ตอนที่ 113 สุนัขกัดกัน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

” บิดาย่อมล้ำค่า ภูเขาเงินภูเขาทองใดๆ ก็ชดใช้ไม่ได้! ” ซุ่นเอ๋อร์ทำแก้มพองทั้งสองข้าง นางโกรธขึ้นมาแล้ว “ไท่เฟยทรงคิดจะใช้เงินมาลบหลู่ท่านพ่อของข้า! “ 

 

 

เสียนไท่เฟย “……..” 

 

 

ประโยคนี้หากว่าตู๋กูซิงหลันพูดออกไปละก็ ผู้คนต่างก็ต้องคิดว่านางกำลังเสแสร้งเป็นแน่ 

 

 

แต่ว่าเมื่อเป็นท่านหญิงน้อยพูดออกมา ต่างก็คิดเพียงว่าเด็กน้อยผูกพันรักบิดาอย่างลึกล้ำ แม้แต่ภูเขาเงินภูเขาทองก็ไม่ยอมแลก 

 

 

” ไท่เฟย จวนองค์หญิงของข้าไม่ขัดสนเงินทอง ท่านอย่าได้นำสิ่งของเหล่านั้นมาฟาดหัวพวกเรา ” สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง 

 

 

ราชบุตรเขยคือความเศร้าโศกที่นางไม่อาจลบล้างไปจากหัวใจได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจยินยอมให้ผู้ใดก็ตามมาลบหลู่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนต่างก็ลอบสบตากันอยู่ชั่วแวบหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรภาษาทางสายตาของนางออกอย่างชัดเจนว่า ‘อยากจะถูกเงินทองลบหลู่’ ถึงเพียงไหน ถึงตอนนี้เขาก็ยังจดจำได้เป็นอย่างดีว่านางมีนิสัยเป็นถังปุ๋ยมาแต่ไหนแต่ไร 

 

 

เสียนไท่เฟยถูกล้อมกรอบไปทุกด้าน ทำเอานางถึงกับตรัสสิ่งใดไม่ออกไปชั่วขณะ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่จึงได้ตรัสเสียงเบาออกมาว่า “หม่อมฉันย่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น องค์หญิงและท่านหญิงต่างเข้าใจผิดไปแล้ว หม่อมฉันเพียงแต่ตั้งใจจะชดใช้ให้อย่างเต็มที่เท่านั้น” 

 

 

“จริงๆ หรือ? ” ท่านหญิงน้อยทำตาโต ถามนางออกไปอย่างใสซื่อ “เสียนไท่เฟยจริงใจหรือไม่เพคะ? “ 

 

 

เสียนไท่เฟยก็ตอบว่า “ย่อมจริงใจอย่างแน่นอน” 

 

 

ซุ่นเอ๋อร์สายตาเป็นประกาย “เช่นนั้นเสียนไท่เฟยก็ทำแบบเดียวกับท่านย่าน้อย มอบเลือดจากหัวใจให้ซุ่นเอ๋อร์หนึ่งหยด ท่านย่าน้อยอาจจะยังมีหนทาง ปลูกท่านพ่ออีกครั้ง “ 

 

 

คำพูดพอกล่าวออกไป ผู้คนต่างก็ตกตะลึงไปแล้ว 

 

 

เลือดจากหัวใจหนึ่งหยดหรือ? นี่จะทำได้อย่างไร? ตู๋กูซิงหลันสร้างอักขระดึงดูดดวงจิตใดกัน? ไยจึงต้องใช้เลือดจากหัวใจชักนำ?  

 

 

หลอกลวงกันหรือเปล่า? หากว่าใช้เลือดจากหัวใจจริงๆ นางจะสามารถยืนอยู่ตรงนี่อย่างสบายดีได้อีกหรือ?  

 

 

องค์หญิงใหญ่นิ่งตะลึงไปแล้ว นางหันศีรษะกลับไปมองดูตู๋กูซิงหลัน นาง….ทำถึงขนาดนี้เพื่อซุ่นเอ๋อร์จริงๆ หรือ?  

 

 

แต่ว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ ….ยามนี้ในใจของนางก็เกิดความละอายขึ้นแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่พูดไม่จา เพียงแต่แอบสงสายตาให้กับอู๋เจินอย่างลับๆ  

 

 

อู๋เจินก็รีบรับช่วงต่อ ยกสองมือขึ้นพนมในทันที “โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ ~ หากว่าไท่เฟยจะทรงมีน้ำพระทัยชดใช้ให้จริงๆ ก็มอบเลือดหยดหนึ่ง มารวมกับเส้นผมของท่านหญิงน้อย และกุญแจอายุมั่นขวัญยืน จากนั้นก็หาต้นเหมยที่ผ่านการสะสมไอทิพย์สักต้นหนึ่ง ให้ข้านักพรตทำพิธีสร้างอักขระดึงดูดดวงจิตลงไป ก็จะสามารถทำความปรารถนาของท่านหญิงน้อยให้สำเร็จลุล่วง” 

 

 

กระทั่งอู๋เจินยังกล่าวถึงเพียงนี้ บรรดาผู้คนที่มีใจคิดระแวงก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ 

 

 

คราวนี้นางกำนัลของเสียนไท่เฟยชิงผิงก็รีบกล่าวออกมาว่า ” พระสนมของพวกเราเป็นถึงพระสนมเอกที่อดีตฮ่องเต้ทรงโปรดปราน ร่างกายสูงค่าดั่งทองหยกไหนเลยจะให้บาดเจ็บได้? หากจะเอาเลือดจากหัวใจนี่มิใช่ว่าต้องการชีวิตของพระสนมหรอกหรือ? “ 

 

 

พอชิงผิงพูดออกไป ฮ่องเต้ก็ทรงโบกพระหัตถ์ สั่งหลี่กงกง “ตบปาก “ 

 

 

หลี่กงกงชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ฝ่าบาทมีพระอัธยาศัยไม่ดีเท่าไหร่ แต่ว่าน้อยครั้งนักที่จะจัดการนางกำนัลเล็กๆ สักคน 

 

 

เฮ่อ จะกังวลแทนพระองค์ไปทำไม ฝ่าบาทรับสั่งเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้นแล้วกัน อย่าว่าแต่เรื่องตบหน้าเนี่ย มันสะใจดีแท้!  

 

 

เขาเดินนำเหล่าองครักษ์ออกไป ให้คนจับตัวชิงผิงเอาไว้และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ตบลงไปครั้งหนึ่ง ตบเดียวนี้ทำเอาชิงผิงหน้าบวมไปทั้งใบหน้า มุมปากถึงกับมีเลือดไหลหยดออกมา 

 

 

เสียนไท่เฟยขมวดคิ้ว หัตถ์ในชายแขนเสื้อกำแน่นขึ้น เรื่องของท่านหญิงน้อยนี้ ชิงผิงทำเสียเรื่องไปแล้วก็จริงอยู่ แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นนางกำนัลที่มีศักดิ์ฐานะ ทั้งยังเป็นคนสนิทของตนเอง ฮ่องเต้สั่งให้ตบหน้าชิงผิง ก็เท่ากับว่าเสียนไท่เฟยเองก็โดนตบไปด้วยมิใช่หรือ?  

 

 

“ฝ่าบาท ชิงผิงเพียงแต่พูดจาแทนหม่อมฉันสักประโยคสองประโยค จำเป็นจะต้องสั่งสอนอย่างหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ? ” เสียนไท่เฟยจดจ้องจีเฉวียนบนเก้าอี้กุ้ยเฟย เมื่อคิดถึงว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้เดิมทีสมควรจะเป็นของเย่เอ๋อร์ของนาง ความคุกรุ่นที่เก็บกดเอาไว้นานแสนนานมาแล้ว ก็แทบจะระเบิดออกมา 

 

 

ได้ฟังดังนั้น ฮ่องเต้ก็แย้มพระโอษฐ์เยือกเย็น ใช้พระหัตถ์ซ้ายหนุนพระเศียรไว้ เอนพิงไปกับที่วางแขนบนเก้าอี้กุ้ยเฟย ดูไปทั้งงดงามและเย็นชาประหนึ่งภาพวาดทีเดียว “ในสถานการณ์เช่นนี้ มีที่ให้บ่าวรับใช้เช่นนางโต้คารมด้วยรึ? ในเมื่อไท่เฟยมิอาจสั่งสอนคนของตนเองให้ดีได้ เราก็ได้แต่กระทำแทนแล้ว” 

 

 

ว่าแล้ว เขาก็ทอดพระเนตรไปยังตู๋กูซิงหลัน “อย่าว่าแต่ ไทเฮามิใช่ว่ายิ่งสูงศักดิ์ยิ่งกว่าไท่เฟยอีกหรือ ตอนนี้ก็ยังอยู่ได้สบายดี ไม่มีปัญหาใดสักนิด? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” คำพูดนี้ทำไมฟังๆ ดูแล้ว เหมือนเจ้าลูกชายจะลากยาวออกไปนอกเรื่อง ทั้งยังสร้างความโกรธแค้นของเสียนไท่เฟยมากกว่าเดิมนะ 

 

 

เพราะแต่แรกนั้นเจ้าของร่างเดิมและพระมารดาของอี้อ๋องต่างก็ใกล้ชิดกันมาก หากว่าสามารถฉวยโอกาสนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นห่างกันมากสักหน่อย ย่อมส่งเสริมให้บัลลังก์ของเขามั่นคงได้กว่าเดิมอีกหลายส่วน 

 

 

แต่ก็ช่างเถอะ…..จะอย่างไรเสียเสียนไท่เฟยผู้นี้ก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ จะจับแยกก็แยกไปเถอะ 

 

 

เสียนไท่เฟยประทับยืนอยู่ที่เดิม ดวงเนตรที่ลึกล้ำนั้นปรากฎริ้วคลื่นขึ้นมาเลาๆ  

 

 

ในขณะนั้นเองก็พลันได้ยินรองมหาเสนาฯ ที่คุกเข่าอยู่กล่าวกับนางว่า “ไท่เฟยพะยะค่ะ ก็เพียงแค่ต้องการเลือดของท่านเพียงหยดเดียวเท่านั้น มิได้ต้องให้ท่านชดใช้ภูเขาเงินภูเขาทองสักหน่อย พระองค์ประทานให้ก็ถือว่าจบสิ้น พระองค์ก็มิได้มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์จริงๆ เสียหน่อย จะกระบิดกระบวนไปเพื่ออะไร? “ 

 

 

รองมหาเสนาฯ ตอนนี้ไม่ได้ห่วงหน้าตาใดๆ อีกแล้ว รักษาหน้าไว้ยังมีประโยชน์อะไรต่อเขาอีกเล่า?  

 

 

ดูเอาสิ ฝ่าบาทแสดงออกว่าสนับสนุนไทเฮาชัดเจนเพียงไร ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะเพิ่มแรงให้อีกสักหน่อย หากว่าช่วยรุมเสียนไท่เฟยเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเมื่อฝ่าบาทพระอารมณ์ดีขึ้นมา ก็อาจจะทรงละเว้นเขาเสียก็ได้ 

 

 

เสียนไท่เฟยใช้สายตาที่เยือกเย็นปานแท่งน้ำแข็งจดจ้องเขา สายตานั้นเย็นยะเยือกจนทำให้ท่านรองมหาเสนาฯ รู้สึกขนลุกทั่วทั้งตัวขั้นมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจับตาดูทุกสิ่งอยู่ในสายตา ภาพเช่นนี้ ราวกับว่าได้เห็นสุนัขกัดกันไม่มีผิด 

 

 

คนสองคนที่เดิมทีร่วมมือคิดจัดการนาง ยามนี้กำลังย้อนกลับมาทำร้ายกันเอง หึ…….นางอยากจะยกเก้าอี้เล็กๆ ออกมาสักตัว แล้วก็มีเม็ดแตงสักจำนวนหนึ่งนั่งแทะชมดูงิ้วฉากนี้เสียจริง 

 

 

เพียงแต่ว่ายามนี้นางไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป จึงได้ส่งสายตาให้อู๋เจินอีกครั้ง 

 

 

พอถูกสายตาประหนึ่งบรรพบุรุษที่บีบคั้นคนได้มองเข้า อู๋เจินก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา เช้าวันนี้ยามที่ตู๋กูจุนไปจับตัวเขามานั้น ได้มอบจดหมายให้เขาฉบับหนึ่ง จดหมายฉบับนั้นเป็นลายพู่กันของไทเฮาน้อยเขียนด้วยตนเอง ว่าต้องการให้เขามาช่วยเหลือสักหน่อย 

 

 

เขาก็รีบหันไปกล่าวกับเสียนไท่เฟยว่า “ข้าแต่เง็กเซียนบนสวรรค์~ ก็มิใช่ว่าจะเป็นจะต้องใช้โลหิตจาหัวใจของไท่เฟยจริงๆ ข้านักพรตย่อมจะต้องมีฝีมือกว่าลูกศิษย์อย่างไทเฮาอยู่บ้าง หากว่าไท่เฟยมีความจริงใจจะชดใช้ให้ ก็เพียงแค่สะกิดปลายนิ้ว ประทานเลือดสักหลายหยดก็นับว่าเพียงพอแล้ว” 

 

 

พูดกันถึงขั้นนี้แล้ว หากว่าเสียนไท่เฟยจะยังไม่ยินยอมอีกละก็ นี่ย่อมนับว่าเล่นตัวเกินไปจริงๆ แล้ว 

 

 

เพราะการที่ยอมถอยให้ถึงขนาดนี้ ย่อมดีกว่าตอนแรกที่จะกวาดเอาทรัพย์สินทั้งหมดของนางมา ตอนนี้คิดเป็นเงินก็เพียงเงินเหรียญสองเหรียญ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดีเข้าไปใหญ่หรอกหรือ?  

 

 

ท่านนักพรตอู๋เจินช่างเปี่ยมไปด้วยเมตตาจริงๆ  

 

 

” ไท่เฟยพะยะค่ะ พระองค์รีบประทานเถอะ เสร็จเรื่องแล้ว ฝ่าบาทจะยังมีพิธีพระราชทานตำแหน่งให้กับท่านหญิงน้อยอีก จะได้ไม่เป็นการเสียฤกษ์ไป” 

 

 

“จริงด้วย ก็แค่สะกิดนิ้วนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าจะเอาชีวิตท่านจริงๆ “ 

 

 

เพียงครู่เดียว ทั้งขุนนางและเหล่าพระสนมต่างก็เริ่มส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมา 

 

 

ยามนี้เสียนไท่เฟยก็ประหนึ่งเป็ดที่ถูดจับแขวนไว้ จะไม่ให้ก็ย่อมไม่ได้แล้ว 

 

 

นางจ้องเขม็งไปยังตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยูด้านข้างจีเฉวียน เห็นสีหน้าของนางสงบนิ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นก็มองดูนางอยู่เช่นกัน 

 

 

“พระสนม พระองค์ทรงยอมเถอะเพคะ~” ทันใดนั้น ชิงผิงที่ถูกตบปากไปเมื่อครู่ก็ยังกล่าวกับนางเช่นกัน ทั้งยังยื่นกริชเล่มหนึ่งมาให้ 

 

 

เสียนไท่เฟยจ้องดูนาง เพียงเห็นว่าชิงผิงนั้นนอกจากหน้าบวมเป็นหัวหมูแล้ว ในสายตาของนางกลับไม่มีความโกรธแค้นต่อตนเองสักน้อย 

 

 

นางถึงได้พลันรู้สึกตัวขึ้นมาว่า ตนเองตกหลุมพรางเสียแล้ว