ภาคที่ 5 บทที่ 23 คาดการณ์ทำอันใดไม่ได้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ราตรีมาเยือน ในจวนสกุลลู่โคมไฟส่องสว่าง

จิ่วหลีวางเข็มกับด้ายในมือลง มองบรรดาบ่าวหญิงที่กำลังจุดโคมไฟมากกว่าเดิม

“ใต้เท้าลู่วันนี้ก็กลับมาแล้วหรือ?” นางเอ่ยถาม

บรรดาบ่าวหญิงประหลาดใจอยู่บ้าง องค์หญิงจิ่วหลีน้อยครั้งจะเป็นฝ่ายถามถึงลู่อวิ๋นฉี แต่นี่ก็ไม่มีอะไร คำถามนี้พวกนางยังตอบได้

“กลับมาแล้วเพคะ” บ่าวหญิงคนหนึ่งตอบอย่างนอบน้อม “ออกจากที่ประชุมก็กลับมาแล้ว”

“องค์หญิงมีเรื่องใดหรือเจ้าคะ?” บ่าวหญิงอีกคนหนึ่งเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

องค์หญิงจิ่วหลีน้อยครั้งนักจะเป็นฝ่ายเรียกหาใต้เท้าลู่

แม้พวกนางอยู่ที่บ้านก็ไม่กล้าไปรบกวนใต้เท้าลู่ แต่หากเป็นถ้อยคำที่องค์หญิงจิ่วหลีส่งต่อยังคงไม่มีปัญหา

องค์หญิงจิ่วหลีเอียงศีรษะเล็กน้อยมองไฟโคมอยู่ครู่หนึ่ง

“ไม่ ไม่มีอะไร” นางส่ายศีรษะเอ่ย แล้วหยุดนิดหนึ่งอีกหน “แค่คิดขึ้นได้ว่าไม่ได้เห็นเขาหลายวันแล้ว”

แม้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันไม่มาก แต่ก่อนหน้านี้เมื่อลู่อวิ๋นฉีกลับบ้านมักจะมาที่นี่ดูนางอยู่บ้างเสมอ

อยู่ดีๆ ก็ไม่มาแล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่?

องค์หญิงจิ่วหลีลุกขึ้นเดินออกมา ยืนอยู่ตรงใต้ชายหลังคา

เขาไม่ชอบบ้านหลังนี้ แล้วก็ไม่ได้เห็นที่นี่เป็นบ้าน ถึงขั้นถือว่าที่นี่เป็นบ้านของนาง ส่วนเขาเป็นเพียงแขก

ถ้าเช่นนั้นตอนนี้สิ่งใดทำให้เขาถือว่าที่นี่เป็นบ้าน ทุกวันกลับมาตามเวลาแล้วเล่า?

ข้างนอกต้องเกิดเรื่องแน่ จดหมายติดต่อระหว่างบัณฑิตกู้กับนางถูกหยุดไปหลายวันนักแล้ว ข้างนอกต้องมีข่าวที่ลู่อวิ๋นฉีไม่อยากให้นางล่วงรู้แน่นอน

ที่จริงมีข่าวอันใดที่นางสนใจ โลกข้างนอกไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว

หากจะพูดว่ามี แม่นางคนนั้น…

คิ้วขององค์หญิงจิ่วหลิงขมวดขึ้นมา มองไปทางเรือนลึกเข้าไป

แม่นางคนนั้นเกิดเรื่องแล้วหรือ?

ที่จริงแม่นางคนนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางเพียงหวังให้แม่นางคนนั้นมีชีวิตเป็นอิสระสรี กระทำตามใจไม่ถูกล่ามอย่างไร้สาเหตุก็เท่านั้น

แม้นั่นเป็นชีวิตของผู้อื่น แต่ได้เห็นคนมีชีวิตเช่นนี้ได้ นางก็เบิกบานใจนักอย่างไร้สาเหตุ

มุกราตรีถูกครอบปิด แสงสว่างอ่อนโยนในห้องค่อยๆ หายไป จมสู่ความมืดมิด

“วันพรุ่งนี้ข้าจะกลับมาเร็วหน่อย เอาเป็ดที่ถนนตะวันออกมาให้เจ้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางนั่งลงบนเตียง บีบนวดแขนของคุณหนูจวินบรรเทาความปวดเมื่อยที่ถูกมัดให้อย่างตั้งอกตั้งใจ

คุณหนูจวินไม่พูดสักคำคล้ายหลับไปแล้ว

“เจ้าไปกินมาแล้วหรือยัง?” ลู่อวิ๋นฉีชะงักนิดหนึ่งเอ่ยถาม

สิ่งที่ตอบเขายังคงเป็นความเงียบงัน

ลู่อวิ๋นฉีพลิกร่างนางให้หันข้างเบาๆ บีบนวดขาและท้า

“เสวี่ยเอ๋อร์อยู่ในมือเจ้าหรือ?” เขาพลันเอ่ยถาม

เขารู้ด้วย

เขาต้องรู้แน่

ความตายของปิงเอ๋อร์ต้องไม่ใช่ป่วยตายแน่นอน

เวลานี้จิตใต้สำนึกของนางควรโต้สักประโยคบอกไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่การกระทำที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือสิ่งใดล้วนไม่พูด

แต่สำหรับลู่อวิ๋นฉีแล้ว ปฏิกิริยาใดๆ ล้วนไม่สำคัญ

“จิ่วหลิง พวกนั้นล้วนไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ยต่อ “มีแต่จะทำร้ายตัวเจ้าเอง”

“กระทั่งตนเองยังไม่กล้าทำร้าย มีคุณสมบัติอันใดไปทำร้ายผู้อื่น” คุณหนูจวินเอ่ยเรียบๆ

ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพูดแล้ว ลู่อวิ๋นฉีกลับเงียบ เขานอนลงอิงแอบข้างกายนางเช่นนั้นอย่างปกติ หลับไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

คุณหนูจวินลืมตาขึ้นในความมืด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร มือที่ถูกมัดอยู่ด้วยกันด้านหน้าร่างพลันขยับนิดๆ

ข้อมือมัดแน่นยิ่ง มือกุมอยู่ด้วยกันแน่นถูได้เล็กน้อย การเคลื่อนไหวนี่ไม่มีภัยคุกคามอันใดจึงละเลยไม่ใส่ใจได้อย่างสิ้นเชิง

ลู่อวิ๋นฉีที่วางมืออยู่บนร่างนางหลับลึก

คุณหนูจวินถูมือช้าๆ สัมผัสความหยาบกระด้างของหนังด้านบนฝ่ามือ

แม้จวินเจินเจินบิดามารดาเสียแล้วทั้งคู่ แต่ถูกเลี้ยงมาดีอย่างแน่นอน มือน้อยคู่หนึ่งเลี้ยงมาขาวนุ่มนิ่ม ทว่าตั้งแต่กลายเป็นจิ่วหลิง ต่อยหลักไม้ ทำยา งานหนักต่างๆ สั่งสม บนมือนางวันนี้ก็เต็มไปด้วยหนังด้านบางๆ ชั้นหนึ่ง

หนังด้านบางๆ นี่เป็นประจักษ์หลักฐานความเหนื่อยยากของนาง พร้อมกันนั้นก็เป็นเครื่องป้องกันชั้นหนึ่งด้วย

‘ร่างกายของพวกเราบอบบางยิ่ง แล้วก็แข็งแกร่งยิ่ง หนังน้อยๆ แต่ละชั้นๆ ก็ซ่อนอาวุธสังหารคนได้’

อาจารย์เคยพูดอย่างคลุมเครือ ตอนนั้นเขากำลังนั่งยองฉีกหนังไก่ชั้นหนึ่งบนหินภูเขา เคี้ยวเนื้ออ่อนนุ่มด้านใน

‘แต่คุณหนูผู้ดีเช่นนี้อย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องฟังเรื่องน่ากลัวเหล่านี้หรอกกระมัง!’

เขาพูดพลางมองนางอีกหน

‘แต่ใครจะบอกได้แน่เล่า’

ใครบอกได้แน่เล่า? เขาพูดได้แม่นจริงๆ

นางถูฝ่ามือช้าๆ สัมผัสร่องรอยของเข็มยาวบางเล่มหนึ่งที่ค่อยๆ ปรากฏ

ฤดูหนาวฟ้าสว่างช้า แต่ลูกค้าที่มาหาหมอเอายาไม่แบ่งเช้าค่ำ บานประตูของโรงหมอจิ่วหลิงเพิ่งถอดออกท่ามกลางหมอกยาวเช้าขมุกขมัวก็มีคนยื่นศีรษะเข้ามา

นี่เป็นข้ารับใช้ของตระกูลที่แต่งกายดีคนหนึ่ง

“คุณหนูจวินอยู่หรือไม่?” เขาเอ่ยถามอย่างนอบน้อม แต่ดวงตามองสะเปะสะปะด้านในโรงหมอแล้ว

“คุณหนูจวินไม่อยู่” พนักงานร้านเอ่ย “ท่านต้องการรับยาหรือ?”

ข้ารับใช้สีหน้าผิดหวังอยู่บ้างแล้วก็แปลกใจอยู่บ้าง

“คุณหนูจวินไม่อยู่อีกแล้วหรือ? คุณหนูจวินไม่ใช่กลับมาแล้วรึ?” เขาเอ่ยถาม

“ตระกูลที่หยางเฉิงมีเรื่องนิดหน่อย” เฉินชีออกมาจากด้านใน ได้ยินคำพูดประโยคนี้จึงถือโอกาสเอ่ยตอบ “เจ้าไม่ต้องมาหานาง นางไม่ออกตรวจเสียหน่อย อยู่หรือไม่อยู่ล้วนเหมือนกัน”

นั่นก็ใช่ ข้ารับใช้หัวเราะฮ่ะฮ่ะ ส่งเทียบยามา พนักงานร้านรับไปจัดยา

“ได้ยินว่าตระกูลที่หยางเฉิงของคุณหนูจวินกำลังแบ่งสมบัติตระกูล?” ข้ารับใช้มองเฉินชีพลางเอ่ยขึ้น

เฉินชีกระแอมเบาๆทีหนึ่ง

“นั่นเป็นเรื่องของตระกูลผู้อื่นไม่ต้องพูดถึงหรอก” เขาเอ่ย

ต่อให้ไม่พูดด้านนอกก็ลือกันทั่วแล้ว อย่างไรเต๋อเซิ่งชางที่เมืองหลวงก็เป็นร้านแลกเงินที่ใหญ่มาก สถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินมีลมพัดหญ้าไหวทุกคนล้วนรู้

ข้ารับใช้ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นความปลื้มปิติที่ซ่อนไม่มิดในดวงตาของเฉินชี

คุณหนูจิ่นซิ่วเสมียนของโรงหมอจิ่วหลิงครั้งนี้ก็ได้ส่วนแบ่ง เป็นเสมียนบัญชีของผู้อื่นย่อมไม่สู้มีภูเขาทองลูกหนึ่งของตนเอง

“นายท่านเจ็ดหลังจากนี้ร่ำรวยแล้ว แต่งเข้าไปไม่กังวลกินดื่ม ตนเองเป็นผู้ดูแลใหญ่ของตนเอง” ข้ารับใช้หัวเราะคิกๆ เอ่ยประจบ

เฉินชีหัวเราะฮ่ะฮ่ะ หัวเราะครู่หนึ่งฉับพลันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

“พูดจาเหลวไหลอะไร? ใครแต่งเข้า? แต่งให้ใคร?” เขาถลึงตาเอ่ย โบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “ไปไปไป”

ข้ารับใช้หัวเราะฮ่ะฮ่ะ รับยาเสร็จก็วิ่งไปแล้ว

เฉินชีท่าทางอับอายโกรธเกรี้ยวอยู่บ้างยืนอยู่ที่ประตูมองส่ง เห็นทหารแถวแล้วแถวเล่าบนถนนก้าวเร็วไวผ่านไป ทำลายความเงียบสงบของรุ่งอรุณ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ? หลายวันนี้ทำไมมักจะมีทหารม้าเดินอยู่บ่อยๆ?”

“ยังมีตระกูลขุนนางจำนวนหนึ่งถูกล้อมตรวจค้นด้วย”

ชาวบ้านริมถนนเอ่ยถามเสียงเบา

“พวกเจ้ายังไม่รู้รึ?” มีคนยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงก่อกบฏแล้ว”

บนถนนฉับพลันเสียงร้องตกใจดังขึ้นจากนั้นก็อื้ออึง

“…ถึงกับ…”

“นี่เป็นไปได้อย่างไร…”

“ทำไม่เป็นไปไม่ได้ ได้ยินว่าสืบพบว่าความชอบทางทหารของเฉิงกั๋วกงทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม…”

“เรื่องนี้ก็เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่นความดีความชอบช่วงก่อนหน้านี้ ที่จริงยังเป็นของคุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงเลย…”

“ถูกต้อง ถ้าเช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็บอกได้ไม่แน่แล้วเช่นกันว่าเป็นของใครนะ”

“…คิดไม่ถึงจริงๆ …ถ้าอย่างนั้นจับได้แล้วหรือ?”

“…ทั้งครอบครัวหนีไปแล้ว…ออกประกาศจับแล้ว…”

“…คิดไม่ถึงจริงๆ…”

เฉินชีรู้สึกเพียงหัวใจหงุดหงิดหมุนตัวเข้าประตูไปทันที

“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึง พวกเจ้าคิดอะไรเป็นบ้างเล่า” เขาพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์

แต่เขาก็ถอนหายใจอีก หันหน้ากลับไปมองคนกับม้าอีกแถวหนึ่งบนถนนวิ่งเร็วรี่ผ่านไป ตามจับเข้มงวดเช่นนี้ แล้วยังแบกโทษคิดกบฏอีก ไม่รู้ว่าจะหนีรอดได้หรือไม่

แผ่นดินกว้างใหญ่จะหนีไปไหนได้อีกเล่า? หนีทั้งชีวิตหรือ? นี่ก็คือจุดจบของวีรบุรุษรึ?

เฉินชียืนอยู่ในโรงหมอจิ่วหลิงรู้สึกเพียงหลังร่างลมเย็นทิ่มแทงกระดูก

ส่วนในเต๋อเซิ่งชางที่หยางเฉิงเวลานี้ อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฟางเฉิงอวี่สวมเสื้อผ้าธรรมดาบางๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้นอนอย่างเกียจคร้านกระดิกขากินสาลี่แก้วกร้วมๆ สีหน้ามีความสุขลุกขึ้นนั่ง

“จริงหรือ? นั่นดีเหลือเกินแล้ว” คิ้วและดวงตาของเขาล้วนแย้มยิ้ม “ในที่สุดก็มีเรื่องให้ทำแล้ว”

ผู้ดูแลใหญ่เกาอับจนวาจาอยู่บ้าง แม้กั้นด้วยประตูหน้าต่างก็ได้ยินเสียงวุ่นวายเอะอะด้านนอก การแบ่งสมบัตินำพาเรื่องนับไม่ถ้วนมาทำให้เต๋อเซิ่งชางช่วงนี้ยุ่งวุ่นวายนัก นายน้อยยังบอกว่าไม่มีเรื่องให้ทำ

อีกอย่าง เฉิงกั๋วกงคิดกบฏ นับว่าดีเหลือเกินอะไรเล่า?

เฉิงกั๋วกงคิดกบฏเกรงแต่จะพัวพันมาถึงคุณหนูจวินน่ะสิ และพัวพันมาถึงคุณหนูจวินก็คือพัวพันมาถึงเต๋อเซิ่งชางกับตระกูลฟางเช่นกัน

เกรงแต่ว่าเรื่องจะยิ่งร้อนจนหัวไหม้

ไม่เข้าใจพวกคนหนุ่มสาวจริงๆ ว่าที่แท้คิดอย่างไร

“ในที่สุดก็มีที่ให้ใช้เงินแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ถูมือ ยิ้มตาหยีดวงตาเปล่งประกายวิบวับ คล้ายตื่นเต้นแล้วก็คล้ายน่าขนลุก “เงินเช่นนี้ก็ควรใช้เช่นนี้”