” ท่านแม่ ซุ่นเอ่อร์กลัวมาก~” เสียงของเด็กหญิงตัวน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างหาใดเปรียบ ทั้งยังสั่นสะท้านอยู่บ้าง ความเย็นยะเยือกของฤดูหนาวทำให้เลือดไหลช้า แม้แต่ผิวหนังยังรู้สึกชา
ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ บรรยากาศกลับรู้สึกเหมือนมีผีโพล่ออกมา
ผู้คนทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงต่างก็หันตามไป พวกเขาเห็นท่านหญิงน้อย!
นางสวมเสื้อคลุมสีแดงสด ในหน้าขาวซีด ใต้เสื้อคลุมเป็นชุดกระโปรงสีขาว ตรงอกเป็นสีแดงไปทั้งแถบราวกับว่าถูกย้อมด้วยเลือดสดๆ นางสวมรองเท้าปักลายคู่น้อย ดูไปยิ่งคล้ายกับเป็นผีเด็กหญิงตนหนึ่ง
นางกวาดตามองดูโดยรอบคราหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในอ้อมอกขององค์หญิงใหญ่ ส่งเสียง ‘ฮือแง’ คำหนึ่งก็ร้องให้เสียงดังออกมา
“ท่านแม่ ท่านเกือบจะไม่ได้เจอซุ่นเอ๋อร์อีกแล้ว เกือบไปนิดเดียว ซุ่นเอ๋อร์ก็จะถูกปีศาจนั้นจับกินไปแล้ว ฮือๆๆๆ ” นางกอดขาขององค์หญิงใหญ่ไว้ ยิ่งร่ำร้องอย่างเสียใจ
ผู้คนทั้งหลายต่างทำหน้าเหรอหรา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
องค์หญิงใหญ่คุกเข่าลงมา กอดรัดท่านหญิงน้อยอย่างแนบแน่น เมื่อสูญเสียไปแล้วได้คืนมา ความยินดีย่อมพลุ่งพล่าน นางหอมแก้มธิดาน้อยแรงๆ อยู่หลายครั้ง
ท่านรองมหาเสนาฯ แทบจะเป็นคนแรกๆ ที่มีปฎิกิริยาขึ้นมา เขาขยับเอวเดินเข้ามาหาท่านหญิงน้อย “ท่านหญิงน้อย ท่านลองมองดูซิ ปีศาจที่คิดจะกินท่านอยู่ในหมู่พวกเราหรือไม่? “
ซุ่นเอ๋อร์ปาดน้ำตาเช็ดน้ำมูก เหลือบมองดูเขาแวบหนึ่งอย่างหวาดกลัว คล้ายกับว่านางไม่กล้าพูดอะไรออกไป
องค์หญิงใหญ่กอดนางไว้ มองไปทางผู้คน “ซุ่นเอ๋อร์ อย่าได้กลัว แม่จะไม่ปล่อยให้คนที่ทำร้ายเจ้าหนีรอดไปได้ เจ้าบอกมา ปีศาจตนนั้นอยู่แถวนี้หรือเปล่า? “
เมื่อได้รับการปลอบประโลมจากองค์หญิงใหญ่ ซุ่นเอ่อร์จึงค่อยๆ มีความกล้าขึ้นมา จากนั้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “อื้ม อยู่เจ้าค่ะ! “
ผู้คนทั้งหลายพอได้ยิน สายตาก็หันไปจับจ้องที่ตัวของตู๋กูซิงหลันแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันทีคล้ายกับหวาดกลัวขึ้นมา ท่าทางคล้ายกับว่าไม่อยากจะเชื่อว่าท่านหญิงน้อยจะยังมีชีวิตอยู่
ผู้คนทั้งหลายต่างจับจ้อมองนางอยู่แล้ว ท่าทางที่หวาดกลัวของนางไหนเลยจะรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้?
แต่ว่ากลับไม่มีผู้ใดสังเกตดูมือที่กำลังกุมด้ามร่มของเสียนไท่เฟย ที่แม้กระทั้งปลายนิ้วก็ยังปราศจากสีเลือดไปแล้ว
ท่านหญิงน้อยยังไม่ตาย…..ทำไมถึงยังไม่ตาย? ทั้งที่เมื่อคืนชิงผิงก็เอาหัวใจดวงหนึ่งและเลือดสดๆ กลับมาแล้วด้วยซ้ำ!
พอชิงผิงกลับมายืนอยู่ข้างกายนาง นางก็ปรายตาจ้องมองชิงผิงอยู่แวบหนึ่ง
ชิงผิงรับร่มมาจากหัตถ์ของเสียนไท่เฟย ช่วยนางบังแดดไว้ ดวงตาของนางก็ปรากฎแววตาประหลาดใจเช่นกัน “พระสนมเพคะ เมื่อคืนนี้บ่าวได้…..”
“หุบปาก! ” เสียนไท่เฟยสั่งให้นางปิดปากทันที”
ชิงผิงทั้งตระหนกทั้งสำนึกเสียใจ ได้แต่ยืนถือร่มอยู่ข้างๆ นางอย่างเงียบๆ
“ฟ้าดินคุ้มครอง ท่านหญิงน้อยผ่านเคราะห์มาได้ ถือเป็นโชคในคราวเคราะห์ ” เสียนไท่เฟยเก็บสีหน้าประหลาดใจกลับไป เพียงแสดงรอยยิ้มอบอุ่นออกมา
นางยอบตัวลง กวักมือเรียกท่านหญิงน้อย กล่าวอย่างสนิทสนมว่า “ซุ่นเอ๋อร์ เจ้าทำให้ผู้คนต่างเข้าใจไทเฮาผิดไปแล้ว เจ้ารีบบอกพวกเรามา ไทเฮาพาเจ้ามาทำอะไร จะได้คืนความบริสุทธิ์ให้กับไทเฮาดีไหม? “
ต่อให้ท่านหญิงน้อยแอบหนีออกมาได้ แต่ว่าเมื่อคืนนี้ย่อมต้องเป็นตู๋กูซิงหลันชิงตัวนางมาจากชิงผิง ของเพียงเด็กหญิงบอกว่าปีศาจนั่นคือตู๋กูซิงหลัน ต่อให้ตู๋กูซิงหลันมีความสามารถสูงส่งเทียมฟ้าเพียงไรก็ได้แต่ต้องตายสถานเดียว!
ซุ่นเอ๋อร์ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกขององค์หญิงใหญ่ ไม่กล้าเข้าใกล้นาง
ผู้คนทั้งหลายต่างคิดไปว่าเด็กหญิงตัวน้อยหวาดกลัวตู๋กูซิงหลัน เนื่องเพราะเผชิญเหตุการณ์เฉียดตายเช่นนั้น ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ ในใจยังต้องเหลือร่องรอยหวาดหวั่นอยู่บ้าง อย่าว่าแต่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยเพียงนี้
“ไท่เฟยพะยะค่ะ จนป่านนี้แล้วท่านยังคงจะปกป้องนางปีศาจผู้นั้นอยู่อีก! ” ท่านรองมหาเสนาฯ ร้อนใจจนทนไม่ไหวแล้ว “ท่านหญิงน้อย วันนี้พวกเราอยู่กันมากมาย นางปีศาจนั่นย่อมไม่อาจแตะต้องท่านได้แม้สักขุมขนหนึ่ง ท่านเพียงแต่ชี้ตัวนางออกมา พวกเราจะจัดการนางให้ท่านเอง! “
รองมหาเสนาฯ กล่าวพลางก็จ้องมองตู๋กูซิงหลันไปด้วย เขาแทบจะอยากจับนางเผาเป็นขี้เถ้าไปเสียเดี๋ยวนี้
ผู้คนทั้งหลายต่างก็เห็นพ้องกัน “ใช่เลย ท่านหญิงน้อย พวกเราจะระบายแค้นให้ท่านเอง! “
ท่านหญิงน้อยกลับไม่สนใจพวกเขา นางมองไปรอบๆ สุดท้ายสายตากลับมองไปเห็นต้นเหมยที่ถูกขุดขึ้นมา ทันใดนั้นในดวงตาของนางก็ปรากฎน้ำตามากมายรินไหล
ขาสั้นๆ นั้นวิ่งออก โอบอุ้มต้นเหมยที่ถูกทำลายขึ้นมา “นี่ นี่เป็นฝีมือของใครกัน ฮือๆๆ แงๆๆๆ …..”
ฝูงชนต่างงุนงงไปแล้ว แม้แต่เสียนไท่เฟยเองก็ยังไม่เข้าใจนาง
” ซุ่นเอ๋อร์ เกิดอะไรหรือลูก? ” องค์หญิงใหญ่คุกเข่าลงที่ข้างตัวนาง เห็นนางร้องไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจ นึกว่าเป็นเพราะเด็กน้อยคิดถึงเรื่องหวาดกลัวขึ้นมา
ท่านหญิงน้อยโอบอุ้มต้นเหมยที่ดอกหลุดร่วงอย่างระมัดระวังตอบว่า “ท่านแม่ ท่านมิใช่กล่าวว่า ท่านพ่อตายไปแล้ว จะกลายเป็นต้นเหมยคอยอยู่เคียงข้างพวกเราหรอกหรือเจ้าคะ? “
องค์หญิงใหญ่ชะงักไป ยามเมื่อท่านราชบุตรเขยจากไปนั้น เป็นช่วงฤดูหนาวที่หิมะมากมายปลิวไปทั่วท้องฟ้า
เขาเคยบอกไว้ว่า หากว่าเขาไม่ได้กลับมา ก็จะขอกลายเป็นต้นเหมยอยู่ปกป้องสองแม่ลูก ดังนั้นในจวนขององค์หญิงจึงปลูกสวนดอกเหมยเอาไว้
คำพูดนั้นนางยังจดจำได้ดี ทั้งยังกล่าวกับบุตรสาวมาตั้งแต่นางยังเล็กๆ ว่าบิดาของนางได้กลายเป็นต้นเหมยคอยอยู่เคียงข้างพวกนาง
“ฮือๆๆๆ ท่านย่าน้อยพึ่งจะยอมรับปากซุ่นเอ๋อร์ ช่วยซุ่นเอ๋อร์ปลูกท่านพ่อคืนมา ใครกันที่ขุดท่านพ่อขึ้นมา……แงๆๆๆๆ ….” เด็กหญิงน้อยร้องไห้จนไม่อาจกล่าววาจาได้ ท่าทางที่โศกเศร้านั่นยังเจ็บปวดยิ่งกว่านางโดนดาบทิ่มแทงเสียอีก
“พวกเจ้าคืนท่านพ่อมาให้ซุ่นเอ๋อร์ คืนท่านพ่อมา! “
ป.. ปลูกท่านพ่อ?
ผู้คนทั้งหลายต่างเหมือนโดนน้ำสาดใส่ศีรษะ เรื่องตลกเช่นนี้มีเอาไว้หลอกเด็กน้อยเท่านั้นแหละ!
แล้วยังคำว่าท่านย่าน้อยนั่นคืออะไร?
เห็นบุตรสาวเสียใจจนไม่อาจระงับได้ องค์หญิงใหญ่ก็งงงันไปหมดแล้ว นางกอดซุ่นเอ๋อร์ไว่ ถามเสียงเบาว่า ไม่ใช่ว่าไทเฮา…..พาตัวเจ้าไปหรอกหรือ? “
“เป็นท่านย่าน้อยพาข้าไปน่ะสิ! “ซุ่นเอ๋อร์รีบตอบกลับ
ไม่ทันรอให้คนบางคนได้กระหยิ่มยิ้มย่องใจ ก็ได้ยินนางกล่าวว่า “กลางดึกเมื่อคืนมีเสียงขลุ่ยที่น่ากลัวมากเลย ทั้งยังมีตัวประหลาดที่สวมใส่ชุดดำด้วย หากไม่ใช่เพราะท่านย่าน้อยไล่ตีมันจนวิ่งหนีไป ซุ่นเอ๋อร์คงตายไปแล้ว! “
ผู้คนทั้งหลาย “???!!! “
ตอนนี้พวกเขาเสียกระบวนรวนเรไปหมดแล้ว การพูดคุยกับเด็กน้อยช่างสิ้นเปลืองกำลังโดยแท้
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ด้านหนึ่ง ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา นางกำลังจะได้เห็นงิ้วสุดสนุกละทีนี้!
เรื่องนี้หากว่านำไปทำเป็นหนังภาพยนต์ รับรองว่าจะต้องแปลกใหม่น่าสนใจเป็นแน่
เด็กน้อยร้องไห้ไป ก็ค่อยๆ คลายมือออกจากองค์หญิงใหญ่ วิ่งซอยขามาหากตู๋กูซิงหลันถึงเบื้องหน้า กอดขาของนางเอาไว้ร่ำร้องว่า “ท่านย่าน้อย ท่านเป็นเซียนหญิงบนสวรรค์ จะต้องมีหนทางปลูกท่านพ่อได้อีกครั้งใช่ไหมเจ้าคะ? “
ตู๋กูซิงหลันมองดูดวงตากลมโตที่ร้องไห้จบบวมเสียเป็นผลท้อ ก็ใจอ่อนลง
ถึงแม้ว่าเด็กน้อยนี้จะรู้จักแสดงได้ดี แต่ว่าความรักมีต่อบิดาที่ไม่เคยได้พบหน้านั้นก็ลึกซึ้งอย่างแท้จริง
เรื่องช่วยนางปลูกบิดาขึ้นมานั้น แน่นอนอยู่ว่าเป็นความคิดที่นางเสนอขึ้นมาเอง
อาศัยสิ่งของที่มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อญาติที่จากไป รวมกับโลหิตของนางที่แฝงพลังของหยกคืนวิญญาณเอาไว้ ใช้อาคมสร้างอักขระดึงดูดจิตขึ้นมา เมื่อนำไปฝังไว้กับสิ่งมีชีวิตที่ใช้เป็นสื่อผูกพัน และได้รับพลังงานจากธรรมชาตินานวันเข้าก็จะก่อกำเนิดเป็นดวงจิตน้อยๆ ขึ้นมา
ดวงจิตน้อยๆ นี้จะมีความผูกพันของผู้จากไปที่ไม่อาจลืมเลือนอยู่ด้วย และคอยอยู่เคียงข้างท่านหญิงน้อยตลอดไป
สร้อยกุญแจอายุมั่นขวัญยืนนั้นเป็นสิ่งที่ราชบุตรเขยเหลือไว้ให้ท่านหญิงน้อย เมื่อใช้เส้นผมของท่านหญิงน้อยผูกเป็นเงื่อนชีวิตอายุยืน เอาไว้ด้วยกัน ก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความคิดคำนึงหาอย่างที่สุด
อีกทั้ง ‘เมื่อตายไปแล้วก็จะกลายเป็นต้นเหมย คอยอยู่เคียงข้างพวกนางตลอดไป’ ประโยคนี้ก็เป็นความปราถนาแต่เดิมของราชบุตรเขยอยู่แล้ว ต้นเหมยจึงเป็นสื่อแทนความผูกพันของเขา
นักพรตอู๋เจินที่ถูกตู๋กูจุนจับตัวมานั้น พอได้เห็นเหตุการณ์เข้า คนก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว
โอ้สวรรค์!
เดิมเขาคิดว่าไทเฮาน้อยเป็นปรมจารย์เขียนยันต์ผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่านางสามารถใช้อาคมสร้างอักขระดึงดูดดวงจิตที่ต้องศึกษากันนานไม่รู้กี่ปีได้ด้วย!
ช่างน่านับถือเหลือเกิน! จะทำเช่นไรดี สมควรจะเชิญไปยังอารามกราบไหว้เป็นพระโพธิสัตว์ได้ไหม?