ตอนที่ 112 ฝ่าบาททรงเข้าข้างไทเฮาอย่างเต็มที่

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ที่จริงแล้วภูเขาฮวาชิงอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงของต้าโจวมาก หากจะขนต้นไม้สักต้นมาจากที่นั่น มีหวังคงได้กลายเป็นท่อนฟืนไปตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดไปถึงตอนนั้น ที่ฝ่าบาทตรัสถ้อยรับสั่งแสบร้อนแล้วริบเอาทรัพย์สินทั้งหมดของบ้านท่านรองมหาเสนาฯ ไป 

 

 

ท่านรองมหาเสนฯ าช่างโชคร้ายเสียจริงๆ ถูกใครไถเงินไม่ว่า แต่คนผู้นั้นกลับเป็นฝ่าบาท 

 

 

ผู้ใดกล้าจะกล่าวว่าฝ่าบาททรงผิดได้บ้างละ? 

 

 

ยามนี้ท่านรองมหาเสนาฯ คุกเข่าอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านเขาคิดไปถึงว่าข้าวของในบ้านแม้แต่กระโถนฉี่ทองทำยังถูกฝ่าบาทสั่งริบไปแล้ว 

 

 

ทุกวันนี้เหล่าญาติพี่น้องที่เคยรักใคร่เขาจะเป็นจะตาย ต่างก็พากันม้วนเสื่อหนีหน้าหายไปในคืนเดียว เขาในตอนนี้นอกจากตำแหน่งขุนนางและชีวิตชราๆ แล้ว ยังจะมีอะไรเหลืออยู่อีก 

 

 

เดิมทีหนิงเอ๋อร์จะอย่างไรยังนับว่าเป็นถึงพระสนมผู้หนึ่ง ตอนนี้กลับถูกตู๋กูซิงหลันให้ร้ายจนต้องเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น บรรดาลูกน้องของตนเองพวกนั้นแต่ละคนต่างรู้ทางลมทั้งนั้น พอเห็นว่าเขาหมดอำนาจ ลูกสาวเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น แต่ละคนต่างก็คิดหาหนทางไปให้พ้นจากการควบคุมของเขา 

 

 

โดนเฉพาะบิดาของฉีผิงนับเป็นตัวอย่างอันดี ไม่มีคิดถึงบุญคุณที่เขาสนับสนุนให้ก้าวหน้ามาตลอดหลายปี เพราะเรื่องที่ฉีผิงได้รับความทรมานในคุก ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา 

 

 

พวกที่เคยขยันมาประจบประแจงเขาอยู่เสมอ ยามนี้ต่างก็แทบจะรีบออกห่างเขาให้ไกล 

 

 

หมากตานั้นของฝ่าบาท เสมือนกับการถอนฟืนจากเตาไฟ ทำลายรากฐานที่สะสมมาของเขาจนหมด 

 

 

ยามนี้ หากยังทรงจัดการกับเขา ดูท่าแม้แต่ชีวิตชรานี้ก็คงต้องจบสิ้นแล้ว? 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ท่านรองมหาเสนาฯ ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา 

 

 

เขาจะต้องรักษาหมวกขุนนางและชีวิตชราของตนเอาไว้ให้ได้ จึงจะมีโอกาสผงาดขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมยามนี้ไม่เหลือทรัพย์สินใดๆ ติดตัวอีก ต้นเหมยต้นนี้คงไม่อาจชดใช้ให้ได้แล้ว” รองมหาเสนาฯ น้ำตาร่วง “ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา รำลึกถึงความลำบากที่กระหม่อมเคยทำเพื่อต้าโจว ละเว้นกระหม่อมสักครั้งเถอะพะยะค่ะ” 

 

 

” อย่างเจ้าเคยมีผลงานที่ไหนกัน เคยไปออกรบชายแดนหรือ มีแต่จะโกงกินรีดไถบ้านเมืองมากกว่าละมั้ง? ” หยวนเฟยช่างจดจำความแค้นอยู่แล้ว ทั้งยังชอบโยนหินลงบ่ออีกด้วย นางย่อมรีบออกมาต่อว่ารองมหาเสนาฯ อย่างโกรธแค้น 

 

 

เต๋อเฟยกับนางกำนัลประจำตัวซิ่วเหอไม่ใช่เคยพูดอยู่หรอกหรือว่า นางที่ไม่มีบิดามารดาไม่มีทางเข้าอกเข้าใจความรู้สึกภาคภูมิใจของคนที่ได้ทำเพื่อบุตรธิดาหรอก นางไม่อยากรู้หรอกว่า มีบิดาอย่างรองมหาเสนาฯ เช่นนี้ มันน่าภาคภูมิใจตรงไหน 

 

 

รองมหาเสนาฯ กระอักเลือดลงไปบนอกคำหนึ่ง เขาแทบจะอยากให้สายตาของตนเองกลายเป็นดาบแทงหยวนเฟยให้ตายๆ ไปเสีย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองหยวนเฟยแว่บหนึ่ง หึ ท่าทางของนางที่ช่างจดจำความแค้นนี้ก็น่ารักดีอยู่ไม่น้อย 

 

 

ว่าแล้ว นางก็หันไปมองดูรองมหาเสนาฯ อยู่ครู่หนึ่งยกยิ้มเบาบางให้เขา 

 

 

รองมหาเสนาฯ พลันรู้สึกว่าร่างกายเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที เกิดความรู้สึกราวกับว่ากำลังตกอยู่ในสงครามขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ รอยยิ้มของนางปีศาจตนนี้ราวกับจะเอาชีวิตของเขา! 

 

 

เขารีบเบิกตาโต กลับเห็นเพียงฮ่องเต้ยังคงทำพระพักตร์ไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม อีกทั้งยังเพิ่มความเย็นชาอยู่หลายส่วน พอเห็นว่าฝ่าบาทกำลังจะตรัสออกมา เขาก็เกิดปฎิภาณวูบหนึ่ง หันศีรษะไปทางเสียนไท่เฟยที่ยืนกำร่มอยู่ด้านข้าง 

 

 

“เสียนไท่เฟยพะยะค่ะ ก่อนหน้านี้ทรงรับสั่งว่า หากมีปัญหาพระองค์จะทรงชดใช้นี่ คำพูดนั้นทุกคนล้วนได้ยินชัดเจน” 

 

 

เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่คิดจะรักษาหน้าตาอะไรอีกแล้ว หากว่ายังสามารถผลักหม้อดำออกไปได้ย่อมต้องผลักไปให้เต็มที่ แม้จะต้องล่วงเกินเสียนไท่เฟยก็ตามเถอะ จะอย่างไรต้องรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ให้ได้เสียก่อน 

 

 

พอท่านรองมหาเสนาฯ กล่าวออกไป ผู้คนทั้งหลายต่างมองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า คนที่เป็นชาติบุรุษผู้หนึ่ง กลับผลักความผิดมาให้สตรีอย่างไร้ยางอายได้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าว่าเสียนไท่เฟยจะเคยพูดเช่นนั้นจริงๆ ก็ตามเถอะ 

 

 

เสียนไท่เฟยถือร่มยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง นางทอดถอนใจยาวเหยียด ก็หันมาคำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง “ฝ่าบาท ยามนั้นหม่อมฉันกังวลในความปลอดภัยของท่านหญิงน้อยมากเกินไป ถึงได้สั่งให้นางกำนัลขุดต้นไม้ต้นนั่น เป็นหม่อมฉันหวังดีแต่กลับทำเสียเรื่อง หม่อมฉันยอมรับผิดเพคะ” 

 

 

นางยืดตัวตรง ไม่อ่อนแอแต่ก็ไม่แข็งขืน ทั้งยังมิได้แก้ต่างให้ตนเอง แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ที่แข็งแกร่ง 

 

 

ผู้คนต่างก็รู้ว่า เสียนไท่เฟยคืออดีตนางกำนัลประจำตัวของฉางซุนฮองเฮา ผู้ที่ติตามพระนางได้ย่อมไม่ธรรมดา ถึงแม้มีพื้นเพเป็นนางกำนัล แต่ความกล้าหาญเช่นนนี้ก็นับว่าไม่อาจลบหลู่ได้ 

 

 

เมื่อนางกล้ายอมรับอย่างองอาจ ก็ย่อมดูดีกว่ารองมหาเสนาฯ ผู้นั้นมากมายนัก 

 

 

ตรัสแล้ว เสียนไท่เฟยก็หันไปทางตู๋กูซิงหลันกล่าวว่า “ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้ามีอยู่ หากสามารถชดเชยให้ได้ย่อมต้องชดเชยให้ ไทเฮารับสั่งมาเถอะ ต้องการให้หม่อมฉันทำเช่นไร? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยิ้มบางๆ “ไท่เฟยกล่าวเช่นนี้ ราวกับว่าเราช่างคิดเล็กคิดน้อย เพียรตามตื้อจะเอาให้ได้” 

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับเต๋อเฟยแล้ว ตำแหน่งของเสียนไท่เฟยนับว่าสูงส่งกว่ามาก คำพูดคำจาก็รวบรัดไร้ช่องโหว่ ทั้งที่ยอมรับความผิด กลับสามารถทำให้ผู้คนต่างรู้สึกว่านางมิได้กระทำผิดในที่ใด อีกทั้งยังมีน้ำใจองอาจกล้าทำกล้ารับ 

 

 

คนผู้นี้ยังสามารถทำให้ผู้คนต่างเห็นอกเห็นใจนาง ใช่สิ อย่างมากก็เป็นเพียงแค่หวังดีแต่กระทำพลาดไปเท่านั้น 

 

 

เหล่าผู้คนที่เกลียดนางเป็นทุนเดิมต่างก็คิดหัวเราะเยาะนาง ตู๋กูซิงหลันทำเช่นนี้ยังไม่เรียกว่าคิดเล็กคิดน้อยอีกหรือ ก็แค่ต้นไม่เพียงต้นเดียวกลับต้องฟ้องร้องเสียจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต 

 

 

เรื่องนี้อย่างมากก็เป็นแค่การสร้างเครื่องรางเท่านั้น เครื่องรางนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ใครจะไปรู้กัน 

 

 

เพียงแต่พวกเขาในตอนนี้ยังไม่มีความกล้า และไม่คิดจะเสี่ยงไปหาเรื่องตู๋กูซิงหลันก็เท่านั้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่ได้หาเรื่องสร้างความยากลำบากใดให้กับเสียนไท่เฟย กลับเห็นฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตรหงส์จ้องมองไปทางเสียนไท่เฟย “เป็นหนี้ต้องคืนเงิน ฆ่าคนก็ชดใช้ชีวิต ทำลายสิ่งของย่อมต้องชดใช้ นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองก็เป็นคนเอ่ยปากเองว่าจะชดใช้ให้” 

 

 

“ในเมื่อให้สัญญาไปแล้วว่าจะชดใช้ ก็กระทำให้ชัดเจนเสียหน่อย รีๆ รออยู่ได้เพื่ออะไร? “ 

 

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ไทเฮาทุ่มเทเวลาและจิตใจไปตั้งเท่าไหร่เพื่อตระเตรียมของขวัญสำหรับพิธีแต่งตั้งให้ซุ่นเอ๋อร์ หากไม่ใช่ว่านางไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วเจ้าจะมาไม่ได้รับความเป็นธรรมตรงไหนกัน? “ 

 

 

พระดำรัสนี้กล่าวออกไปอย่างไร้เยื่อไย ราวกับว่าสตรีตรงเบื้องพระพักตร์มิใช่ไท่เฟยที่สูงศักดิ์มาจากไหน หากแต่เป็นเพียงนางกำนัลธรรมดาผู้หนึ่ง 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างคาดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะทรงให้ท้ายไทเฮาถึงเพียงนี้ 

 

 

ถึงแม้ว่า….ในพระดำรัสของฝ่าบาทจะฟังดูแล้วไม่มีสิ่งใดที่ผิด แต่ว่าในใจของพวกเขาต่างก็ยึดถือเอาไว้แต่แรกแล้วว่าตู๋กูซิงหลันเป็นตัวหายนะ เป็นนางปีศาจ 

 

 

เมื่อพูดถึงผู้ที่ในใจตนมีความเกลียดชังอยู่แต่เดิมนั้น อารมณ์ย่อมอยู่เหนือเหตผลทั้งมวลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าตู๋กูซิงหลันจะกระทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่คิดจะชื่นชม 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็แอบชะงักไปแล้ว นางมิใช่คนโง่ ย่อมต้องดูออกมาเจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังออกหน้าปกป้องนาง 

 

 

ช่างไร้สาระ เขาจะไม่ปกป้องนางได้หรือ? 

 

 

เจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังคิดถึงค่าตอบแทนที่เกินกว่าจะนับมูลค่าได้นั่นต่างหากเล่า? 

 

 

มันก็เป็นแค่ยืนอยู่ฝ่าเดียวกันเพื่อผลประโยชน์ชั่วคราวเท่านั้น เขาที่เป็นพ่อไก่ขนเหล็ก เพียงแค่พูดจาไม่กี่ประโยคก็ได้รับผลประโยชน์แล้ว ย่อมจะต้องยินดีแน่ 

 

 

ตู๋กูจุนลองจับสังเกตจีเฉวียน ยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้นว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังคิดไม่ดีกับน้องเล็ก 

 

 

เสียนไท่เฟยชะงักงันอยู่ชั่วครู่ การปฎิบัติที่จีเฉวียนมีต่อนางนั้นนางไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย เพราะตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ทรงมองนางเป็นเพียงนางกำนัลประจำตัวฉางซุนฮองเฮาเท่านั้น 

 

 

เพียงแต่นางกำลังแปลกใจที่เขาปกป้องตู๋กูซิงหลันถึงขั้นนี้ 

 

 

ทำไมท่าทีที่เขามีต่อตระกูลตู๋กูถึงได้แปรเปลี่ยนไป? หรือว่าเขาลืมไปแล้วว่าฉางซุนฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปได้อย่างไร? 

 

 

พอนางได้เห็นว่าตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนกำลังสุมหัวอยู่ด้วยกัน ทั้งยังดูกลมกลืนอย่างไร้ที่ติ เสียนไท่เฟยพลันรู้สึกว่านางกำลังคำนวนสิ่งใดพลาดไปหรือไม่ 

 

 

” ฝ่าบาททรงสั่งสอนถูกต้องแล้วเพคะ เป็นหม่อมฉันกล่าวมากเกินความไปเอง ” เสียนไท่เฟยย่อมมีความสามารถคาดเดาจิตใจผู้คนเหนือธรรมดา “ไทเฮาทรงเอ่ยปากทั้งที ไม่ว่าทรัพย์สินเงินทองใดๆ แม้ต้องขายบ้านช่องจนหมดหม่อมฉันก็จะชดใช้ให้ท่าน” 

 

 

ทันทีที่นางออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ตอกย้ำกับนางว่า ” ไท่เฟย ไม่ใช่ชดใช้ให้ข้า แต่ว่าชดใช้ให้กับท่านหญิงน้อยต่างหาก”