ภาคที่ 5 บทที่ 22 กินข้าวเถอะ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ช้อนกระเบื้องขาวกระจุ๋มกระจิ๋มเนื้อละเอียด ถูกกัดไว้อย่างไม่เปลืองแรงสักนิด

ฟันกัดด้านบนส่งเสียงดังกึก

เหมือนกับหนูกำลังลับฟัน

ในคุกแห่งนี้ไม่มีแสงเทียนลุกไหม้ วางไว้เพียงมุกราตรีเพิ่มแสงสว่าง

แสงของมุกราตรีอ่อนโยน ขับเน้นดวงหน้างดงามของสตรีตรงหน้า ดวงตาเบิกกลมคู่นั้นไม่ได้ดุร้ายอย่างที่นางคิด ตรงกันข้ามยิ่งมีชีวิตชีวา

ลู่อวิ๋นฉีกำช้อน มองนางอย่างตั้งใจ

“ตอนเจ้าไปกินเต้าหู้ทอด ข้าจำไม่ได้สักนิด” เขาเอ่ย “ข้าผิดเอง”

ยามนั้นนางไม่ให้เขาจำได้ เขาย่อมจำไม่ได้

คุณหนูจวินกัดช้อนมองเขาอย่างดุร้าย

เอ่ยขออภัยอย่างเสแสร้งแกล้งทำให้มันน้อยๆ หน่อย

อีกมือหนึ่งของลู่อวิ๋นฉีบีบคางของนาง

“ที่แท้ก็ไม่เกี่ยวกับหน้าตา เจ้าคือเจ้า ดังนั้นถึงเป็นเจ้า” เขาเอ่ยพลางบีบเบาๆ

คุณหนูจวินอ้าปาก ช้อนถูกเอาออกมา

“กัดไปฟันจะเสีย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

คุณหนูจวินยังคงไม่พูดไม่จามองเขาอย่างเย็นชา

ลู่อวิ๋นฉีก็มองนางด้วย แม้ไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่ใบหน้าก็อ่อนโยนกว่าอยู่ข้างนอกมากนัก

“จิ่วหลิง ยามใดก็ตามคนไม่อาจมีปัญหากับการกินดื่ม” เขาเอ่ยขึ้น

คำนี้เป็นคำที่นางพูด

มีครั้งหนึ่งลู่อวิ๋นฉีกลับมาทำท่าอารมณ์ไม่ดีไม่อยากกินข้าว นางจึงกล่อมเขาเช่นนี้

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้มหยันทีหนึ่ง

“ข้าพูดเหลวไหลไปเรื่อย” นางเอ่ยขึ้น “เหมือนเจ้าที่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งเสแสร้ง”

“เจ้ายังจำได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย มุมปากยกโค้งแล้ว

“ข้าความจำดียิ่ง” คุณหนูจวินมองเขา “เรื่องก่อนหน้านี้ข้าจำได้กระจ่างชัดเจน จะได้ให้ข้าเห็นชัดเจนทุกเวลาทุกนาทีว่าตนเองเป็นคนโง่อย่างไร”

ลู่อวิ๋นฉีก้มศีรษะคนน้ำแกงแปดสมบัติ

“จิ่วหลิง พวกเรากินข้าวก่อนเถิด” เขาเอ่ยพลางยกช้อนขึ้นอีกครั้ง

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยข้า คุณหนูจวินเอ่ยบอก “ข้ากินเอง”

ลู่อวิ๋นฉียิ้ม

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ไปโตอยู่ที่วัด แต่ติดตามหมอเทวดาจางออกเดินทาง” เขาเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าร้ายกาจยิ่ง”

แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเอ่ยถึงอดีตกับเขา ส่วนเขาก็ไม่เคยถามอดีตของนางสักนิด

ความทรงจำในอดีตไม่ใช่มีความสุขนัก นางไม่อยากเอ่ยถึง

แต่คิดขึ้นมา ด้วยฐานะของเขาอดีตเหล่านั้นคงรู้นานแล้ว ไม่จำเป็นต้องถาม

เขารู้ว่านางทำยาพิษได้ ซ่อนอาวุธลับมากมายได้ก็ไม่มีสิ่งใดแปลก

คุณหนูจวินมองตนเอง เสื้อผ้าของนางตั้งแต่ข้างในจนถึงข้างนอกถูกเปลี่ยนทั้งหมด เส้นผมสางใหม่แล้ว นางเชื่อว่าตอนที่นางสลบ กระทั่งในปากในหูในซอกเล็บเขาก็คงตรวจหาหมดแล้ว

เรื่องเช่นนี้สำหรับองครักษ์เสื้อแพรแล้วไม่นับเป็นเรื่องยากอันใด

“ใต้เท้าลู่ไม่เชื่อว่าตนเองร้ายกาจนักหรือ?” นางเอ่ยเรียบๆ

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

“หากข้าร้ายกาจปานนั้นจริง เจ้าจะกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาเอ่ย

เขาร้ายกาจปานนั้น แต่นางปิดบังเขา พกอาวุธลับซ่อนติดตัวมุ่งสู่พระราชวังไปตายเพียงลำพัง

ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันขวางไว้ ตอนนี้ต้องขวางนางไว้

ลู่อวิ๋นฉียื่นมือจับแก้มของนาง

“ลู่อวิ๋นฉี!” คุณหนูจวินตะโกนโกรธเกรี้ยว แต่อ้าปากปุบช้อนก็ส่งเข้ามาแล้ว

น้ำแกงกระดูกอ่อนที่อุ่นกำลังพอดีหลั่งรินเข้ามาในปาก กั้นเสียงของนางไว้

มือของลู่อวิ๋นฉีบนแก้มนางไล้ลงไปเบาๆ

น้ำแกงที่เข้าปากไม่ได้ถูกลิ้นพ่นออกมาสักนิดกลับไหลลงลำคออย่างรวดเร็ว

อาหารคำนี้ป้อนเข้าไปคุณหนูจวินกลับไม่ได้สำลักหรือไม่สบาย ราวกับนางกินเอง

ทว่านี่ย่อมไม่เหมือนกัน

คุณหนูจวินไม่ได้ด่าทออีก นางเพียงจ้องลู่อวิ๋นฉี ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความอัปยศ

ลู่อวิ๋นฉีเป็นองครักษ์เสื้อแพร ความเป็นความตายของนักโทษที่ตกอยู่ในมือล้วนขึ้นอยู่กับเขา ดังนั้นลู่อวิ๋นฉีถึงมีฉายาว่ายมราช

เขาให้พวกเขาตาย พวกเขาก็ตาย เขาให้พวกเขาอยู่ พวกเขาก็ตายไม่ได้

วิธีการทารุณตนเองอย่างอดอาหารจำพวกนั้น สำหรับลู่อวิ๋นฉีแล้วไม่มีประโยชน์สักนิด

ดังนั้นนางถูกเขาปฏิบัติด้วยเฉกเช่นนักโทษ

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท คล้ายมองไม่เห็นความโกรธแค้นอัปยศของนาง

น้ำแกงคำแล้วคำเล่าป้อนลงไป อาหารที่มีน้ำแกงมีเนื้อมีผักสลับปะปนกันป้อนเข้ามาในปากของนางไม่รีบร้อนไม่ชักช้าให้นางกลืนลงไป

“เจ้ากินมากกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง” เขาเอ่ย มองดูอาหารแล้วก็มองคุณหนูจวิน “สาเหตุเพราะร่างกายของจวินเจินเจินยังกำลังโตสินะ”

นี่หมายความว่ากระทั่งปกตินางกินเท่าไรเขาก็สืบมาได้แล้ว

คุณหนูจวินมองเขา

“ข้าเพียงอยากให้ตนเองมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงเท่านั้น” นางหัวเราะหยันเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีขานอืม

“เช่นนี้ดียิ่ง” เขาพยักหน้าเอ่ย เช็ดปากให้นางอย่างใส่ใจ หลังจากนั้นหยิบชามตะเกียบอีกชุดหนึ่งขึ้นมา “ข้ากินข้าวแล้ว”

อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเวลานี้เย็นแล้ว แต่ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่รู้สึก เขากินอย่างตั้งใจยิ่ง บางครั้งเงยหน้ามองดูสายตาเย็นชาของคุณหนูจวิน หลังจากนั้นก็ก้มศีรษะลงกินอย่างตั้งใจอีกหน

“รสนิยมของเจ้าเปลี่ยนไปไม่น้อย ร่างกายที่เติบโตที่ฝู่หนิงร่างนี้คงส่งผลกับเจ้า” เขาเอ่ย ชิมอาหารที่ทำตามชีวิตปกติของคุณหนูจวินอย่างละเอียด

คุณหนูจวินไม่พูดจา ในเมื่ออารมณ์ในเวลานี้ไม่มีประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์

ลู่อวิ๋นฉีวางชามตะเกียบลง เรียกบ่าวหญิงคนหนึ่งที่รับใช้ที่นี่ยามกลางวันมา บ่าวหญิงมาจากองครักษ์เสื้อแพรอย่างเห็นชัดยิ่ง กลางวันเฝ้าอยู่ที่นี่ประหนึ่งไม่อยู่ เวลานี้สีหน้านิ่งสนิทเก็บชามตะเกียบถอยออกไปแล้ว

“เจ้า มีใครรู้บ้าง?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถาม

คุณหนูจวินไม่พูดสักคำ

ลู่อวิ๋นฉีไม่ถามอีก

“เจ้าไม่ชอบอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นข้าส่งเจ้าไปพบองค์หญิงจิ่วหลี” เขาเอ่ย

เขาอยู่ในห้องลับนี่ยังมัดมือเท้าของนางไว้ กลับยังกล้าจะส่งนางออกไป ความกล้านี้ย่อมมีเครื่องรับประกัน

คุณหนูจวินมองเขา สีหน้านิ่งสงบ

“เจ้ากำลังถามทางเลือกของข้า?” นางเอ่ย “ข้ามีทางเลือกหรือ? พวกเรามีทางเลือกหรือ?”

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง ริมฝีปากบางเม้ม คล้ายอยากพูดอะไรก็ไม่ได้พูด

“ให้ข้าที่เป็นเช่นนี้ไปพบจิ่วหลี ให้นางได้เห็นว่าข้าตายไปครั้งหนึ่งแล้วก็ยังหนีชะตาชีวิตนี่ไม่พ้น” คุณหนูจวินมองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ให้พวกเราดูเสียให้ชัด นี่ก็คือสิ่งตอบแทนที่ผู้แพ้สมควรได้รับ ความอัปยศนี่ดียิ่งรุนแรงยิ่ง ไม่เสียทีเป็นใต้เท้าลู่จริง ทำให้คนนับถือจริงๆ”

ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืน พาสายลมจางๆ หอบหนึ่งไหลเคลื่อน

“จิ่วหลิง เจ้าคิดว่าที่ข้าแต่งงานกับเจ้าเพื่อหยามเกียรติเจ้าหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินมองเขา

“ไม่เช่นนั้นอะไร?” นางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ซาบซึ้งบุญคุณที่เจ้าไม่สังหารรึ?”

ใต้แสงไข่มุกสาดส่อง เงยศีรษะแหวนมอง ใบหน้าของลู่อวิ๋นฉีคล้ายยิ่งขาว แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้น

“นั่งมาทั้งวันแล้ว ข้าให้คนยกน้ำมาแช่เท้านะ” เขาเอ่ยเสียงนิ่งสงบ นั่งลงมาอีกครั้ง

คุณหนูจวินแค่นเสียงหัวเราะทีหนึ่ง ไม่พูดไม่จา

ลู่อวิ๋นฉีสั่งข้างนอกคำหนึ่งก็ก้มศีรษะถอดถุงเท้าให้นาง

“เฉิงกั๋วกงหนีไปแล้ว คนที่ไปถ่ายทอดราชโองการจับเขาไม่ได้” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายสบายๆ ประหนึ่งสามีที่ทำงานข้างนอกทั้งวันกลับมาคุยเรื่อยเปื่อยตามปกติกับภรรยา

เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ละครเช่นนี้อีกแล้ว

ก่อนหน้านี้นางอยู่ที่บ้านเบื่อหน่าย เพื่อไม่ให้นางคิดเหลวไหลไร้สาระ เขาจะเล่าเรื่องข้างนอกให้นางฟัง

คนเหล่านั้น เรื่องเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบด้านล้วนยังมีชีวิตชีวา หลอกล่อนาง

ที่ยิ่งทำให้คนแค้นชังก็คือ เรื่องที่เขามักเล่าเรื่องที่ล่อนางได้ออกมาเสมอ

“ไม่หนีจะกลับมาตายรึ?” นางหัวเราะหยันเอ่ย

แต่ในใจนางยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง มากยิ่งกว่าคือความโล่งใจ

เฉิงกั๋วกงในเมื่อตัดสินใจแล้วก็จัดการได้รอบคอบจริงๆ

แม้ถูกตัดสินว่าผิดจริงถูกไล่ลงจากแท่นดั่งที่ฮ่องเต้หวังแต่นี่ก็แค่เรื่องช้าเร็วเท่านั้น แทนที่จะป้องกันโจรพันวัน ไม่สู้ตัดสินไปเลย

“แต่นี่ไม่ได้มีสิ่งใดแตกต่าง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย รับอ่างไม้จากบ่าวหญิงมา ใช้มือลองอุณหภูมิน้ำก่อน ค่อยวางเท้าของคุณหนูจวินลงไป “ล้วนต้องการให้เขาตาย ช้าเร็วเท่านั้น”

“ต้องการให้เขาตาย?” คุณหนูจวินเอ่ย “เขาต้องการให้เขาตายก็จะตายหรือ? เขาคิดว่าเขาเป็นโอรสสวรรค์จริงรึ? ไม่ต้องพูดถึงเขาไม่ใช่ ต่อให้เขาใช่ เขาก็ไม่ใช่สวรรค์”

นางหัวเราะหยัน

“ข้าไม่ใช่ยังมีชีวิตอยู่รึ”

ลู่อวิ๋นฉีเงยศีรษะมองนาง เม้มริมฝีปากบาง ยิ้มทีหนึ่ง

“ใช่” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินมองเขา

“ข้าอยากเตะอ่างน้ำนี่” นางบอก

นางบอกว่านางอยากแต่ไม่ขยับสักนิด เพราะเท้าของนางขอเพียงขยับเล็กน้อยก็ถูกมือของลู่อวิ๋นฉีจับไว้แน่น

แต่นางยังคงเอ่ยประโยคนี้ออกมา เหมือนว่านางทำได้แล้ว

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

“ได้” เขาพยักหน้า เหมือนว่านางแตะอ่างน้ำคว่ำได้แล้ว “ข้าไปเปลี่ยนอ่างใหม่มา”