ส่วนที่ 5 ตอนที่ 3-2 เป็นตายด้วยกัน

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ฉินเจิงสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์ที่แทบพังทลายลงของนาง จึงยกมือปิดดวงตานางอย่างจนใจ “ไฉนถึงร้องไห้อีกแล้ว ต้องให้ข้าไปเอาชามในห้องครัวมารองหรือไม่ ประเดี๋ยวจะได้ใช้ตุ๋นไก่ ประหยัดน้ำดี”

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียง

 

 

           ฉินเจิงถอนหายใจ หันใบหน้านางมาหา ก่อนโน้มศีรษะจุมพิตบนเปลือกตานาง

 

 

           เซี่ยฟางหวารู้สึกเหมือนเปลือกตาถูกลวก หยาดน้ำตาแข็งตัวในทันใด

 

 

           ฉินเจิงจุมพิตแล้วจุมพิตอีกก่อนผละริมฝีปากออก เห็นดวงตาบวมแดงจากการร้องไห้ก็ทั้งขบขันทั้งถอนใจแผ่วเบา “เจ้าจิตใจดีงามถึงเพียงนี้ เหมือนชาติก่อนมิผิด เปลี่ยนไปที่ไหนกัน มักคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ กลับไม่เคยคิดถึงตัวเอง การอาศัยที่เขาไร้นามแปดปี ศพคนเป็นเหล่านั้นมิได้ทำให้เจ้าซึมซับจิตใจโหดร้ายมาอย่างแท้จริงสักหน่อย แรกเริ่มทำเพื่อจวนจงหย่งโหวกับตระกูลเซี่ย ยามนี้ก็ทำเพื่อแผ่นดินหนานฉิน ทำเพื่อข้า แล้วตัวเจ้าเองเล่า วางไว้ในตำแหน่งใด”

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่พูดจา

 

 

           ฉินเจิงเปลี่ยนคำพูด “แต่เจ้ามิได้นึกถึงตัวเองก็ไม่เป็นไร มีข้าวางเจ้าไว้ในใจก็เพียงพอแล้ว” หยุดชั่วครู่ มองนางแล้วเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่กลับเมืองจนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย หิวจะตายอยู่แล้ว”

 

 

           เซี่ยฟางหวาใช้แขนเสื้อเช็ดดวงตา มองเขาด้วยความโกรธเคือง “เจ้าไม่ยอมทำอาหาร เอาแต่ลากข้ามาพูดๆๆ ข้าคิดว่าเจ้าไม่หิวเสียอีก”

 

 

           “ตอนพาเจ้ามาที่นี่ ข้าเอาแต่มองเจ้าหลับด้วยโทสะ ทั้งมิอาจทำอันใดเจ้าได้ รอจนโทสะคลายลงแล้วก็กะเวลาที่เจ้าใกล้จะฟื้นขึ้นมา เดิมอยากทำอาหารแล้วกินข้าวกันก่อน จากนั้นเราค่อยมาพูดคุยกันดีๆ ทว่าเมื่อเจ้าฟื้นมาก็เริ่มยั่วโทสะข้า ตอนนี้แทนที่จะยอมรับว่าตัวเองผิด ยังตำหนิที่ข้าเอาแต่พูดๆๆ เจ้านี่ช่าง…” ฉินเจิงพลันทั้งโมโหทั้งยิ้มขำ

 

 

           เซี่ยฟางหวาตาแดงก่ำ แต่ก็รู้สึกขำขันอยู่บ้างเช่นกัน

 

 

           ฉินเจิงดึงแขนเสื้อนางมา ก่อนเช็ดคราบน้ำตาบนฝ่ามือเข้ากับแขนเสื้อนาง แล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าทำตัวดีๆ รอก่อน ข้าจะไปทำอาหารมาให้ เพื่อปรนนิบัติบรรพบุรุษเช่นเจ้า อย่าได้ฉวยโอกาสตอนที่ข้ากำลังทำอาหารทิ้งข้าไว้แล้วหนีไปอีก”

 

 

           “ไฉนถึงไม่เช็ดกับแขนเสื้อตัวเองเล่า” เซี่ยฟางหวาไม่พอใจ

 

 

           “ตอนนี้ข้ามีเสื้อผ้าแค่ชุดนี้ชุดเดียว” ฉินเจิงพูดพลางก็ข้ามธรณีประตู เดินไปยังห้องครัวอีกหน

 

 

           เซี่ยฟางหวาหมดคำพูด

 

 

           ไม่นาน เสียงกระทบของภาชนะก็ดังมาจากในห้องครัวอีกหน ตามมาด้วยเสียงสับเนื้อตึงตัง จากนั้นก็เป็นเสียงตัดฟืน ไม่นานกลิ่นหอมก็โชยมาจากห้องครัว

 

 

           เซี่ยฟางหวานั่งบนหัวเตียงเนิ่นนาน กระทั่งได้กลิ่นหอมโชยมา จึงค่อยๆ ลุกลงจากเตียงเดินไปที่ประตู

 

 

           บนพื้นดินกลางลานบ้านมีผ้าเช็ดหน้าเปื้อนคราบเลือดวางอยู่ คราบเลือดดุจดอกเหมยผลิบานเป็นหยดเล็กๆ สีแดงนั้นแห้งไปนานแล้ว

 

 

           เป็นผ้าเช็ดหน้าที่ฉินเจิงแย่งไปจากมือนางเมื่อก่อนหน้านี้ และถูกทิ้งบนพื้นอย่างไม่ไยดี

 

 

           นางยกมือกุมหน้าอก จ้องมองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นด้วยใบหน้ามืดครึ้ม

 

 

           คงเป็นเพราะนางใช้วิชาภูตผีติดต่อกัน บางทีอาจเป็นเพราะนางเสียเลือดให้เซี่ยอวิ๋นหลานไปหลายครั้ง และบางทีอาจเป็นเพราะนางกับฉินเจิงเคยเข้าหอหลังสมรสกัน ละเมิดกฎเหล็กของเผ่าภูตผี เลือดหล่อเลี้ยงหัวใจจึงกำเริบก่อนกำหนด

 

 

           นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อตอนที่พบฉินอวี้ในภูผาวกวน

 

 

           และเป็นตอนนั้นเองที่นางตัดสินใจยอมรับฉินอวี้

 

 

           ทว่าวกไปวนมา อ้อมไปอ้อมมารอบหนึ่ง สุดท้ายก็มิอาจต้านฉินเจิงได้

 

 

           แต่หากแม้ชาตินี้เป็นเหมือนชาติก่อน โลหิตไหลรินจนหมดตัว เลือดเหือดแห้งจนตาย ทว่าถ้ามีฉินเจิงอยู่เคียงข้าง นางก็ไม่กังวลแล้วเช่นกัน

 

 

           นางค่อยๆ ย่อกายลงตามกรอบประตู นั่งลงบนธรณีประตู

 

 

           แสงแดดเจิดจ้าด้านนอกกลับอบอุ่น แม้จะเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ภายในเรือนกลางหุบเขาลึกมิได้รู้สึกว่าแดดจัดเกินไปแต่อย่างใด กลับมีอุณหภูมิเหมาะสม ทั้งห่างไกลจากความวุ่นวาย เงียบสงบอย่างยิ่ง

 

 

           นางมิได้ดื่มด่ำกับแสงแดดอันสงบสุขแบบนี้มานานแล้ว

 

 

           นางเอียงศีรษะพิงกรอบประตู ร่างกายครึ่งหนึ่งก็พิงกรอบประตูเช่นกัน นั่งพิงอย่างสงบ

 

 

           ฉินเจิงนำไก่ฟ้าลงไปตุ๋นในหม้อ เติมฟืนเพิ่มเข้าไป ทั้งนึ่งอาหารให้อุ่นร้อน พอทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็ออกมาจากห้องครัว ครั้นเห็นเซี่ยฟางหวาในกิริยาเช่นนั้น คลายความเยือกเย็น เย็นชา หนาวเหน็บ และความรู้สึกอันน่าอึดอัดทั้งหลายรอบกายทิ้งไป นั่งพิงกรอบประตูด้วยความสงบ แสงแดดส่องลงมาขับให้งดงามดั่งภาพวาด สายลมบริสุทธิ์พัดมาเอื่อยๆ ม้วนเส้นผมสีดำขลับของนางสยาย สงบนิ่งดุจหญิงบริสุทธิ์ ดีงามเสียจนมิกล้าทำลายและรบกวน

 

 

           ฉินเจิงยืนนิ่งหน้าประตูห้องครัว ทอดสายตามองด้วยความหลงใหลชั่วขณะ

 

 

           เซี่ยฟางหวารับรู้ถึงสายตาของฉินเจิง จึงหันไปมองเขาที่อยู่หน้าห้องครัวเชื่องช้า

 

 

           กล่าวกันว่าวิญญูชนไกลจากห้องครัว ทว่าฉินเจิงราวกับมิได้รู้สึกว่าการทำอาหารให้นางเป็นเรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด

 

 

           นางนิ่งมองเขา ยามนี้ยิ่งรู้สึกว่าสวรรค์มิได้ปฏิบัติกับนางอย่างอยุติธรรม หากแต่ปฏิบัติกับนางอย่างดีเยี่ยม ฝันร้ายในวันวานเหล่านั้นถูกเขากำจัดจนหมดสิ้น

 

 

           บนโลกนี้มีคู่รักจำนวนมากที่ไม่สมหวัง รู้สึกต่อกันลึกซึ้งทว่าวาสนาไม่มากพอ ยามต้องเดินบนเส้นทางในปรโลก ย่ำดอกปี่อั้น ปล่อยให้น้ำตาแห่งความเสียใจแห้งเหือด กระทั่งมาดื่มน้ำแกงยายเมิ่งที่สะพานไน่เหอ แล้วกลับไปเกิดใหม่ในโลกหน้า ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกันแล้ว

 

 

           นางกับฉินเจิง โชคดีที่ยังมีชาตินี้

 

 

           นางเริ่มรู้สึกว่าน้ำตาคลอหน่วยอีกแล้วจึงรีบกะพริบตาไล่ ละสายตากลับมา ก้มหน้ามองบันไดศิลาเบื้องหน้า

 

 

           ฉินเจิงพลันผละจากห้องครัว เดินตรงมาหา เพียงสามก้าวก็มาถึงตรงหน้านาง เขาย่อตัวลงมองอีกฝ่าย พลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า “เซี่ยฟางหวา เกรงว่าข้าต้องหิวตายแล้วแน่ๆ”

 

 

           เซี่ยฟางหวาช้อนตามอง

 

 

           “ตรงนี้ หิวจนปวดใจไปหมด” ฉินเจิงจับมือนางมาวางบนหน้าอกตน

 

 

           ขนตาเซี่ยฟางหวาไหวระริก กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อีกนานหรือไม่กว่าอาหารจะเสร็จ ข้าต้องช่วยเจ้าหรือเปล่า”

 

 

           “ต้อง” ฉินเจิงพยักหน้า

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา

 

 

           ฉินเจิงโน้มกายเข้าใกล้นาง กระซิบข้างหูด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อีกครึ่งชั่วยามกว่าอาหารจะเสร็จดี ข้าเติมฟืนในท้องเตาไว้เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจมันอีก เพียงรอจนถึงเวลา อุ่นอาหารก็พร้อมกินแล้ว แต่ตอนนี้ข้ารอไม่ไหวแล้ว อยากกินเสียตอนนี้”

 

 

           เซี่ยฟางหวารู้สึกถึงลมหายใจเขาที่รินรดข้างหู ไอความร้อนทำเอาสตินางล่องลอย ครั้นได้ยินถ้อยคำของเขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อยทันที

 

 

           ฉินเจิงมองนาง ทั้งกล่าวเสียงต่ำอีก “ข้าอยากกินเจ้าก่อน”

 

 

           เซี่ยฟางหวาหน้าแดงในบัดดล ยกมือผลักเขาออกแล้วส่ายหน้า “มิได้”

 

 

           ฉินเจิงมองนาง ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย

 

 

           เซี่ยฟางหวาก้มหน้าลง ใบหน้าดุจเพลิงเผา พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ไว้ ก่อนกล่าวเสียงเบา “ข้าก็หิวแล้ว”

 

 

           “เช่นนั้นเจ้ากินข้า” ฉินเจิงหลุดยิ้ม

 

 

           ใบหน้าเซี่ยฟางหวาเห่อร้อนยิ่งกว่าเดิม ตวัดตาถลึงมองเขา

 

 

           ฉินเจิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ช้อนตัวนางขึ้นมาอุ้มโดยไม่สนใจคำทัดทานจากนาง ขาข้างหนึ่งถีบบานประตู อุ้มนางเข้าไปในห้องใหม่อีกครั้งก่อนวางลงบนเตียง ตวัดฝ่ามือปลดม่านที่หน้าต่างลง ตามมาด้วยม่านบนเตียง ก่อนเคลื่อนกายทาบทับด้วยความว่องไว ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดข้างหูนาง กัดติ่งหูแผ่วเบา น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่เจ้าจากไปวันนั้น ข้าก็คิดว่าหากได้พบเจ้าอีกครั้ง จะต้องทำให้เจ้าลงจากเตียงมิได้…”

 

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ทุบเขา

 

 

           ฉินเจิงโน้มหน้าป้อนจุมพิตอันร้อนแรงให้ “วิญญูชนห้ามกลับคำ พูดแล้วต้องทำให้ได้…”