัน เสียงของกระบี่เหาะเหินที่ตกกระทบพื้นไม่ใช่เสียงโลหะกระทบของแข็งแต่เป็นเสียงของไม้!

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อหม่นหมองลงทันที ชายหนุ่มรู้สึกถึงสิ่งนี้มากกว่าใครทั้งสิ้น เขาเริ่มลังเลเกี่ยวกับพื้นที่ตรงนี้ แต่ก็ยังไม่อยากจะถอดใจไปง่ายๆ เช่นกัน

ดูเหมือนว่าเสียงของกระบี่ไม้ที่ตกลงพื้นไปปลุกบางสิ่งให้ตื่นขึ้นมา เสียงหายใจหนักหน่วงดังขึ้นมาจากพื้นใต้หลุมฝังศพนั้น

“ฟู่ว…ฟู่ว…ฟู่ว…”

เสียงนั้นฟังดูไม่เหมือนเสียงหายใจของมนุษย์ แต่คล้ายกับเสียงของอสูรร้าย สามสหายสัมผัสได้ถึงอันตราย ไม่มีการรอช้า พวกเขารีบล่าถอยทันที

เสียงเห่าหอนจำนวนนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ในศีรษะของพวกเขาขณะที่พวกเขาถอยหนี เสียงนั้นฟังดูคล้ายกับเสียงร้องด้วยความโกรธขึ้งและเจ็บปวดของคนจำนวนมหาศาล ฟังดูสมจริงเป็นอย่างยิ่ง คลื่นกระแทกที่แผ่กระจายออกมาบีบให้ทั้งสามต้องถอยร่นออกมาไกลขึ้นอีก โลหิตกระเซ็นออกมาจากริมฝีปากของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังเป่าเล่อที่อาเจียนเอาโลหิตออกมาถึงเจ็ดครั้ง พวกเขาถอยออกมาอย่างทุลักทุเล จนกระได้พักหายใจหลังจากที่หนีออกมาได้ไกลระยะหนึ่ง

“ยิ่งพลังปราณแข็งแกร่งเท่าใด แรงกระแทกนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น!” เจ้าเยี่ยเหมิงยกมือขึ้นปาดโลหิตออกจากปาก นางจ้องมองหลุมศพจากห่างๆ เขม็ง หลังจากที่หายจากอาการตื่นกลัวแล้ว นางจึงหันหน้าไปจ้องหวังเป่าเล่อ