ตอนที่ 111 ชนแลมโบกินี่พังเสียแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลันกอดซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ พลางยืดตัวขึ้นตรงดุจพู่กันแท่งหนึ่ง วางท่าเสมือนว่านางทั้งเก่งทั้งเท่ห์อย่างเต็มที่ 

 

 

เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกอุ้มไว้ยังไม่ลืมปิดทองให้นางอย่างเต็มที่ “ท่ายย่าน้อยของข้าเก่งที่สุดอยู่แล้ว เก่งยิ่งกว่าเซียนหญิงคนไหนๆ อีก! “ 

 

 

จากนั้นเด็กหญิงตัวน้อยก็ยกนิ้วขึ้นมา ชี้ใส่รองมหาเสนาฯ และพวก “ท่านย่าน้อย พวกเขาทำร้ายท่านพ่อของซุ่นเอ๋อร์จนตาย ซุ่นเอ๋อร์จะให้พวกเขาชดใช้! “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองออกไปได้แต่ยิ้มอ่อนให้กับรองมหาเสนาฯ และเสียนไท่เฟย “ทั้งสองท่าน ก่อนหน้านี้เราได้เตือนพวกท่านแล้ว ต้นเหมยต้นนี้ล้ำค่าเหลือคณา ไม่อาจกระทบได้โดยง่าย ของขวัญที่เราตั้งใจจะมอบให้ท่านหญิงเนื่องในวันแต่งตั้งกลับถูกพวกท่านทั้งสองทำลายจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว และนี่ยิ่งเป็นความต้องการของท่านหญิงน้อยเอง พวกท่านก็ชดใช้เสียเถอะ” 

 

 

สายตาของทั้งเสียนไท่เฟยและรองมหาเสนาฯ ต่างก็มืดครึ้มลง 

 

 

” ผู้หนึ่งเป็นไท่เฟยที่ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมสูงส่ง ผู้หนึ่งก็เป็นถึงรองมหาเสนาบดีในราชสำนัก คงไม่ใช่ว่าความกล้าจะยอมรับแค่นี้ก็ยังไม่มีกระมัง? ” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็น นางหันไปมองดูต้นเหมยต้นนั้นพลางยู่ปาก “จุ๊ๆ ดอกเหมยบนต้นถูกสะเทือนเสียจนร่วงลงมาเกือบหมด แม้แต่รากยังถูกกระชากขาดถึงเพียงนี้ ช่างตายอย่างน่าเสียดายจนเราปวดใจจริงๆ “ 

 

 

“แงๆๆ ท่านพ่อตายอย่างน่าอนาถนัก! ” ซุ่นเอ๋อร์เองก็น้ำตาร่วงเช่นกัน 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “………” นั่นมันจะอย่างไรก็แค่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ใช่ผีท่านพ่อเสียที่ไหนกัน! 

 

 

องค์หญิงใหญ่มองตามไป พอซุ่นเอ่อร์ปลอดภัยไร้เรื่องราว นางก็สงบสติลงเยือกเย็นได้ ก่อนหน้านี้เพราะความเจ็บปวดจากความคิดที่ว่าได้สูญเสียธิดารักไป จึงได้บดบังสติปัญญาของนางไปสิ้น ยามนี้เมื่อมาคิดดูให้ละเอียดละออ ถึงได้รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกหลอกใช้เสียแล้ว 

 

 

มีคนคิดจะหลอกใช้นางและซุ่นเอ๋อร์มาให้ร้ายไทเฮา 

 

 

คนผู้นั้นต่างหากถึงจะเป็นฆาตกรควักหัวใจ ดื่มโลหิต ที่แท้จริง 

 

 

และเมื่อมองดูต้นเหมยที่ ‘ชอกช้ำปางตาย’ ต้นนั้น ก็ยิ่งทำให้คิดถึงราชบุตรเขยขึ้นมา……. 

 

 

ไม่ว่าเรื่องอักขระดึงดูดดวงจิตนี้จะเป็นจริงหรือไม่ ต้นเหมยต้นนี้ก็คือความหวังและความคะนึงหาของซุ่นเอ๋อร์ แต่กลับถูกผู้คนทำลายลงเช่นนี้ นางเองก็ไม่อาจจะทนได้เช่นกัน 

 

 

ดวงเนตรของนางปรากฎเส้นเลือดขึ้นมา นางคว้าดาบขึ้นมาเดินถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน คราวนี้ย่อมไม่ใช่การหันดาบเข้าใส่ตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว 

 

 

ภายใต้สายตาของผู้คนทั้งหลาย ดาบนั้นก็ชี้เข้าใส่ท่านรองมหาเสนาฯ และเสียนไท่เฟย ” ขอทั้งสองท่านชดใช้มา! เดี๋ยวนี้เลย! “ 

 

 

เสียนไท่เฟยสีหน้าซีดขาว รองมหาเสนาฯ ก็ท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 

 

 

” ก็แค่ต้นเหมยต้นหนึ่งไม่ใช่หรือ ไยจะต้องจริงจังถึงเพียงนี้……” รองมหาเสนาฯ ขมวดคิ้วมุ่น เขาเองก็คาดไม่ถึง เหตุการณ์เบื้องหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ทุกคนต่างก็พึ่งจะร่วมมือกันจัดการนางปีศาจตู๋กูซิงหลันนั่นไม่ใช่หรือ? 

 

 

ทำไมเพียงชั่วแวบเดียวกลับหันหอกกลับมาใส่เขาและเสียนไท่เฟยได้กัน? 

 

 

“ไทเฮา เสียนไท่เฟยจะอย่างไรก็เคยดูแลท่านดุจมารดาแท้ๆ มาก่อน ก่อนหน้าเมื่อครู่ก็เพียงแต่ร้อนใจเพราะเกรงว่าท่านหญิงน้อยจะเกิดเรื่องเท่านั้นเอง ท่านจะทำเป็นไม่รู้จักบุญคุณได้อย่างไร หนี้เล็กๆ เพียงแค่นี้ก็จะต้องคิดให้ได้? ” รองมหาเสนาฯ คิดจะใช้ความฉลาดเจ้าเล่ห์ของตนเอาตัวรอดอย่างสวยงาม “ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อท่านมีความสามารถมากนัก ก็ปลูกต้นเหมยให้ท่านหญิงน้อยใหม่อีกครั้งก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ? “ 

 

 

คราวนี้ตู๋กูซิงหลันอยากจะหัวเราะบ้างแล้ว ไม่พบกันเพียงไม่นาน ความสามารถในเชิงไร้ยางอายของท่านรองมหาเสนาฯ ถึงกับงอกเงยเพิ่มขึ้นแล้ว 

 

 

ไอ้ความคิดประเภทที่ว่า ‘ในเมื่อเอ็งร่ำรวยนัก ถึงพวกข้าจะชนแลมโบกินี่ของเอ็งพังไปแล้ว เอ็งก็ไปซื้อใหม่อีกคันดิ ทำไมจะต้องมาตามจี้เอากับพวกจนๆ แบบตรูด้วย’ 

 

 

ช่างกล้าคิดกล้าทำกันออกมาได้นะ! 

 

 

นางมองดูด้วยสายตาเย็นชา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก พลันได้ยินสุรเสียงของฮ่องเต้ที่รับสั่งอออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ” เหลวไหลสิ้นดี! “ 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึงไปแล้ว ต่างก็รีบหันไปมองดูด้านในห้อง แม้จะได้ยินแต่เสียงโดยไม่เห็นหน้า แต่ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าคล้ายคลึงกับ…..ฮ่องเต้? 

 

 

ยามนี้พวกเขาถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนหลี่กงกงและเหล่าองครักษ์ของวังหลวงต่างก็น้อมรออยู่ที่ระเบียงยาวนี้ตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

ตอนแรกพวกเขาคิดกันว่าหลี่กงกงและเหล่าราชองครักษ์มารอเฝ้าไทเฮา คิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้เองก็เสด็จมาแล้ว? 

 

 

อีกทั้งยังประทับอยู่ในห้องส่วนตัวของไทเฮาอีกด้วย? 

 

 

แสดงว่าเมื่อครู่ที่พวกเขาพากันอึกทึกครึกโครมกันอยู่ที่ด้านนอก ฮ่องเต้กลับทรงประทับดูงิ้วนี้อยู่ด้านใน? 

 

 

” นี่เท่ากับว่าเห็นผู้อื่นเป็นลิงเป็นค่างกันหมดหรือไง เขากลับดูงิ้วอย่างสนุกสนาน” มีแต่หยวนเฟยที่กล้าส่งเสียงเบาๆ ด้วยความแค้น 

 

 

เจ้าฮ่องเต้ผู้นี้ เขามันไม่ใช่คน! 

 

 

มีอย่างที่ไหนปล่อยให้แม่ของตนเองออกมาสู้ศึกตีฝีปากอยู่เพียงผู้เดียวกัน? 

 

 

พอเรื่องราวคลี่คลายลงไปกว่าครึ่ง หึ เขาถึงได้โผล่ออกมา 

 

 

หยวนเฟยวิจารณ์เขาอย่างเผ็ดร้อนอยู่ภายในใจ 

 

 

หลี่กงกงที่รอคอยอยู่นานจนดอกไม้แทบจะจะร่วงลงมาหมดแล้ว ก็รีบพาเหล่าองครักษ์เข้าไปด้านใน ทั้งยังส่งเสียงคร่ำครวญอย่างยืดยาวรอบหนึ่ง “ฝ่าบาทพะยะค่ะ~” 

 

 

พอเข้าไปข้างในห้องเขาถึงได้เห็นว่าฝ่าบาทเหงื่อท่วมองค์ พระพักตร์ดำคล้ำ นอนเอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ที่ด้านข้างของเก้าอี้ยังมีแตงหวานจานใหญ่ที่ยังเสวยไม่หมดอยู่ด้วย 

 

 

หลี่กงกงรีบร้อนเข้ามาก็ปากไว “ฝ่าบาท พระองค์ทรง…..ปวดเบาใช่ไหมพะยะค่ะ? 

 

 

เขาเคยฟังมาว่า แตงหวานกินมากเกินไปทำให้ปวดปัสสาวะได้ง่าย 

 

 

ไม่น่าละเมื่อครู่ฝ่าบาทถึงได้ไม่ทรงยอมรับสั่ง จะต้องเป็นเพราะทรงรู้สึกไม่สบายท้อง คิดจะเข้าห้องน้ำ แต่กว่าไม่สะดวกพระทัยจะตรัสออกมา 

 

 

” เจ้าหุบปากให้เราเดี๋ยวนี้! ” จีเฉวียนทรงไม่เข้าพระทัยจริงๆ ว่าทำไมตนเองถึงได้ยอมเลี้ยงดูบ่าวที่โง่เหมือนหมูอยู่ได้! 

 

 

ตรัสแล้ว พระองค์ก็มีรับสั่งให้กับเหล่าราชองค์รักษ์ “พาเราออกไป ไปพร้อมๆ กับเก้าอี้นี่ด้วย! “ 

 

 

เหล่าองครักษ์ทั้งหลายต่างหน้าตาเลิ่กลั่ก ต่างก็แอบคิดในใจว่าฝ่าบาทยิ่งทียิ่งรู้จักตบตาแล้ว 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างเห็นเพียงแต่ฮ่องเต้ทรงถูกเหล่าองครักษ์ยกออกมาจากภายในห้อง เก้าอี้กุ้ยเฟยที่สวยงามและดูภูมิฐานนั้นช่างเตะตาเหลือเกิน 

 

 

เมื่อรวมเข้ากับฉลองพระองค์ที่หรูหรางดงามของฝ่าบาทแล้ว ก็ดูกลมกลืนกันอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“ถวายพระพรฝ่าบาท! ” ผู้คนทั้งหลายต่างคุกเข่าลงไปในทันที เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ช่างเกินกว่าจะจินตนาการเสียจริงๆ 

 

 

ฮ่องเต้ผู้ทรงสูงศักดิ์หาใดเทียบ ได้แต่ทนต่อความเจ็บปวดที่ยังไม่ยอมจางหายไป โบกพระหัตถ์ให้คนทั้งหลายได้ลุกขึ้นมา 

 

 

หัวเข่าชราของท่านรองมหาเสนาฯ มักจะมีปัญหา เขาลุกขึ้นมาเกือบจะเป็นคนสุดท้าย พอเขาพึ่งจะยันหัวเข่าได้ ก็ถูกฝ่าบาทเรียกเอาไว้เสียก่อน “รองมหาเสนาฯ ในเมื่อเจ้าชอบคุกเข่านัก ถ้างั้นก็คุกเข่าต่อไปอีกสักพักเถอะ เราเข้าใจจิตใจที่ภักดีของเจ้า” 

 

 

ท่านรองมหาเสนาฯ ที่ลุกขึ้นได้ครึ่งหนึ่งแล้ว “??? “ 

 

 

แต่ว่าฮ่องเต้กลับทรงไร้น้ำใจยิ่งนัก สายพระเนตรที่ทอดมองเขาเพียงแวบเดียวนั้นแทบจะทำให้ตัวของเขากลายเป็นแท่งน้ำแข็งไป 

 

 

ขาทั้งสองข้างของเขาอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ เพียงครู่เดียงก็คุกเข่าลงไปใหม่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเจ้าลูกชายตัวร้ายที่นั่งอยู่ด้านข้างของนาง เพียงครู่เดียวก็คิดไขปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ไม่ออกมาก่อนไม่ออกมาหลัง กลับจะออกมาตอนที่นางกำลังต่อรองค่าชดใช้ แน่นอนว่าต้องคิดจะมาแบ่งสมบัติ …….หึ คิดจะริบเอาทรัพย์สินของนางอีกแล้ว! 

 

 

“ท่านน้าฮ่องเต้ ” พอซุ่นเอ๋อร์มองเห็นจีเฉวียน ก็เรียกออกไปเบาๆ แต่ไหนแต่ไรมานางก็มีความกลัวเกรงท่านน้าผู้นี้อยู่บ้าง ยามปกตินางย่อมไม่กล้าเข้าใกล้เขา นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางได้เข้าเฝ้าและมองดูท่านน้าผู้สูงศักดิ์อย่างใกล้ชิดเพียงนี้ นางอดรู้สึกไม่ได้ว่า ท่านน้าและทานย่าน้อยช่างดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง 

 

 

ต่างก็งดงามหน้าดูเป็นพิเศษ! 

 

 

พอได้ยินเสียงของซุ่นเอ๋อร์ จีเฉวียนก็ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยากที่จะหาได้ พระพักตร์ที่เย็นชาดุจน้ำแข็งพันปีก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย “เด็กดีที่เชื่อฟัง น้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง จะให้พวกเขาชดเชยท่านพ่อให้เจ้าอย่างแน่นอน” 

 

 

“อืม เจ้าค่ะ” ซุ่นเอ๋อร์พยักหน้า “ขอบพระทัยท่านน้าฮ่องเต้เพคะ! “ 

 

 

พอนางพูดจบแล้ว ก็เห็นจีเฉวียนทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาจับชายลูกปัดบนพระมาลา จากนั้นก็หันไปมองรองมหาเสนาฯ รอบหนึ่ง “ต้นเหมยต้นนั้นดูดซับจิตวิญญาณธรรมชาติบนเขาชิงซานมากว่าร้อยปี ไทเฮามาขอร้องเราด้วยพระองค์เอง รองมหาเสนาฯ เจ้าลองค่อยๆ คิดคำนวนดู ว่าจะชดใช้อย่างไรเถอะ” 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็ได้แต่มองดูต้นเหมยที่หนากว่าข้อมือของเด็กหญิงอยู่เล็กน้อย 

 

 

ฝ่าบาท? ต้นไม้นั้นดูยังไงก็คงมีอายุไม่เกินห้าหกปี ที่บอกว่ามีมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน ทั้งยังมีจิตวิญญาณคอยช่วยเลี้ยงดู คุณธรรมในจิตใจของพระองค์ไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวดบ้างเลยหรือ? “