ตอนที่ 110 เขาอยากจะคุกเข่าลงไปบนพื้นเรียกนางเป็นบรรพชน!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลันโอบอุ้มท่านหญิงน้อยเอาไว้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นพี่ชายตนเองนำตัวอู๋เจินเข้ามา 

 

 

วันนี้ท่านนักพรตอู๋เจินนับว่าแต่งตัวมาอย่างเรียบร้อย ชุดสีเขียวทำให้ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายด้วยราศีของผู้วิเศษ กลางหน้าผากแต้มตราประทับสีดำ หนวดเคราถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา ดูแล้วอ่อนเยาว์ลงไม่น้อย ใบหน้านั้นก็หล่อเหลาพอสมควรเลยทีเดียว 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าบนตาขวาของเขามีแผลเป็น ก็จะยิ่งดูมีราศีเทพเซียนเข้าจริงๆ 

 

 

ฮิ ฮิ ฮิ ยังคงเป็นเหล่าบรรดานักพรตลูกศิษย์ที่หน้าตางดงามดุจดอกไม้หน้าดูมากกว่า แต่ละคนละอ่อนใสขนาดจะคั้นน้ำออกมาได้ รอยแต้มสีขาวรูปกลีบดอกไม้บนหน้าผากยิ่งส่งเสริมเหล่านักพรตน้อยให้มีราศีของเซียนวิเศษมากกว่าเดิม 

 

 

ทุกครั้งที่พวกเขาก้าวเดิน บรรยากาศรอบๆ ตัวก็เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานขึ้นมา 

 

 

ตู๋กูจุนนำทางนักพรตอู๋เจินและเหล่าลูกศิษย์ของเขามาถึงใจกลางผู้คน จากนั้นก็ยกดาบใหญ่ของเขาขึ้นมาเฝ้าพิทักษ์อยู่เบื้องหน้าน้องสาวของตนเอง 

 

 

เช้าวันนี้ น้องเล็กสั่งให้เขาไปเชิญตัวนักพรตอู๋เจินมา แต่เพราะเจ้านักพรตผู้นี้ดื้อดึงไปสักหน่อย ทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองกำลังไปพอสมควรจึงจะสามารถนำตัวมาได้ ช่างเสียเวลาจริงๆ 

 

 

ดูจากสภาพการณ์ตรงหน้า น้องเล็กคงจะกำลังถูกไอ้พวกจิตใจชั่วช้าวางแผนเล่นงานเข้าแล้ว 

 

 

“โอ้ เง็กเซียนของข้า~” นักพรตอู๋เจินพยายามเก็ยอาการตื่นเต้นของตนเอง เขาเดินไปจนถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน ถวายคำนับนางครั้งหนึ่ง “ขอไทเฮาทรงพระเจริญ ข้านักพรตขอถวายพระพร” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอุ้มซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ ยิ้มให้เขาน้อยๆ “อู๋เจินน้อย ไม่ต้องมากมารยาท” 

 

 

อู๋เจิน “……” ให้ดูอย่างไรเขาก็น่าจะแก่กว่าไทเฮาน้อยหลายปีอยู่มั้ง? 

 

 

แต่ว่าพอคิดดูอีกที หากว่ากันตามพลังความสามารถละก็ ไทเฮาน้อยตรัสเรียกเขาเช่นนี้ ก็ไม่มีปัญหาใดเลยสักนิด 

 

 

ตัวเขาเองก็ย่อมยินดีอยู่แล้ว 

 

 

ผู้คนที่อยู่ด้านข้างต่างก็ตกตะลึงกันไปแล้ว ท่านนักพรตผู้นี้ก็คืออู๋เจินจริงๆ? ท่านนักพรตอาวุโสผู้สูงส่งแห่งอารามเทียนเก๋อกวน? 

 

 

ไยเขาจึงให้ความเกรงอกเกรงใจกับตู๋กูซิงหลันถึงเพียงนี้? 

 

 

ไม่รอให้ผู้คนทั้งหลายได้แสดงปฎิกริยาออกมา อู๋เจินก็มองไปยังซุ่นเออร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน “นี่คือท่านหญิงน้อยกระมั้ง ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอแต่กำเนิด แต่ว่าบุญบารมีกลับสูงส่ง ได้รับความเมตตาจากไทเฮา ใช้พระโลหิตของพระองค์ช่วยนางหล่อเลี้ยงดวงจิตของคนในครอบครัว นับเป็นพระมหากรุณา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่” 

 

 

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์พากันตื่นตะลึงกว่าเดิม 

 

 

ความหมายในคำพูดของท่านนักพรตอู๋เจินก็คือ ไทเฮามิได้ส่งเป็นนางปีศาจ แต่ยังดีต่อท่านหญิงน้อยอย่างยิ่ง 

 

 

“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน มิใช่ว่านางทำไปเพื่อปลอยเด็กเท่านั้นหรอกหรือ ก็แค่ปลูกต้นเหมยลงไปตรงไหนก็ได้สักต้น นับเป็นความยิ่งใหญ่ที่ใด?” รองมหาเสนาฯ ฟู่ขมวดหัวคิ้ว เขาไม่เคยได้พบกับอู๋เจินมาก่อน และไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอม หากว่าคนผู้นี้เกิดเป็นตัวปลอมที่ตู๋กูซิงหลันพามาย้อมแมวขายเพื่อช่วยเหลือตัวนางละ? 

 

 

“ถึงขนาดใช้โลหิตจากหัวใจของตนเองเพื่อสร้างยันต์ เพื่อให้ความปรารถนาของท่านหญิงน้อยสำเร็จผล พระทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าใต้เท้าเองก็คงมิอาจเทียบได้” อู๋เจินประกบสิบนิ้วประนม กล่าวสรรเสริญเง็กเซียนอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

“เฮอะ เฮอะ นางมีความสามารถเช่นนี้ที่ไหนกัน ยังจะสามารถเรียกดวงจิตได้ด้วยหรือ?” ท่านรองฟู่ยิ้มอย่างเย็นชา “เห็นอยู่ชัดๆ ว่านักพรตอย่างเจ้าเอาแต่พูดจามั่วซั่ว คิดจะหลอกลวงพวกเราละสิ” 

 

 

อู๋เจิน “…..” แม่งเอ้ย ข้านักพรตอยากจะระเบิดอารมณ์นัก! 

 

 

ไม่เห็นหรือไงว่าข้าถูกตู๋กูจุนผู้นั้นคุมตัวมา? 

 

 

ตาบอดหรือไงฟะ มองไม่เห็นดาบเล่มใหญ่นั่นบ้างหรือยังไง? 

 

 

ท่านรองฯ ฟู่พึ่งจะกล่าวจบ ตู๋กูซิงหลันก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ตาเฒ่าฟู่ เมื่อครู่เจ้ายังเรียกเราว่าเป็นนางมารอยู่เต็มปากแท้ๆ แล้วทำไมพอตอนนี้เราจะเขียนยันต์เป็นบ้างก็ไม่ได้? ในโลกนี้ไหนเลยจะมีนางมารที่อ่อนด้อยขนาดนั้นกัน?” 

 

 

“เอาเถอะ เอาเถอะ เอาเถอะ เรื่องที่เจ้ามันไม่รู้อะไรเลยก็มิใช่ว่าพึ่งจะเป็นแค่วันสองวันนี้ เราจะไม่โทษว่าเจ้าแล้วกัน เพราะขนาดให้เลือกไข่มุกเจ้ายังไปเลือกเอามูลสัตว์ออกมาเลย ที่พูดจาโง่ๆ ออกมาก็คงเป็นเพราะคิดอยากจะลองพนันเอาชนะดูละสิ” 

 

 

คำพูดของนางทำเอาใบหน้าของท่านรองฯ ฟู่แสบร้อนราวกับโดนไฟเผา เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานมากแล้ว นังปีศาจนี่ยังจะจดจำอยู่อีก! 

 

 

เมื่อผู้อื่นถูกนางกระตุ้นเตือน สายตาที่มองไปยังท่านรองฯ ฟู่ก็เปี่ยมไปด้วยความสงสัย 

 

 

ยังคงเป็นเสียนไท่เฟยที่ออกมาช่วยแก้สถานการณ์ นางกระโดดออกมาลงมือด้วยตนเอง “ข้าเห็นไทเฮาเติบโตขึ้นมาโดยตลอด แต่ไม่รู้เลยว่าพระนางมีความสามารถในวิชาเซียนเช่นนี้มาก่อน ช่างหน้าประหลาดใจจริงๆ” 

 

 

“แต่เสียนไท่เฟยก็ทรงทราบ ว่าเรานั้นเป็นคนเฉลียวฉลาด มิว่าสิ่งใดแค่เรียนก็สามารถทำได้หมด” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้ม มองไปทางอู๋เจิน “หลังจากที่ได้ไปกราบไหว้สุสานของท่านย่ามา เขาก็กราบท่านนักพรตอู๋เจินผู้นี้เป็นอาจารย์ ด้วยคิดจะเรียนรู้วิชาปราบภูติผีปีศาจให้พอเป็นบ้าง จะได้มีโอกาสทำงานรับใช้บ้านเมือง” 

 

 

“พวกเจ้าเองก็รู้ดี ว่าตระกูลตู๋กูของข้าจงรักภัคดีขนาดไหน แต่ละคนล้วนทำเพื่อฝ่าบาท ล้วนเป็นวีรษุรุษที่ถือดาบฟาดฟันเพื่อแคว้นต้าโจว ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพียงสตรี ไม่อาจร่วมออกรบได้ แต่ก็ยินดีจะเรียนรู้บางสิ่ง เพื่อต้าโจวแล้วแม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต!” 

 

 

พอพูดถึงตรงนี้ ลมหายใจของนางก็สงบนิ่ง ผู้คนทั้งหลายที่มัวแต่ตกตะลึงต่างก็เริ่มจะเชื่อถือขึ้นมาแล้ว 

 

 

ดูสิสายพระเนตรของไทเฮาเป็นประกายถึงขนาดนี้ ดูราวกับว่าเป็นแม่ทัพหญิงที่ฟาดฟันศัตรูเพื่อแผ่นดินก็มิปาน ไหนเลยจะมีลักษณ์ของนางมารได้กัน 

 

 

ภายในเรือน จีเฉวียนที่ขยับพระองค์พอลุกขึ้นมาได้ก็พอจะนั่งได้อยู่บ้าง จากมุมของพระองค์สามารถมองเห็นเพียงแค่เงาหลังของตู๋กูซิงหลัน เท่านั้นเอง แต่ถึงจะเป็นเพียงเท่านี้ พระองค์ก็ยังทรงรู้สึกว่า ยามนี้เงาของสตรีผู้นี้ยังสูงสง่ากว่าผู้อื่นมากนัก 

 

 

นาง…..คิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ? 

 

 

ตู๋กูเจี๋ยยืนอยู่ด้านข้าง รู็สึกอับอายอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ไม่นาน น้องเล็กพึ่งจะมาปรึกษาหารือเรื่องที่จะก่อกบฎกับเขา 

 

 

นี่มัน…. 

 

 

“ไทเฮาทรงตรัสได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเราทั้งบ้านล้วยเป็นผู้จงรักภัคดีแล้วกล้าหาญ ในเมืองหลวงมีปีศาจออกอาละวาด น้องเล็กเป็นถึงไทเฮา แต่ก็ยังยินดีขอร่ำเรียนวิชาพรตจากท่านนักพรตอู๋เจิน ความจริงใจเช่นนี้ ฟ้าดินย่อมรับรู้!” ตู๋กูจุนกระชับดาบ กวาดสายตาเย็นชาไปทางรองมหาเสนาฯ ฟู่ “หากว่ามีความสามารถพวกเจ้าก็ไปเสาะหาอาจารย์กราบเรียนวิชามาบ้างเป็นไง อย่าได้รู้จักแต่กระโดดโลดเต้นอยู่ตรงนี้!” 

 

 

เขากล่าวแล้วก็หันไปมองอู๋เจินครั้งหนึ่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็หันไปยิ่งให้กับเขาเช่นกัน “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าเรามีพรสวรรค์หรือไม่?” 

 

 

อู๋เจินตอนนี้ถึงกับชาไปทั้งตัวแล้ว 

 

 

ให้ฟ้าผ่าตายเถอะ เขามีคุณสมบัติใดจะป็นอาจารย์ของไทเฮาน้อยได้กัน? 

 

 

หากว่าจะให้พูดออกมาให้ได้ละก็ อย่างดีเขาก็คงเป็นได้แค่เจ้าที่เจ้าทาง ที่ถูกท่านเซียนบนสวรรค์ชั้นเก้ากราบเป็นอาจารย์ นี่มันเท่ากับทอนอายุให้สั้นลงแท้ๆ เชียวนะ! 

 

 

เง็กเซียนของข้าเอ๋ย เขาอยากจะคุกเข่าลงไปพบพื้นเรียกนางเป็นบรรพชนมากกว่า! 

 

 

แต่พอเห็นไทเฮาน้อยมองมาด้วยรอยยิ้มที่มุ่งมั่น อู๋เจินก็พลันรู้สึกขนอ่อนลุกไปทั้งร่าง ได้แต่สวดลูกประคำในมืออยู่ในใจ ค่อยกล่าวออกมาว่า “องค์ไทเฮาทรงมีพรสวรรค์อันล้ำเลิศ ทั้งยังยอมฝึกฝนอย่างยากลำบาก เมื่อข้านักพรตถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้ พระนางก็เรียนรู้ไปจนถถึงขั้น…..” 

 

 

ลำดับชั้นยังไม่ทันจะกล่าวออกมาจากปาก ก็เห็นสายพระเนตรของไทเฮาพลัยแปรเปลี่ยนไป สื่อความหมายตักเตือนอย่างชัดเจนออกมา 

 

 

ไทเฮาน้อยซุกซ่อนพระองค์เอาไว้อย่างมิดชิด ย่อมต้องมีพระประสงค์มิให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าพระนางมีความสามารถสูงส่งเทียมฟ้าขนาดไหน 

 

 

ทำเอาอู๋เจินตื่นตัวจนต้องรีบเปลี่ยนคำพูดไปในทันที “เรียนสำเร็จไปสองสามส่วน ในบรรดาศิษย์ที่ข้าสั่งสอนด้วยตนเอง นับว่ายอดเยี่ยมอย่างที่สุด!” 

 

 

พออู๋เจินกล่าวออกมาเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายก็พากันตื่นตะลึงไป “อะไรนะ?” 

 

 

อู๋เจินผู้นี้ จะอย่างไรก็เป็นถึงหนึ่งในสามผู้อาวุโสแห่งอารามเทียนเก๋อกวน ฟังมาว่าเขามีความสามารถถึงขนาดเรียกฟ้าเรียกฝนได้แล้ว ย่อมต้องเก่งอย่างแน่นอน 

 

 

แต่ตู๋กูซิงหลันกลับสามารถเรียนรู้วิชาของเขาได้ถึงสามส่วนในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ? 

 

 

นี่มันความสามารถระดับปีศาจอันใดแล้ว! 

 

 

คราวนี้ สายตาที่ทุกผู้คนมองไปยังตู๋กูซิงหลันถึงกับเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดูท่าพวกเขาจะมองไทเฮาน้อยผิดไปแล้วจริงๆ? 

 

 

นางไม่เพียงแต่มิใช่นางปีศาจ แต่ยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้อยากยิ่งในต้าโจว?