ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 44 คืนกลับ (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เจตจำนงกระบี่สายนั้นเข้าไปในร่มกระดาษทอง โลกรอบข้างสุสานล้วนเกิดการตอบสนอง แต่การเปลี่ยนแปลงในตอนแรกสุดแน่นอนว่าเป็นตัวของร่มกระดาษทองเอง

ร่มกระดาษทองยังคงเหมือนเวลาปกติเช่นนั้น เก่าโบราณสกปรกเล็กน้อย ภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ไอพลังปราณที่ปลดปล่อยออกมากลับเปลี่ยนไปมาก ศาสตราร่มที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งมากคันนี้ ราวกับจู่ๆ ก็กลายเป็นกระบี่แหลมคมสุดเปรียบด้ามหนึ่ง ในสายตาของเฉินฉางเซิง ทั้งๆ ที่มันยังคงเป็นร่ม ในมือกลับมีความรู้สึกของกระบี่ที่ส่งมาอย่างชัดเจน

แสงกระบี่สีฟ้าอึมครึมสายนั้นมาถึงแล้ว พร้อมกันกับเจตจำนงสังหารที่แน่วแน่และปราณแท้ที่ยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบของหนานเค่อ

เฉินฉางเซิงยกร่มกระดาษทองขึ้นไปต้อนรับ ก็เหมือนกับถือโล่กลมอันหนึ่ง พยายามต้านทานการเสียดแทงเข้ามาของทวนยาว

หลายสิบวันก่อน ที่ข้างสระของหน้าผาภูเขาสวนโจวฝั่งนั้น ตอนที่เขาต่อสู้กับผู้รับใช้สาวสองคน ก็ใช้วิธีนี้บ่อยครั้ง แต่ชัดเจนมากว่าร่มกระดาษทองวันนี้และวันนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะว่าเจตจำนงกระบี่สายนั้นหรือ? แต่นี่ก็ต่างกับเจตจำนงกระบี่ที่แสดงโดยกระบี่สั้นของเขาก่อนหน้าอย่างชัดเจน ราวกับเป็นสองแนวคิด

สิ่งที่ต่างและไม่เหมือนอยู่ที่ ร่มกระดาษทองที่มีเจตจำนงกระบี่สายนั้นแล้ว กลายเป็นแข็งแกร่งไร้เทียบ กระทั่งมีความน่ากลัวเล็กน้อย

บนเวทีหินที่ข้างหน้าประตูหลักของสุสาน จู่ๆ ก็เกิดเสียงกรีดตัดที่แหลมคมหลายเสียงดังขึ้นมา เสียงเหล่านั้นราวกับเป็นรอยร้าวของชั้นอากาศ อีกทั้งก็เหมือนกระแสน้ำวนพายุหมุนในชั้นบรรยากาศ เร่งรีบสั้นกระชับ กลับต่อเนื่องไม่ขาดตอน ลมกระบี่ที่มองดูเหมือนเล็กละเอียดจำนวนหลายสาย พรั่งพรูออกมาจากส่วนหัวของร่มกระดาษทอง รายล้อมอยู่รอบข้างร่างกายของเขาแล้วจากไป หมุนตัวด้วยความเร็วสูง ตัดหั่นทุกอย่างที่ขวางหน้า

ทางเดินหน้าผาฝนหิมะรวมถึงแสงกระบี่สีฟ้าอึมครึมสายนั้น

เม็ดฝนที่ตกลงมาจากฟ้าถูกตัดหั่นเป็นผง เศษหิมะที่สะสมอยู่บนพื้นดินถูกตัดเป็นเส้นใย พื้นดินที่แข็งแกร่งรวมถึงบนกำแพงหิน กระทั่งที่ประตูหลักของสุสานก็เกิดรอยกระบี่สลักลึกหลายสาย ส่วนแสงกระบี่สีฟ้าอึมครึมที่มาจากกลางอากาศนั้น ถูกหั่นออกเป็นแสงดาวหมื่นสายในตอนที่ยังไม่ทันได้ส่องสว่าง แม่น้ำดวงดาวสองสายของไขว้ทักษิณ กระจัดพลัดพรายแตกสลายไปพร้อมกับสายลม

เสียงกรีดตัดที่แหลมคมเหล่านั้นค่อยๆ หนักหน่วง จากนั้นก็หายไป

ลมกระบี่ที่เล็กละเอียดเหล่านั้น ค่อยๆ กลับเข้าสู่ระหว่างหน้าผาภูเขาสุสาน ไม่ปรากฏขึ้นซ้ำอีก

ฝนรุนแรงยังตกอย่างต่อเนื่องต่อไป เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ราวกับขี้ขลาดไปมาก โดยเฉพาะเหล่าสายฝนที่ตกอยู่บนร่มกระดาษทอง

เงียบสงบไปถ้วนทั่ว

ในที่ราบทุ่งหญ้าที่อยู่ทางใต้ของสุสาน กลับค่อยๆ อื้ออึงขึ้นมา คลื่นอสูรราวทะเลสีดำค่อยๆ ซัดโหมขึ้นมา มีร่องรอยของความสับสนอลหม่าน

เจตจำนงกระบี่ที่เข้าไปในร่างกายของเฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้ ตอนที่ถูกเขาใช้กระบี่สั้นสำแดงออกมา คลื่นสัตว์อสูรยังสามารถรักษาความสงบได้ แต่ครั้นเจตจำนงกระบี่สายนี้เข้าไปในร่มกระดาษทอง จากนั้นพลันตัดท่ากระบี่ของหนานเค่อแตกสลายได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้ตอนที่พิสูจน์เรื่องเหล่านี้ได้แล้ว สัตว์อสูรนับหมื่นพันในที่ราบทุ่งหญ้าก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีก

สัตว์อสูรบางส่วนหวาดกลัวจนคิดจะถอยออก สัตว์อสูรที่มากกว่านั้นโห่ร้องด้วยความเกรี้ยวกราดออกมาส่งตรงไปยังสุสาน เสียงตะคอกแห่งโทสะหลายเสียงรวมอยู่ด้วยกัน ราวกับเสียงฟ้าร้อง เกือบจะแหวกท้องฟ้าอึมครึมออก ถ้าไม่ใช่ว่าหนานเค่อใช้ไม้จิตวิญญาณฝืนควบคุมไว้ เกรงว่ามหาสมุทรสีดำที่กลายมาจากคลื่นสัตว์อสูร เวลานี้คงไหลเข้ามาที่สุสานโจวแล้ว

หนานเค่อไม่รู้ว่าทำไมสัตว์อสูรถึงมีการตอบสนองที่ใหญ่หลวงขนาดนี้ เพราะว่าการปรากฏของเจตจำนงกระบี่สายนั้นแสดงให้เห็นว่าสระกระบี่กำลังจะปรากฏบนโลกหรือ? แล้วทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่เจตจำนงกระบี่ปรากฏออกมา คลื่นสัตว์อสูรถึงไม่หลั่งไหลอย่างรุนแรงเหมือนตอนนี้เล่า? นางมีความไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย สายตาทะลุผ่านหยาดฝนที่ตกลงบนตัวของสวีโหย่วหรง ก่อนหน้านี้ก็เป็นนางที่ให้เฉินฉางเซิงสละกระบี่ใช้ร่ม

วันนี้ในสนามล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือ สวีโหย่วหรงบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดี อ่อนแออย่างยิ่ง เวลาส่วนใหญ่ล้วนหลับตาอยู่ ไม่ได้ชมการต่อสู้สนามนี้ แต่กลับเป็นนางที่เข้าใจอะไรบางอย่าง นี่ทำให้หนานเค่อมีความโมโหและไม่ยอมเล็กน้อย ก็เหมือนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับนางก่อนหน้านี้ในตอนที่เจตจำนงกระบี่สายนั้นถูกเฉินฉางเซิงเอาไปใช้

ที่ตรงนี้ยังคงต้องยืมใช้การคาดการณ์ที่มีชื่อเสียงเฉพาะตัวของถังซานสือลิ่ว สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิง เป็นเจ้าคนสองคนที่ถนัดมากกับการทำให้คนอื่นไร้คำพูด

สวีโหย่วหรงคงสติไว้ มองคลื่นอสูรอันวุ่นวายแห่งนั้นที่ใต้สุสาน พูดอย่างอ่อนแอว่า “เก็บร่ม”

เฉินฉางเซิงเชื่อฟังคำพูดของนาง เก็บรวบร่มกระดาษทอง

หลังเก็บรวบร่มกลับมา เหมือนกับกระบี่ด้ามหนึ่ง คนหลายคนคงมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน ในตรอกซอยหลังฝนหยุด มือถือร่มกันฝนใช้ปลายร่มแทงดินโคลนและกำแพงเพื่อความบันเทิง

ทำไมน่ะหรือ? เพราะว่าหลังจากเก็บรวบร่มแล้ว ตัวร่มก็เหมือนเป็นกระบี่ด้ามหนึ่ง

เวลานี้ มือซ้ายของเฉินฉางเซิงถือร่มกระดาษทอง ก็เหมือนกับถือกระบี่อยู่

คลื่นสัตว์อสูรทั้งสี่ทิศรอบสุสาน จู่ๆ ก็เงียบสงบไร้สุ้มเสียง

การตะโกนที่เกรี้ยวกราดเหล่านั้น ก็ปลาสนาการไปจากตรงนี้

สัตว์อสูรวุ่นวายที่พยายามมุ่งมายังสุสานเหล่านั้นกลายเป็นมีความลนลานไม่สบายใจ ราวกับมีเรื่องใหญ่หลวงอะไรกำลังจะเกิดขึ้น บริเวณส่วนลึกของคลื่นอสูร สัตว์อสูรแข็งแกร่งระดับขั้นรวบรวมดวงดาวที่ราวกับภูเขาแม่น้ำสองสามแห่งนั้น เริ่มปลดปล่อยไอพลังปราณโมโหคาวโลหิต เงาสะท้อนที่ใหญ่ยิ่งสายนั้นในท้องฟ้า ลดต่ำกว่าก่อนหน้านี้ลงมาบ้าง

สระกระบี่ เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสวนโจว กระบี่ เป็นสิ่งต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของที่ราบทุ่งหญ้า

ระหว่างเจตจำนงกระบี่สายนี้รวมถึงสระกระบี่ที่มันหมายถึง กับสัตว์อสูรจำนวนมากที่เดินอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล แท้จริงแล้วมีความเชื่อมโยงอะไรกัน? สวีโหย่วหรงคำนวณอย่างเงียบขรึม เผาผลาญสภาพจิตใจอย่างรวดเร็ว สีหน้ายิ่งมายิ่งขาวซีด สุดท้าย สายตาของนางตกลงบนร่มคันนั้นในมือซ้ายของเฉินฉางเซิง ใจคิด มองดูแล้วนี่น่าจะเป็นร่มกระดาษทองคันนั้นในตำนาน

…….

…….

โลกภายนอกสวนโจว ลมหิมะดุจเดิม

เงาสะท้อนที่ยิ่งใหญ่สายนั้นในท้องฟ้า ยิ่งต่ำกว่าก่อนหน้านี้ ที่ราบหิมะที่บริเวณห่างไกล เงาหลังของขุนพลมารสิบกว่าสายที่ตรงตระหง่านราวกับลำน้ำภูเขา ปลดปล่อยไอพลังปราณที่ยิ่งใหญ่คาวโลหิต จนถึงตอนนี้ มีขุนพลมารผู้หนึ่งตายแล้ว ขุนพลมารเจ็ดคนได้รับบาดเจ็บ ขุนพลมารสามในนั้นแขนขาขาด เผ่ามารได้จ่ายมูลค่าที่มากพอแล้ว

แผ่นหิมะตกลงบนตัวของซูหลี จู่ๆ ก็ถูกตัดเป็นเศษจำนวนมาก

บนกระบี่ของเขามีเลือด บนตัวไม่มีเลือด มองดูเหมือนจะไม่บาดเจ็บ ความจริงแล้วถูกผลาญกำลังไปเป็นจำนวนมากแล้ว ไม่สามารถคงเจตจำนงกระบี่เอาไว้ในร่างกายอย่างสมบูรณ์แบบอีก เริ่มปลดปล่อยไปออกไปข้างนอก

คนชุดดำนั่งขัดสมาธิบนเนินหิมะ มองเขาพลางพูดอย่างสงบว่า “แม้เจ้าจะชื่อซูหลี แต่วันนี้เจ้าไม่สามารถจากไปได้”

ซูหลีมองเงาสะท้อนสายนั้นในท้องฟ้า เงียบขรึมไร้คำพูด

“เจ้าชอบกินอะไรมากที่สุด ไม่ชอบกินอะไรมากที่สุด หลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าไปที่ไหนมาบ้าง ฆ่าคนตายไปเท่าไรที่เมืองต้าซี เจ้าชอบภูเขาหรือทะเล เจ้าเขียนจดหมายให้ลูกๆ ของเจ้าบ่อยแค่ไหน ปีนั้นหลังจากที่เจ้าเข้าพรรคกระบี่หลีซานใช้เวลานานแค่ไหนฝึกฝนท่ากระบี่ได้ท่าแรก จำนวนครั้งที่เจ้าทะเลาะกับอาจารย์ของเจ้า หลังจากที่อาจารย์ของเจ้าตายไปในสวนโจว เจ้าร้องไห้ไปกี่วัน…”

คนชุดดำใช้นิ้วมือที่ยาวเรียวจับถาดเหลี่ยมที่ข้างหน้าเข่าเบาๆ พูดว่า “ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเจ้าที่ข้าสามารถรวบรวมได้ ล้วนใช้ไปกับกลนี้ เจ้าจะสามารถจากไปได้อย่างไร?”

ซูหลีเก็บสายตากลับมา มองเขาพลางพูดเยาะเย้ยว่า “สิ่งที่ข้าไม่ชอบมากที่สุดก็คือคนอย่างเจ้าเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ในท้ายที่สุดยังคงต้องใช้แรงมากกว่าตีให้ตาย กลับชอบพูดหลักเหตุผล พูดความเป็นไปได้อยู่เสมอ แม้สุดท้ายจะใกล้ตายแล้ว ตอนที่เหลือลมหายใจรวยรินยังไม่ลืมที่จะวางท่าทีที่ปราดเปรื่อง เจ้าเสแสร้งให้ใครดู?”

เสียงหัวเราะที่ต่ำทุ้มดังขึ้นมาจากในชุดสีดำ “แน่นอนว่าให้คนอย่างเจ้าที่ถูกข้าวางแผนให้ตายดู”

ซูหลีพูดเชิงหัวเราะเสียงแข็งว่า “เจ้าคิดว่าทุกอย่างสามารถคำนวณได้หรือ?”

ชุดดำพูดว่า “ทำไมไม่ได้?”

“เจ้ารู้อยู่แล้วว่าดวงดาวสามารถเคลื่อนไหวได้ ในเมื่อดวงดาวสามารถขยับได้ แล้วจะมีโชคชะตาที่ลิขิตไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? ไม่มีลิขิต แล้วจะคำนวณได้อย่างไร?”

ซูหลีมองไปยังท้องฟ้าค่ำคืน ไม่ได้เห็นดวงดาวแน่นขนัดสองสายที่รวมกันเป็นแม่น้ำไหลในบริเวณอันห่างไกลทางใต้ เห็นเพียงเศษหิมะที่ตกอย่างไม่หยุดหย่อนหน้าเงาสะท้อนแห่งนั้น พูดด้วยเสียงดังชัดว่า “ทุกสิ่งบนโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเวลา เวลาที่หิมะตกเป็นเวลานานแล้ว ยิ่งสะสมยิ่งหนา ไม่แน่สักเค่อหนึ่งก็อาจจะถล่ม เจ้าสามารถคำนวณออกมาได้อย่างไร?”

“เส้นทางกระบี่มิใช่หิมะ การบำเพ็ญเพียรไม่ใช่หิมะตก การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณก็ไม่ได้แปลว่าจะนำพาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ สภาพหมดหวังก็ไม่สามารถทำให้เจ้าถึงจุดหักเห”

คนชุดดำรู้ว่าประโยคหิมะตกนั้นของเขาสื่อถึงเรื่องอะไร พูดอย่างสงบว่า “เพราะว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในเส้นทางกระบี่ที่หายาก”

ประโยคนี้เป็นการชื่นชม ออกมาจากปากของกุนซือเผ่ามารที่ลึกลับที่สุดของต้าลู่ แม้จะเป็นซูหลีก็น่าจะรู้สึกถึงความทะนง แต่ประโยคนี้แดกดันอย่างยิ่งมากกว่า

พรสวรรค์ในเส้นทางกระบี่ที่หายาก ถ้าสามารถทะลวงผ่านได้ก็คงทะลวงผ่านไปนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหวาดกลัวในความเป็นตาย หรือว่าวิธีการอย่างอื่น

คนชุดดำพูดต่อไปว่า “เจ้าไร้หนทางทำให้เส้นทางกระบี่ไปถึงขั้นสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นเพราะสามเหตุอื่นใด อัจฉริยลักษณ์ การบรรลุ ความแน่วแน่ กระทั่งความโชคดีที่สำคัญที่สุดเหล่านี้เจ้าไม่เคยขาดแคลนมาก่อน ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเจ้าขาดสิ่งของที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง สิ่งของชิ้นนั้นสำหรับเส้นทางกระบี่แล้ว สำคัญอย่างยิ่ง”

แน่นอนว่าซูหลีเข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร

“เส้นทางกระบี่ สิ่งที่บำเพ็ญเพียรก็คือกระบี่”

เสียงของชุดดำไม่มีการขึ้นลงของอารมณ์ใดๆ ทำผลตัดสินใจที่เย็นชาว่า “หากไม่ได้กระบี่เล่มที่เข้ากับเจ้าได้ เส้นทางกระบี่ของเจ้าก็จะไม่มีวันสมบูรณ์”

*คำว่า หลี ในชื่อของซูหลี มีความหมายว่า จากไป