ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 43 คืนกลับ (ตอนต้น)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สระกระบี่อยู่ในสวนโจว นี่เป็นคำร่ำลือ ในขณะเดียวกันก็เป็นการคาดเดาของคนจำนวนมากเป็นเวลาหลายปี

ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนโจวตู๋ฟู จู่ๆ ก็ปรากฏตัว จนกระทั่งหลายร้อยปีก่อน จู่ๆ เขาก็จากไป นักปราชญ์ไร้เทียมทานผู้ชื่นชอบการสู้รบที่เคยท้าสู้ผู้แข็งแกร่งทั่วทั้งต้าลู่มาหลายครั้ง ระดับความสามารถที่น่าเหลือเชื่อของเขาก็เป็นเพราะได้รับมาจากการต่อสู้เหล่านี้สั่งสมเรื่อยๆ จนเกิดการพัฒนา ตอนที่เขาเดินทางอยู่บนการขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งใต้ท้องฟ้าดวงดาว คนจำนวนมากล้วนพ่ายแพ้อยู่ใต้ดาบสองท่อนเล่มนั้น

ในการต่อสู้ที่เมืองลั่วหยางเขาชนะจักรพรรดิไท่จงต่อหน้าวีรบุรุษทั่วหล้ารวมถึงสุดยอดฝีมือของต้าโจวจำนวนมาก ที่นอกเมืองเสวี่ยเหล่า ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งเผ่ามารจำนวนมาก เขารบชนะราชามาร ในสุสานเทียนซู เขาชนะใต้เท้าสังฆราช ที่ต้นน้ำแม่น้ำแดง เขาชนะจักรพรรดิขาว ยังมีอีกจำนวนมาก…กระทั่งสามารถพูดได้ว่า มองไปที่หนังสือประวัติศาสตร์หลายร้อยปี เพียงแค่เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ล้วนเคยเป็นคู่มือที่แพ้พ่ายของเขา

ความจริงแล้ว นอกจากด้านการต่อสู้สืบโลกาสองสามสนามนั้นที่เคยพูดถึง การต่อสู้หลายสนามกว่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าสะเทือนโลกนั้นมิได้เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ แต่เกิดขึ้นในสวนโจว สวนโจวเป็นโลกใบเล็กของโจวตู๋ฟู ขณะต่อสู้ที่นี่ เขาได้รับการอำนวยความสะดวกจำนวนมาก กระทั่งสามารถซุ่มซ่อนเล่ห์กลโกง นี่มองดูแล้วเหมือนจะไม่ค่อยยุติธรรม แต่เหล่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่มีความเห็นต่างใดๆ ต่อสิ่งนี้ เนื่องจากเขาคือโจวตู๋ฟู เขาไม่มีค่าให้ทำเช่นนี้ ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เขาเพียงแค่ไม่อยากให้เหล่าคนขี้ขลาดเห็นตัวเองสู้รบ คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอนว่ายิ่งไม่อยากให้คนบนโลกเห็นสภาพของตัวเองพ่ายแพ้ ฉะนั้นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในสวนโจวเหล่านั้น ไม่มีผู้ชม และก็ไม่มีผู้บันทึก รายละเอียดเฉพาะเจาะจงในการต่อสู้ นอกจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นอกนั้นก็ไม่มีใครรู้ รู้เพียงแค่ว่าจุดจบของแพ้ชนะไม่มีความแปลกใหม่ใดๆ

ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากแพ้คาดาบของเขา บ้างตายไป บ้างรอดชีวิต แต่กระบี่ของพวกเขาล้วนหลงเหลืออยู่ในสวนโจว ถูกดาบเทพสองท่อนที่จัดอยู่อันดับสองของอันดับร้อยศาสตราหลงเหลือเอาไว้

กระบี่เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งของธรรมดาอย่างแน่นอน กระทั่งส่วนมากล้วนเป็นศาสตราเทพบนอันดับร้อยศาสตรา อย่างเช่นกระบี่มังกรหวนที่ประดับอยู่ที่เอวของอ๋องท่านหนึ่งเชื้อพระวงศ์ต้าโจว อย่างเช่นกระบี่ชื่อเสียงเลื่องลือที่ได้ชื่อว่าบังฟ้าเล่มนั้นในยุคของหัวหน้าพรรคพรรคกระบี่หลีซาน ยิ่งเป็นการมีอยู่ของสิบอันดับแรกของอันดับร้อยศาสตรา เล่าลือกันว่ากระบี่ที่หลงเหลืออยู่ในสวนโจวเหล่านี้ ถูกโจวตู๋ฟูโยนใส่สระในภูเขาลูกหนึ่งทั้งหมด สระภูเขาลูกนั้นก็คือสระกระบี่ในตำนาน ถ้าสระกระบี่มีอยู่จริง นั่นก็คือโจวตู๋ฟูตั้งแผ่นป้ายอนุสรณ์ให้ตัวเอง กระบี่ดังไร้เทียมทานในสระกระบี่เหล่านั้น ก็คือบันทึกคะแนนการต่อสู้และความทรงเกียรติที่เกริกก้องของเขา

ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่เข้ามาในสวนโจวได้ สิ่งที่อยากทำมากที่สุดก็คือหาสระกระบี่ให้เจอ สิ่งสืบทอดของโจวตู๋ฟูอาจจะหาได้ยาก แต่กระบี่เหล่านั้นในสระกระบี่ เล่มไหนก็ได้ ล้วนเป็นศาสตราเทพ สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรเพิ่มพลังต่อสู้อย่างมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้าสามารถสืบต่อสิ่งสืบทอดของผู้แข็งแกร่งในตอนนั้นผ่านกระบี่เหล่านั้น นั่นจะหมายความว่าอย่างไร? จะไม่ทำให้คนบ้าคลั่งได้หรือ? แต่ว่า ไม่เคยมีใครหาสระกระบี่เจอมาก่อน กระทั่งไม่เคยมีใครหากระบี่เจอสักเล่มในสวนโจว นี่กลับเป็นการพิสูจน์คำร่ำลือของสระกระบี่ กระบี่ชื่อก้องโลกสะท้านฟ้าที่หายไปเหล่านั้นต้องซ่อนอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของสวนโจวอย่างแน่นอน ตามการไหลไปของเวลา สระกระบี่ยิ่งมายิ่งลึกลับ ตำแหน่งในใจของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรยิ่งมายิ่งสูงส่ง กระทั่งล้ำหน้าตัวสวนโจวไปแล้ว กลายเป็นตำนานที่แท้จริงของขอบเขตการบำเพ็ญเพียร แต่ว่า ไม่เคยมีใครหากระบี่เจอสักเล่มในสวนโจวจริงหรือ? แล้วทำไมหลังจากที่ชีเจียนและเหลียงเสี้ยวเซียวเข้าสวนโจว ถึงมุ่งเดินไปที่ต้นน้ำตามแนวแม่น้ำสายนั้นอย่างไม่ลังเล? ทำไมจวงห้วงอวี่ถึงไปที่นั่นเช่นกัน? ทำไมเฉินฉางเซิงถึงรับรู้เจตจำนงกระบี่สายนั้นได้ที่ข้างสระเยือกเย็น และการลอบสังหารของเผ่ามารกำลังรอพวกเขาอยู่ฝั่งนั้น?

ไม่ว่าจะโลกเผ่ามนุษย์หรือว่าอาณาเขตเผ่ามาร มีผู้มีอิทธิพลไม่น้อยเริ่มจะค้นหาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสระกระบี่ได้แล้ว หรืออาจเป็นเพราะหลายปีก่อนมีคนเก็บปลอกกระบี่ของกระบี่โบราณอันหนึ่งได้ที่ข้างลำคลองในป่าไม้? ไม่ สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะหลายร้อยปีก่อน นักปราชญ์ไร้เทียมทานพรรคกระบี่หลีซานท่านหนึ่งเคยเก็บกระบี่เล่มหนึ่งได้ในสระเยือกเย็นแห่งนั้นที่ปลายทางของแม่น้ำ

นักปราชญ์ไร้เทียมทานพรรคกระบี่หลีซานท่านนั้นนามว่าซูหลี

……

……

แต่ว่า สระกระบี่จริงๆ แล้วอยู่ที่ไหนหนอ? สระเยือกเย็นแห่งนั้นที่ทะลุผ่านไปยังทะเลสาบใหญ่ของหน้าผาภูเขาฝั่งนั้น ทะเลสาบใหญ่ฝั่งนั้นก็ทะลุไปยังทะเลสาบเล็กแห่งนั้น เข้าใกล้ที่ราบทุ่งหญ้าข้างหน้าเขาอัสดง ทว่าในสระหรือทะเลสาบเหล่านี้ล้วนไม่มีกระบี่ ถ้าเชื่อมโยงเบาะแสทั้งหมดเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างง่ายดายแบบหยาบๆ นำจุดเหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นเส้น ก็สามารถมองเห็นได้ว่าเส้นสายนี้ชี้ไปยังบริเวณส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้า ฉะนั้นนี่หมายความว่าสระกระบี่ในตำนานเป็นไปได้ที่จะอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าใช่หรือไม่?

ความจริงแล้ว นี่เดิมทีก็เป็นการคาดเดาของผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ รอยเท้าของผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์และเผ่ามารได้เหยียบย่ำสวนโจวแห่งนี้ไปทั่วแล้ว หลายร้อยปีผ่านไป ยังคงสังเกตสระกระบี่ไม่เจอ ฉะนั้นเป็นไปได้มากที่สุดที่สระกระบี่จะซ่อนอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ เนื่องจากมีเพียงที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ที่ยังไม่เคยสืบค้นมาก่อน เพียงแต่น่าเสียดายที่การคาดเดานี้ไม่มีวันได้รับการยืนยันตลอดกาล ทุกคนที่เข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลล้วนไม่สามารถกลับออกไปได้ ฉะนั้นคนที่ไม่ได้เดินเข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ล้วนไม่มีวันเห็นภาพที่แท้จริงภายในที่ราบทุ่งหญ้า

จะว่าโชคดีหรือไม่ก็ได้ เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเดินเข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ พวกเขาได้เห็นความเป็นจริง แม้อาจจะไม่สามารถเอาความจริงนี้ส่งกลับไปให้โลกเผ่ามนุษย์นอกสวนโจวได้ เจตจำนงกระบี่ที่นำพาพวกเขาเดินหน้าต่อไปยังส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้าสายนั้น ราวกับจะนำพาพวกเขาไปเห็นความจริง แต่แล้วพวกเขาก็ได้เห็นสุสานของโจวตู๋ฟู กลับยังคงไม่เห็นร่องรอยของสระกระบี่

เจตจำนงกระบี่สายนั้นในตอนนี้สถิตในร่างกายของเขา เขามั่นใจว่าเจตจำนงกระบี่สายนี้ต้องมาจากสระกระบี่เป็นแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจตจำนงกระบี่สายนี้เป็นของกระบี่ชื่อดังเล่มไหนของเมื่อหลายร้อยปีก่อน เป็นของคนดังท่านไหน

ฝนยิ่งมายิ่งหนัก ฉะนั้นสายลมกลางสุสานก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ต้นอู๋ถงของสวีโหย่วหรงมีใบสีเขียวสองสามใบร่วงหล่น ก่อนหน้านี้ถูกไอพลังปราณเขย่าจนร่วงหล่นลงไปใต้ก้อนหินใหญ่แนบติดกับสายฝนหิมะ เวลานี้กลับถูกลมแรงพัดขึ้นมา ใบไม้เขียวถูกลมพัดม้วนขยับ กลิ้งติดตามพื้นดิน มาถึงใต้เท้าของเฉินฉางเซิง จากนั้นก็ลอยขึ้น สัมผัสมุมหนึ่งของเสื้อผ้าของเขา

ควับ! เกิดเสียงแหลมคมดังขึ้นมา ในชั่วขณะนั้น กลับกลบเสียงของลมฝนทั้งหมดลงไป

ใบไม้สีเขียวนั่นถูกเจตจำนงกระบี่ไร้รูปร่างตัดเป็นเส้นใยจำนวนมาก เพิ่งจะบินเต้นขึ้นมา ก็ถูกลมพัดฝนตีลงไป

ด้านนอกบนถนนเสินหลายร้อยจั้ง ใบหน้าเล็กของหนานเค่อที่เต็มไปด้วยน้ำฝนราวกับยิ่งขาวซีดลงไปอีก

ภาพฉากนี้ทำให้นางยิ่งรู้สึกไม่สบายใจและระมัดระวัง เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเจตจำนงกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ใช่ ถึงตรงนี้สิ่งที่นางคิดอย่างเงียบๆ ก็คือคำว่าไม่เคย คนชุดดำอาจารย์ของนางไม่ใช้กระบี่ ราชามารพระราชบิดาของนางไม่ใช้กระบี่ พลทหารเผ่ามารก็ไม่ใช้กระบี่เช่นกัน ทว่าอย่างไรก็ตาม ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่ใช้กระบี่ยังคงนับอย่างไรก็นับไม่หมด แต่นางยังคง…ไม่เคย…เจอเจตจำนงกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน นี่เป็นเพียงเจตจำนงกระบี่สายหนึ่งก็สำแดงฤทธานุภาพได้ปานนี้ ถ้าตัวกระบี่อยู่ จะน่าหวาดกลัวปานไหน? หลายร้อยปีก่อน เจ้าของเจตจำนงกระบี่สายนี้จริงๆ แล้วเป็นนักปราชญ์ไร้เทียมทานท่านไหน ที่สามารถบำเพ็ญเพียรวิชากระบี่ได้ถึงระดับนี้!

น้ำฝนตกลงบนตัวกระบี่ของกระบี่สั้น เกิดเสียงดังเปาะแปะล้างรอยเลือดบนนั้นอย่างหมดจด กระจ่างวับวาว ราวกับกระจก

เฉินฉางเซิงมองกระบี่เล่มนี้ ดวงตาก็ใสกระจ่างราวกับกระจกเช่นกัน

ในคัมภีร์ลัทธิเต๋าสามพันมหามรรค มีการอธิบายถึงเจตจำนงกระบี่ในหลากหลายรูปแบบ แต่มีเพียงแบบเดียวที่ได้รับการยอมรับโดยต้นตำรับของนิกายหลวง…เจตจำนงกระบี่ก็คือกระบี่สัมผัส

กระบี่สัมผัสไม่ใช่จิตสัมผัสของกระบี่ และก็ไม่ใช่ปัญญาของกระบี่ ยิ่งไม่ใช่ดวงวิญญาณที่มีชีวิต แต่เป็นร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ของข้อมูล แฝงการสะสมของความตระหนักรู้จากการต่อสู้และประสบการณ์ของผู้ใช้กระบี่สถิตอยู่ในตัวกระบี่ ใช้วิธีในการเข้าใจที่เข้าใจง่ายแต่ไม่ค่อยแม่นยำ ‘กระบี่สัมผัสก็คือความรู้ของกระบี่’

กระบี่สัมผัสเป็นร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ของข้อมูลหรือจะพูดว่าเป็นแก่นแท้ของข้อมูลก็ได้ เป็นตะกอนผลึกของความตระหนักรู้ด้านการต่อสู้ แต่ไม่ใช่การมีอยู่ที่เฉพาะเจาะจง ไม่สามารถคำนวณได้ ยิ่งไม่สามารถเลียนแบบได้ ส่งปฏิกิริยาตอบรับเข้าไปในเส้นประสาทของมนุษย์ เป็นเพียงแค่ความรู้สึกชนิดหนึ่ง

เวลานี้เขาก็กำลังรู้สึกถึงความรู้สึกเช่นนี้อยู่

จากในเจตจำนงกระบี่นี้ เขารู้สึกถึงความมั่นใจในตัวเองอันแน่วแน่ แหลมคมอย่างไร้ที่เปรียบ ดูถูกฟ้าดิน เขารู้สึกถึงความขัดแย้งกระทั่งเป็นความเกลียดชังที่เจตจำนงกระบี่มีต่อที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ เขารู้สึกถึงความต้องการโหยหาอิสรภาพที่รุนแรง แน่นอนว่า ความรู้สึกที่รุนแรงที่สุดยังคงเป็นความดีใจ ดีใจชนิดที่กระโดดโลดเต้น

ในตอนแรกสุด คนที่ใช้กระบี่ไม่อยู่แล้ว กระบี่ยังอยู่ แต่ตอนหลังกระบี่ก็ไม่อยู่เช่นกัน เหลือเพียงแค่เจตจำนงกระบี่ เจตจำนงกระบี่สายนี้ไม่สามารถจากไปจากสวนหญ้าแห่งนี้ได้ ถูกขังอยู่ หรือพูดว่าถูกกักขังเอาไว้ตรงนี้ เป็นเวลานานมากแล้ว เวลาหลายร้อยปี มันคิดที่จะจากไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เวลานี้มันสังเกตเห็นความเป็นไปได้ในการจากไป จึงมาพบเจอกับเฉินฉางเซิง ราวกับวิหคที่กำลังจะออกจากกรง

เพียงแต่เขาไม่รู้ ความดีใจจนแทบบ้าของเจตจำนงกระบี่สายนี้ นอกจากความเป็นไปได้ในการจากไป ยังมีความสุขใจจากการพบเจอกับสหายเก่า

เงาสะท้อนที่ยิ่งใหญ่และน่าหวาดกลัวสายนั้นยึดครองไปครึ่งฟ้า ในท้องฟ้าอีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยหมู่เมฆอึมครึม เวลานี้เข้าสู่ยามค่ำคืนแล้ว กลุ่มก้อนแสงข้างขอบที่ราบทุ่งหญ้ามืดสลัวจวนไร้แสง สุสานโจวท่ามกลางสายฝนกลายเป็นยิ่งครึ้มดำ ราวกับภูเขาใหญ่สีดำลูกหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้ตัวเฉินฉางเซิงอยู่ในภูเขา ต้องคิดเชื่อมโยงไปถึงโลงศพหินภูเขาไฟโลงนั้นในสุสานแน่นอน

พวกเราจากไปด้วยกันเถิด

เฉินฉางเซิงหันหลังมองไปยังสวีโหย่วหรงปราดหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับเจตจำนงกระบี่สายนั้น

เขามองไปยังถนนเสินที่อยู่ท่ามกลางสายฝนรุนแรง มองไปยังหนานเค่อ

หนานเค่อกำลังมองกระบี่ไขว้ทักษิณที่อยู่ในมือ บนปลายกระบี่มีรอยแหว่งที่ชัดเจนจุดหนึ่ง นั่นเป็นผลลัพธ์ของการปะทะกันระหว่างสองกระบี่ก่อนหน้านี้ กระบี่ด้ามนี้แน่นอนว่าไม่ธรรมดา เป็นกระบี่เลื่องชื่อบนอันดับร้อยศาสตราแห่งยุค แต่แล้ว…กลับแหลมคมไม่เท่ากระบี่สั้นด้ามนั้นที่ธรรมดาไร้ความพิศวงใดๆ ในมือของเฉินฉางเซิง

กระบี่ทุกเล่มล้วนมีจุดแข็งที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเองอย่างนั้นหรือ? นางตื่นขึ้นมาจากความสะเทือนใจของข่าวสารที่เจตจำนงกระบี่สายนั้นรวมถึงสระกระบี่แห่งนั้นนำพามา ขบคิด เข้าใจเรื่องราวจำนวนมาก เงยหน้ามองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่ปลายทางของถนนเสิน สีหน้าไม่แยแสและเย็นชาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

“แล้วมันจะทำไม? เจตจำนงกระบี่สายนั้นแข็งแกร่งมากก็จริง แต่อย่างไรในปีนั้นก็ยังคงพ่ายแพ้แก่ดาบสองท่อน เจ้าคิดว่าเพียงพึ่งพาเจตจำนงกระบี่สายนี้ก็จะชนะข้าได้รึ? หรือมีความหวังว่าจะสามารถพึ่งพาเจตจำนงกระบี่นี้หนีออกจากสวนโจว?”

นางมองเฉินฉางเซิงพลางพูด จากนั้นก็กางปีกออก แสงจรัสจ้าส่องสว่างสุสานกลางฝนรุนแรง ปีกคู่ของนางสลายกลายเป็นแสงไหลหายจากไป ฮว่าชุ่ยและหนิงชิวผู้รับใช้สาวสองคนคุกเข่าอยู่ในสายฝนด้านหลังของนาง ก้มศีรษะไม่กล้าพูดจา เห็นได้เพียงใบหน้าขาวซีดรางๆ น่าจะบาดเจ็บไม่เบาจากเจตจำนงกระบี่สายนั้นก่อนนี้

“ตัวกระบี่ของเจตจำนงกระบี่สายนี้ คิดว่าน่าจะกลายเป็นเศษเหล็กแล้ว กระทั่งพูดได้ว่ากลายเป็นฝุ่นธุลี เช่นนั้นมันจึงออกจากสระกระบี่ได้ ตัวกระบี่ไม่มีแล้ว เจตจำนงกระบี่ที่ทำได้เพียงผลาญแต่ไม่สามารถเติมสายหนึ่ง เจ้าจะพึ่งพามันต่อไปได้นานแค่ไหน? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจตจำนงกระบี่นั่นเป็นกระบี่สัมผัส ตามระดับขั้นของเจ้าในตอนนี้ ไม่อาจบรรลุกระบี่สัมผัสเช่นนี้ได้โดยสิ้นเชิง ไม่อาจใช้วิชากระบี่ เกรงว่าพลังเศษหนึ่งส่วนพันก็ยังไม่อาจแสดงความสามารถออกมาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าตัวเองจะชนะข้า?”

ในฝนรุนแรง คล้อยตามเสียงเด็กน้อยที่ดังขึ้นเรื่อยๆ กระบวนท่าของกระบี่ของหนานเค่อเชื่องช้าแต่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไอพลังปราณยิ่งมายิ่งเข้มข้น

เฉินฉางเซิงรู้ว่านางไม่ใช่กำลังข่มขวัญ ถ้าระดับขั้นบำเพ็ญเพียรของผู้ใช้กระบี่แข็งแกร่งเพียงพอ ฉะนั้นไม่ว่าจะคิดวิเคราะห์การบำเพ็ญเพียรหรือว่ากำลังต่อสู้ ทุกเวลาทุกวินาทีล้วนกำลังฝึกฝนเจตจำนงกระบี่ แต่ถ้าระดับขั้นเจตจำนงกระบี่สูงยิ่งกว่าผู้ใช้กระบี่ ฉะนั้นการต่อสู้ก็จะผลาญเจตจำนงกระบี่อย่างไม่หยุดสิ้น ไม่สามารถได้รับการเติมเต็ม

“ที่สำคัญที่สุดก็คือ เจตจำนงกระบี่ของข้าสู้เจ้าไม่ได้ แล้วทำไมข้ายังต้องเทียบความสูงต่ำของเจตจำนงกระบี่?” พูดประโยคนี้เสร็จ หนานเค่อยกกระบี่ไขว้ทักษิณ

นางยังคงยืนอยู่ห่างออกไปร้อยลี้ ไกลจากเฉินฉางเซิงอยู่ระดับหนึ่ง นางเก็บปีกคู่กลับไปแล้ว มองดูแล้วก็ไม่น่าจะย่นระยะห่างให้ใกล้กันได้ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ การยกกระบี่ครั้งนี้ของนางใช้มือสองข้าง ร่างกายของนางเล็กมากกระทั่งสามารถพูดได้ว่าผอมแห้ง กระบี่ไขว้ทักษิณกว้างมาก ยาวตรงอย่างยิ่ง ถูกมือสองข้างของนางยกอยู่กลางอากาศ ทัศนียภาพมีความประหลาดเล็กน้อย เหมือนกับคนตัวเล็กกระจิริดคนหนึ่งเตรียมที่จะเล่นค้อนเหล็ก เทียบกันแล้วเห็นได้ชัดมาก

มองดูภาพฉากนี้ เฉินฉางเซิงจู่ๆ ก็เดาได้ว่านางจะออกกระบี่อย่างไร รู้ว่าตัวเองเกิดความผิดพลาดอันใหญ่หลวง

ในเมื่อตอนนี้สิ่งพึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งสายนี้ ฉะนั้นก็ไม่น่าจะให้นางห่างจากตัวเองไกลเกินไป

กระบี่ที่ต่างกันมีจุดแข็งที่ต่างกัน เจตจำนงกระบี่ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกระบี่ นอกเหนือจากนี้ ยังมีกระบวนท่ากระบี่ ยังมีจำนวนปราณแท้ที่แฝงอยู่บนกระบี่ สิ่งเหล่านั้นล้วนมีความสำคัญไม่แพ้ส่วนสำคัญที่รวมมาจากเจตจำนงกระบี่ กระบี่นี้ของหนานเค่อ ก็คือต้องการส่งผลกระทบต่อเจตจำนงกระบี่โดยการพึ่งพาระยะห่าง บังคับให้เขาใช้ท่ากระบี่และพลังในการต่อสู้

แสงกระบี่สายหนึ่งส่องสว่างท้องฟ้าที่มืดมนรวมถึงสุสานท่ามกลางสายฝนที่รุนแรง

แสงกระบี่สีฟ้าอึมครึมสายหนึ่งออกจากตัวกระบี่ของกระบี่ไขว้ทักษิณ ราวกับเศษหินอุกกาบาตลากหางไฟ ตัดไปที่ปลายทางถนนเสินของเฉินฉางเซิง!

ข้อนิ้วมือที่เฉินฉางเซิงกำด้ามจับกระบี่ขาวเล็กน้อย ริมฝีปากก็ขาวซีดนิดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลหรือว่าน้ำฝนเหน็บหนาวเกินไป

เสียงที่อ่อนแอแต่แน่วแน่อย่างยิ่งเสียงหนึ่ง ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา “ใช้ร่ม”

คนที่คิดวิธีนี้ออกนั้นไม่ใช่เจตจำนงกระบี่สายนั้น เจตจำนงกระบี่พูดไม่เป็น คนที่พูดคือสวีโหย่วหรง เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงพูดเช่นนี้ แต่ตลอดทางที่ผ่านมา เขารู้ว่าระดับขั้นความสามารถของนางโดยเฉพาะการมองการณ์ไกลชนะตัวเองขาดลอย ที่สำคัญที่สุดคือ เขาเชื่อใจนางอย่างมาก ฉะนั้นไม่มีการลังเลใดๆ ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองใดๆ เขาก็ยกร่มกระดาษทองขึ้นมา

ตามท่าทางของเขา เจตจำนงกระบี่สายนั้นเข้าไปในร่มกระดาษทอง

ไม่ใช่เข้าไป เป็นการคืนกลับ

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่เขารู้สึกได้ว่านี่หมายถึงการคืนกลับมาอย่างแท้จริงของเจตจำนงกระบี่ กระทั่งทั่วทั้งโลกล้วนรู้สึกได้ถึงการกลับมาของเจตจำนงกระบี่สายนี้ ที่ราบทุ่งหญ้ากลายเป็นเงียบสงบอย่างหาที่เปรียบมิได้ คลื่นสัตว์อสูรหลั่งไหล สัตว์อสูรจำนวนมากเปล่งเสียงก้องร้องตกใจ ไม่สบายใจ หรือไม่ก็โมโหโทโส ขนาดเงาสะท้อนที่อึมครึมน่าหวาดกลัวในท้องฟ้าแห่งนั้นยังเหมือนจะจืดจางลงไปชั่วขณะหนึ่ง