บทที่ 478 ล้มป่วยไปตามกัน เสด็จอาเก้าทำพลาดเสียแล้ว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 478 ล้มป่วยไปตามกัน เสด็จอาเก้าทำพลาดเสียแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเสด็จอาเก้าหรือเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีใครนำเรื่ององค์หญิงอันผิงมาใส่ใจ การที่เสด็จอาเก้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะไม่ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินสร้างความอึดอัดให้ตัวเองมากเกินไป และเพื่อเป็นการย้ำเตือนเฟิ่งชิงเฉินไปในตัว ว่าไม่จำเป็นต้องอดทนอดกลั้นเพียงเพราะตอนนี้เขากำลัง “ล้มป่วย”

เขาไม่ได้ “ป่วย” ตลอดชีวิตเสียหน่อย อาการ “ป่วย” ของเขาอีกไม่กี่วันก็หายแล้ว

แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่คิดเช่นนั้น ท่าทีที่เสด็จอาเก้ามีต่ออันผิงทำให้นางหวั่นใจ บวกกับการที่นางสุขภาพไม่ค่อยสู้ดีนัก นางเริ่มจะเมื่อยล้าและต้องการกลับจวน แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่ยอมปล่อยนาง เขาถามนั่นถามนี่ไม่ยอมหยุด แม้เฟิ่งชิงเฉินจะอ่อนใจแต่ก็ทำได้เพียงอดทน

วันนี้เฟิ่งชิงเฉินว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ แม้เสด็จอาเก้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่เขาก็อดหาเรื่องมาคุยกับเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ คุยไปคุยมา เสด็จอาเก้าจึงได้สังเกตว่าระหว่างตนกับเฟิ่งชิงเฉินนั้น นอกจากเรื่องที่เป็นการเป็นงานแล้ว ก็ไม่มีเรื่องสัพเพเหระให้พูดคุยกันเลย

เมื่อเสด็จอาเก้านึกเรื่องคุยไม่ออก จึงทำได้เพียงถามเรื่องการประลอง “การแข่งขันในวันพรุ่งนี้ ชิงเฉินมั่นใจหรือเปล่า?” หากนางยังไม่ค่อยมั่นใจ บางทีเขาอาจจะช่วยนางได้บ้าง

“ทูลเสด็จอาเก้า ไม่มั่นใจเลยเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินตอบอย่างสุภาพ โดยพยายามข่มความหงุดหงิดไว้

เสด็จอาเก้าย่อมรู้ดี เรื่องการแข่งขันมารยาททางสังคมจะให้นางมั่นใจได้อย่างไร ที่จวนของนางไม่ได้มีมามาคอยอบรมเรื่องการวางตัวให้นางเลย แต่นางก็วางตัวในสังคมได้ไม่เลว เรื่องนี้ต้องยกความดีให้อาจารย์ของนาง

อาจารย์ของนางเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งมักจะถูกเชิญให้เข้าร่วมสัมมนาในงานประชุมแถบยุโรปและอเมริกา บางครั้งอาจารย์ก็พานางไปด้วย และก่อนนางจะไป อาจารย์ก็จะส่งคนมาช่วยอบรมเรื่องการปฏิบัติตัว นางได้เรียนรู้เรื่องวิธีการวางตัวในสังคมระดับสูง ซึ่งห้ามทำให้ตนเองขายหน้าต่อหน้าบรรดาชาวต่างชาติ

การที่นางวางตัวอย่างเหมาะสมเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังจิ่นหลิงและเหล่าชนชั้นสูง ก็เป็นเพราะนางเคยร่ำเรียนมาจากภพชาติก่อนหน้านี้ แต่ต่อให้นางจะเรียนมาเยอะเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบกับซูหว่านได้เลย

ทุกท่วงท่าของซูหว่านเหมือนในตำราเรียนไม่ผิดเพี้ยน ส่วนท่วงท่าของเฟิ่งชิงเฉินจะมีการกระโดกกระเดกบ้างเล็กน้อย การแข่งขันมารยาทจะใช้กลยุทธ์ก็ไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินคิดไม่ออกจริงๆว่านางจะหาทางเอาชนะได้อย่างไร จึงจำต้องตอบเขาไปตามจริง

น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินทำได้ดีเกินไป เสด็จอาเก้าจึงไม่เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินเตรียมตัวยังไม่พร้อม เขาบอกนางอย่างสบายอารมณ์ว่า “ตั้งใจทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยก็บอกมาได้เลย” แถมเขายังต่อท้ายไปอีกว่า “หากเจ้าแพ้ข้าเองคงเสียหน้า”

เฟิ่งชิงเฉินเหลือกตามองบนอยู่ในใจ นางอยากพูดเหลือเกินว่าหากกลัวเสียหน้านักก็ไม่ควรให้นางทำการแข่งขันกับตระกูลซูตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้นางกำลังปวดหัว ไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียง นางได้แต่ก้มหน้านิ่งพลางภาวนาว่าขอให้เสด็จอาเก้ารีบๆปล่อยนางกลับจวนเสียที

การที่เฟิ่งชิงเฉินว่านอนสอนง่ายเป็นสิ่งที่เสด็จอาเก้าปรารถนามานานแล้ว แต่เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่เสนอความคิดเห็นใดๆ เสด็จอาเก้ายิ่งมองก็ยิ่งเบื่อ นี่ไม่เหมือนเฟิ่งชิงเฉินเลย

ไปๆมาๆ ท่าทีนิ่งเงียบของเฟิ่งชิงเฉินก็ทำให้เขามองเห็นว่าควรจะลงมือจากจุดใด เห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นเช่นนี้แล้วเขาเองก็ไม่สบายใจ เพราะรู้สึกเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นทำตัวห่างเหิน

เสด็จอาเก้าไม่อยากปล่อยตัวเฟิ่งชิงเฉินให้กลับไป เขาคิดไปคิดมาแล้วจึงเอ่ยออกไปว่า “ชิงเฉิน แผลขององค์ชายรองไม่สู้ดีเท่าไรนัก วันนี้เจ้าว่าง ออกไปนอกเมืองกับข้าก็แล้วกัน”

เสด็จอาเก้าคิดในใจ หากเขาขี่ม้าไปนอกเมืองคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่

เปลี่ยนผ้าพันแผลหรือ? เฟิ่งชิงเฉินหงุดหงิด ก็ซีหลิงเทียนอวี่มีคนคอยช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้แล้วนี่นา อีกอย่างนี่ก็เพิ่ง 3 วัน จะให้เปลี่ยนผ้าพันแผลอะไรอีก

แต่เนื่องจากเสด็จอาเก้าสั่งมา จะให้นางปฏิเสธได้อย่างไร?

เฟิ่งชิงเฉินฝืนยิ้ม นางจำต้องลืมอาการเจ็บเข่าและปวดศีรษะไปก่อน แล้วจึงพยักหน้ารับคำ

บุญคุณของเสด็จอาเก้านางคงรับไว้นานมากไม่ได้ เขาเคยช่วยนางจากองค์หญิงอันผิงมาครั้งหนึ่ง นางต้องหาทางตอบแทนเขาสักครั้ง ป้ายตราประทับนั่นปล่อยให้เป็นจี้สวยๆไปก่อนก็แล้วกัน

เฟิ่งชิงเฉินลูบคอของตัวเองที่มีป้ายตราประทับแขวนอยู่

เสด็จอาเก้าเตรียมการอย่างรอบคอบ โดยเริ่มจากการเตรียมรถม้าคันงามไว้คันหนึ่ง แล้วให้คนที่มีรูปร่างใกล้เคียงเฟิ่งชิงเฉินนั่งไปบนรถม้าเพื่อพาตัวกลับไป ส่วนเขากับเฟิ่งชิงเฉินก็ขี่ม้าไปทางหุบเขาพร้อมๆกัน โดยมีองครักษ์ของจวนอ๋องตามไปด้วย

เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินก็เวียนศีรษะอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาควบม้าก็ยิ่งทำให้นางอาการแย่ลงไปอีก ตอนนางลงจากหลังม้า อาการเจ็บเข่าของนางก็ทำให้นางเกือบพลัดตกจากหลังม้า

“คุณหนูเฟิ่ง เป็นอะไรไหมขอรับ” องครักษ์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆรีบเข้ามารับร่างเฟิ่งชิงเฉินไว้ ทำให้นางปลอดภัยจากการตกจากหลังม้า

เสด็จอาเก้ารีบหันไปดูในทันที เมื่อเห็นฉากดังกล่าวแล้วก็จ้ององครักษ์ที่เข้ามาถูกตัวเฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาดุดัน ทำเอาองครักษ์ผู้นั้นตกใจจนรีบปล่อยมือออกจากเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมเตรียมตัวจะคุกเข่าขออภัย แต่ถูกเสด็จอาเก้าสั่งห้ามไว้ด้วยสายตา องครักษ์ผู้นั้นจึงได้แต่ก้มหน้านิ่ง

ทันใดนั้นเอง เฟิ่งชิงเฉินที่ถูกคนมาอุ้มไว้แล้วจู่ๆมาปล่อยร่างกะทันหันก็รู้สึกตกใจมาก หลังจากที่นางพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบากแล้วก็ยังไม่กล้าหันไปขอบคุณองครักษ์ผู้นั้น นางได้แต่ตั้งสติแล้วรีบเดินตามเสด็จอาเก้าในทันที

เสด็จอาเก้าขมวดคิ้ว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าวันนี้เฟิ่งชิงเฉินดูแปลกไป อาการเหินห่างที่เฟิ่งชิงเฉินแสดงอยู่ มันผลักไสเขาให้อยู่ห่างนางมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เสด็จอาเก้าคลางแคลงใจยิ่งนัก เห็นเฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าเบื่อหน่ายก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นคิดผิดที่พานางมายังหุบเขา จากนั้นเขาก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเมื่อกลับไปแล้วจะต้องรีบไปสืบว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นภายในวังกันแน่

เฟิ่งชิงเฉินนิ่งเงียบมาตลอดทาง เมื่อมาถึงบ้านไม้หลังเล็กๆแล้วก็ทักทายกับซีหลิงเทียนอวี่แค่เพียงไม่กี่คำ แล้วนางก็ไม่พูดอะไรอีก นางล้างมือ สวมถุงมือ แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ซีหลิงเทียนอวี่

ซีหลิงเทียนอวี่รู้สึกแปลกใจมาก ทำไมวันนี้เฟิ่งชิงเฉินถึงมาได้ ก็นางเคยบอกเองนี่นาว่า 7 วันแล้วค่อยเปลี่ยนผ้าพันแผล?

แต่ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ซีหลิงเทียนอวี่ก็สังเกตเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินกับเสด็จอาเก้ามีท่าทีแปลกๆ เขาจึงเก็บคำถามไว้ในใจ แล้วปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินทำแผลอย่างเงียบๆ

นางเงียบตั้งแต่เริ่มทำแผลจนพันแผลแล้วเสร็จ ทำให้เสด็จอาเก้ายิ่งมั่นใจว่าวันนี้นางดูแปลกไปจริงๆ

แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ค่อยสบาย แต่ท่าทางการทำแผลของนางก็ดูคล่องแคล่วดี เสด็จอาเก้ามองดูอย่างใจเย็น ดูท่าทางแล้ว เฟิ่งชิงเฉินคงไม่ได้ป่วยหนักอะไรหรอก เพียงแต่อารมณ์ไม่ดีเท่านั้นเอง

เสด็จอาเก้าปลอบโยนคนไม่เป็น เขาได้แต่จำใส่ใจไว้ว่า เมื่อเขากลับไปแล้วจะต้องไปสั่งสอนองค์หญิงอันผิงสักเล็กน้อย

เมื่อเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ซีหลิงเทียนอวี่เรียบร้อยแล้วเฟิ่งชิงเฉินก็เอ่ยปากขอให้เสด็จอาเก้าช่วยส่งคนพานางกลับไปพัก ตอนนี้นางเวียนศีรษะรุนแรงมาก แต่เสด็จอาเก้ากลับไม่อนุญาต มิหนำซ้ำยังให้นางไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาอีกด้วย

แม้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่สภาพอากาศในหุบเขาก็ทำให้สภาพแวดล้อมเขียวชอุ่ม แม้จะไม่มีเสียงนกร้องหรือกลิ่นหอมจากดอกไม้ แต่ก็มีกลิ่นอื่นๆลอยมา

พวกเขาเดินเล่นตามทางเดินในหุบเขา มีกลิ่นหอมของหญ้าลอยมาเป็นพักๆ ทำให้คนรู้สึกสดชื่นได้ เหมาะกับการเดินคุยเล่นยิ่งนัก ที่เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินมาที่หุบเขา ก็เพราะอยากให้นางได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติอันสดชื่น การแข่งขันในวันพรุ่งนี้ก็ไม่ได้เปลืองแรงเท่าใดนัก เขาเชื่อว่านางต้องทำได้อย่างแน่นอน

เสด็จอาเก้าหวังดีกับนางมาก แต่ดันหวังดีผิดเวลา เฟิ่งชิงเฉินต้องการปฏิเสธ แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธ ได้แต่จับมือนางแล้วพานางเดินไปเรื่อยๆ

ช่วงแรกๆเฟิ่งชิงเฉินก็ยังพอตามไหว แต่หลังจากที่เดินไปสักพักนางก็รู้สึกเหมือนคลื่นไส้ ในเวลานี้นางไม่สามารถคิดอะไรได้อีกแล้ว นางผลักเสด็จอาเก้าออกแล้วนำมือไปยันต้นไม้ไว้ จากนั้นจึงอาเจียนออกมา……

ท้องไส้ของนางรู้สึกไม่ค่อยดี แถมยังเวียนศีรษะมากๆด้วย ในหุบเขาก็อากาศหนาวเย็น เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าตนเองแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว นางต่อว่าเสด็จอาเก้าอยู่ในใจ ตัวเอง “ล้มป่วย” คนเดียวก็พอแรง นี่ยังต้องพาคนอื่นมาล้มป่วยตามไปด้วยจึงจะสาแก่ใจอย่างนั้นหรือ……