ตอนที่ 114 นาง.....เป็นอะไรกันแน่?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นางช่างโง่เขลานัก …….ดูไม่ออกแต่แรกว่าชิงผิงนั้นมีปัญหา 

 

 

ทั้งที่ท่านหญิงน้อยมิได้ตาย แต่นางกลับนำหัวใจและเลือดสดๆ จำนวนหนึ่งกลับมา ต้นเหมยนั้นทั้งที่ไม่จำเป็นจะต้องถูกแตะต้องทำลาย นางกลับขุดมันขึ้นมาจนรากขาด กระทั่งตอนนี้ นางก็เป็นผู้ที่ยื่นกริชมาให้อีกด้วย! 

 

 

นางได้แต่โทษตนเองที่ไว้ใจชิงผิงมากเกินไป เพราะไม่ทันได้คิดระแวงจึงถูกคนที่ไว้ใจที่สุดหักหลังเช่นนี้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันใช้ฝีมืออันใดกันแน่ถึงสามารถซื้อใจของชิงผิงได้? 

 

 

“พระสนม เชิญเพคะ~” ชิงผิงยังคงประคองกริชเอาไว้ ส่งให้กับนางอย่างนอบน้อม สีหน้าดูไปเรียบเฉย แต่ในใจกลับลอบยินดีอยู่น้อยๆ ดูเอาเถอะ นางได้ช่วยเหลือท่านเซียนทำงานสำเร็จชิ้นใหญ่ หลังจากเสร็จเรื่องคราวนี้แล้ว นางจะขอให้ท่านเซียนรับนางเป็นศิษย์ ไม่แน่ว่าหากนางตั้งใจฝึกฝนให้มากเข้าก็อาจพบกับความสำเร็จเข้าได้เหมือนกัน 

 

 

 

 

 

เห็นแก่ที่นางยอมถูกตบจนหูชา ท่านเซียนคงจะยอมรับปากใช่ไหม? 

 

 

เสียนไท่เฟยใช้สายตาเย็นชาจดจ้องนาง คมกริชที่วาววับฉาบไล้ด้วยแสงเย็นจางๆ ทำให้นางรู้สึกตาลายอยู่บ้าง 

 

 

ยามนั้นฮ่องเต้กลับตรัสออกมาอีกครั้ง “เสียนไท่เฟย ท่านยังไม่ลงมือ หรือว่าต้องการให้หลี่กงกงช่วยเหลือ? “ 

 

 

ทันทีที่ทรงตรัสออกไป หลี่กงกงที่ยืนอยู่ข้างๆ เสียนไท่เฟยก็ตระเตรียมจะขยับตัว 

 

 

“ฝ่าบาท วันนี้สุขภาพของหม่อมฉันไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ไม่อาจหลั่งโลหิต ” เสียนไท่เฟยรีบกล่าวออกมา เรื่องหยดเลือดนี้ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน รอให้หม่อมฉันกลับวังไปพักผ่อนสักเล็กน้อย จะต้องสั่งให้ชิงผิงรีบนำมามอบให้ท่านหญิงน้อยด้วยตนเอง “ 

 

 

ทันทีที่นางพูดจบ ท่านหญิงน้อยก็ร้องไห้เสียงดังออกมา ” ท่านย่าน้อย~ ท่านน้าฮ่องเต้~ท่านแม่~ ไท่เฟยทรงหลอกซุ่นเอ๋อร์ นางไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย ฮือๆๆๆ ข้าต้องการ ท่านพ่อ ฮือๆๆ ท่านพ่อ……” 

 

 

ท่านหญิงน้อยพอหลั่งน้ำตาออกมาก็เศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด พาให้เหล่าผู้ที่พบเห็นต่างก็รู้สึกปวดใจไปตามๆ กัน 

 

 

องค์หญิงใหญ่ยิ่งชมดูจนปวดใจกว่าผู้ใด นางหันไปหาเสียนไท่เฟยกล่าวว่า ” ก็เพียงแค่เลือดไม่กี่หยดเท่านั้น ถึงสุขภาพร่างกายท่านจะไม่ดีอย่างไร แต่ว่าคำรับปากเพียงเท่านี้ก็คงไม่ถึงกับทำไม่ได้หรอกใช่ไหม? “ 

 

 

ยามนี้ถึงแม้จะมีบางคนเห็นอกเห็นใจเสียนไท่เฟยอยู่บ้าง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็อดจะรู้สึกว่านางช่างไม่รู้จักรับน้ำใจของผู้อื่นมากเกินไปแล้ว 

 

 

ทางองค์หญิงใหญ่เองก็ถอยให้มากถึงเพียงนี้แล้ว นางไยจะต้องหาข้ออ้างมาปฎิเสธรอบแล้วรอบเล่าอยู่นั่น? 

 

 

“พระสนมเพคะ ท่านรู้สึกไม่สบายในที่ใดเพคะ? เป็นบ่าวเลอะเลือนไปแล้ว ช่วงนี้กลับสังเกตไม่ออกแม่แต่น้อย ” ชิงผิงกลับกระตือรือร้นขึ้นมา เพียงประโยคเดียวก็กล่าวเปิดเผยอาการป่วยของเสียนไท่เฟยออกไปด้วย 

 

 

เสียนไท่เฟยตวัดสายตาใส่นางคราหนึ่งก็คว้าเอากริชเล่มนั้นไปถือเอาไว้ในมือ ยกคมดาบขึ้นมา หันพักตร์ไปมองดูตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียน 

 

 

ฮ่องเต้ทรงจดจ้องกลับมา “เจ้าไม่ต้องมาทำเป็นจ้องไทเฮา นางขี้กลัว เกิดตกอกตกใจขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต หากเป็นเช่นนั้น เจ้าคงจะชดใช้ไม่ไหวแน่” 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างมองไปยังฝ่าบาทด้วยสีหน้าสับสน 

 

 

ฮ่องเต้ทรงเข้าใจอะไรเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ผิดไปหรือไม่? 

 

 

อย่างนางน่ะหรือขี้กลัว? 

 

 

ความกล้าของนางนั้นสูงส่งเทียมฟ้า ครอบคลุมทั่วนภา เจิดจ้าดังดวงตะวันเสียด้วยซ้ำ 

 

 

ไม่ทรงได้ฟังท่านหญิงน้อยบอกหรือว่า เจ้าตัวประหลาดที่ลักพาตัวนางมานั้น ถูกไทเฮาไล่ตีกลับไปและ ช่วยเหลือนางเอาไว้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันทำราวกับกำลังอมของเปรี้ยวอยู่ในปาก เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คงจะยังไม่ลืมความคิดที่จะริบทรัพย์ผู้อื่นอยู่เป็นแน่ 

 

 

นางได้แต่แอบมองอยู่อย่างเงียบๆ ยามนี้ใช่สมควรที่จะร่วมมือกับฝ่าบาท ผสมโรงแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาดีหรือไม่? 

 

 

คิดๆ ไป ก็เริ่มกุมทรวงอกเอาไว้ สองคิ้วงามดังไต้หยู่ขมวดแนบแน่น กระทั่งใบหน้าก็เริ่มขาวซีดขึ้นมาแล้ว ท่าทางคล้ายกับว่าได้รับความตื่นตระหนกจนหัวใจดวงน้อยๆ กำลังจะรับไม่ไหวเสียแล้ว 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “…………” 

 

 

“น้องเล็ก เจ้าอย่าได้ทำให้พี่ใหญ่ตกใจ! ” ตู๋กูจุนรักใคร่ผูกพันนางอย่างไร้ข้อแม้ รีบพุ่งเข้ามา เตรียมจะเข้ามาประคองน้องน้อยของตนเอง 

 

 

เสียนไท่เฟยรู้สึกว่าหากตนเองยังไม่ลงมืออีกละก็ เกรงว่าตู๋กูซิงหลันคงจะต้องงัดเอาแผนหวาดหวั่นจนสลบสิ้นสติไปมาแสดงแน่ ถึงจุดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเล่นงานนางเช่นใดอีก 

 

 

นางยกมือที่ขาวสะอาดขึ้นมา ใช้มีดกรีดไปบนนิ้วชี้ของหัตถ์ซ้ายเป็นปากแผลเส้นหนึ่ง 

 

 

ผิวหนังเปิดออก จนมองเห็นเนื้อเล็กน้อย 

 

 

การกระทำนี้ ลากเอาสายตาของผู้คนทั้งหลายมาไว้บนตัวนางทั้งหมด 

 

 

อู๋เจินพุ่งออกไปเป็นคนแรกด้วยความรีบร้อนราวกับจะออกไปรับหยดเลือดให้ทันท่วงที เขาตระเตรียมขวดใบเล็กจากไม้ต้นท้อเอาไว้แต่แรกแล้ว “ขอไท่เฟยทรงหยดเลือดออกมา “ 

 

 

เสียนไท่เฟยวางนิ้วลงไปในปากขวด อู๋เจินเองก็รออยู่ แต่ว่าผ่านไปครู่ใหญ่แล้ว ก็ไม่เห็นเลือดสักหยดออกมา 

 

 

เขากล่าวขึ้นว่า ไท่เฟยพะยะคะ ปากแผลของทานตื้นเกินไปหรือเปล่า ไม่มีเลือดเลย” 

 

 

สีพระพักตร์ของเสียนไท่เฟยกลับซีดขาว คล้ายกับว่านางสูญเสีย เลือดมากเสียจนจะเป็นลมลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว 

 

 

“ข้าสุขภาพไม่ดีมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีโรคโลหิตจาง หากว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะฟื้นฟูได้ เรื่องนี้ สำนักแพทย์หลวงมีบันทึกเอาไว้อยู่แล้ว ” นางมองไปยังอู๋เจิน กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เพียงแต่ว่าเพื่อท่านหญิงน้อยแล้ว ข้ากรีดไปมีดหนึ่งก็นับว่าคุ้มค่าอยู่ “ 

 

 

อู๋เจินกลับไม่สนใจคำพูดมากมายของนาง คว้าเอากริชมากรีดลงไปอย่างแรงมีดหนึ่ง 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “……..” 

 

 

ทันทีที่สัมผัสโดนมือของนาง อู๋เจินก็หน้าเปลี่ยนสีไป ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่ว่าหัตถ์ของเสียนไท่เฟยกลับเย็นจนเกินไปแล้ว ไม่เพียงแค่เย็น แต่ยังแข็งราวกับไร้ชีวิต 

 

 

ทั้งๆ ที่เขาพึ่งจะกรีดลงไปมีดหนึ่งแท้ๆ แต่กลับเหมือนกรีดลงไปบนน้ำแข็ง 

 

 

รอบนี้ ปากแผลบนนิ้วของนางลึกเสียจนเห็นเนื้อได้แล้วชัดๆ 

 

 

อู๋เจินก็เอาขวดไม้ท้อใบน้อยมารองเลือดอีกครั้ง แต่ว่ารออยู่อีกพักใหญ่ก็ยังไม่เห็นจะมีเลือดหยดออกมา 

 

 

คราวนี้ ไม่เพียงแต่ตัวเขา ผู้คนที่รายล้อมอยู่โดยรอบต่างก็เริ่มถกเถียงกันด้วยความประหลาดใจขึ้นมาแล้ว 

 

 

” แผลลึกถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีเลือดหรือ? “ 

 

 

“เป็นคนจะไม่มีเลือดได้อย่างไร? “ 

 

 

” เสียนไท่เฟยก็ตรัสไว้แล้วไม่ใช่หรือ ว่านางเป็นโรคโลหิตจางขั้นรุนแรง” 

 

 

” จะจางถึงเพียงไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเลือดนี่นา” 

 

 

” จริงด้วย “ 

 

 

” นาง……เป็นตัวอะไรกันแน่? “ 

 

 

ยามนี้สายตาของผู้คนที่มองมายังเสียนไท่เฟยต่างก็เปลี่ยนไปแล้ว 

 

 

ดูนางสิ กลางวันแสกๆ แท้ๆ กลับสวมแต่ชุดดำตลอดทั้งร่าง ทั้งยังถือร่มขาว แม้แต่ยามที่กรีดแผลหยดเลือดก็ยังไม่ยอมวางร่มคันนั้นลง 

 

 

หรือจะเป็นเพราะยามปกติพวกเขาไม่ค่อยจะได้สนใจเสียนไท่เฟยสักเท่าใด? 

 

 

คล้ายกับว่านอกจากเวลาค่ำคืนแล้ว ทุกครั้งที่นางปรากฎตัวสู่สายตาเป็นต้องสวมชุดกระโปรงดำและร่มขาวเช่นนี้ 

 

 

หรือว่าจะกลัวแสงสว่างรึ? 

 

 

อะไรกันเล่าที่หวาดกลัวแสงสว่าง…… 

 

 

พอคิดกันได้ถึงตรงนี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแล้ว 

 

 

เสียงไท่เฟยอ้าปากเตรียมจะกล่าวคำพูดที่นางตระเตรียมเอาไว้ 

 

 

แต่ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าทำไม ขลุ่ยสีแดงเลือดเลาหนึ่งก็หล่นออกมาจากในกระโปรงของนาง 

 

 

ขลุ่ยสั้นเลานี้มีสีแดงจนเกือบดำ ราวกับว่ามันถูกย้อมไปด้วยโลหิตมาหลายครั้งแล้ว เมื่อตกลงไปบนพื้นหิมะ สีแดงบนตัวขลุ่ยก็ย้อมหิมะโดยรอบจนเปลี่ยนสีไป เพียงชั่วขณะก็เกิดกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นฟุ้งกระจายออกมา 

 

 

ขณะเดียวกันก็เกิดสายลมพัดขึ้นอย่างไร้ที่มา ในสายโลมที่พัดโหมเหมือนกับว่าสามารถได้ยินเสียงร่ำไห้ของเด็กเล็กๆ หวีดร้องอยู่ในสายลม คร่ำครวญอย่างน่าหวาดกลัว 

 

 

ท่านหญิงน้อนซุ่นเอ๋อร์ก็ปล่อยโฮร้องไห้ออกมาโดยทันที “อ้า………….ซุ่นเอ๋อร์กลัว เป็นนาง ฮือ เป็นไท่เฟยที่ต้องการจะกินซุ่นเอ๋อร์! “ 

 

 

” เป็นขลุ่ยเลานี้เอง ตอนที่ซุ่นเอ๋อร์มาถึงก็รู้สึกได้ว่ามันอยู่ที่นี่ ที่แท้ก็เป็นไท่เฟย ท่านทำไมจะต้องกินซุ่นเอ๋อร์ด้วย? ทั้งยังกินเด็กๆ คนอื่นอีก พวกเราทำผิดอะไรหรือ? “