เซี่ยฟางหวาอยากถามฉินเจิงมากว่า เจ้าเป็นวิญญูชนหรือไม่
แต่น่าเสียดาย เขามิให้โอกาสนางได้ไถ่ถาม
เตียงสะเทือน ม่านไหวแกว่ง คลื่นอารมณ์ข้นร้อนแรงภายในห้องมิจางลงเลยเช่นกัน
การจากกันเดือนเศษทำให้ฉินเจิงแทบอยากจะกลืนดรุณีในอ้อมกอดใต้ร่างลงท้อง ทว่าเห็นแก่สุขภาพของนาง จึงป้อนตนแค่พออิ่มอย่างใจดี จากนั้นก็ลุกไปห้องครัว ยกอาหารเข้ามาในห้อง ดึงสตรีผู้สลบไสลหมดเรี่ยวแรงไปแล้วขึ้นมา ป้อนอาหารรองท้องให้แก่นาง
ต่อมาฉินเจิงมิกลับคำพูดดังคาด ดื่มด่ำกับราตรีวสันต์ตลอดสามวันอย่างไม่รู้จักพอ เซี่ยฟางหวาลุกจากเตียงไม่ไหวสามวัน กระทั่งนางทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ในที่สุดฉินเจิงก็กินอิ่ม
เขาที่อิ่มสำราญแล้วสดชื่นยิ่ง อุ้มเซี่ยฟางหวาที่หมดเรี่ยวแรงขึ้นไปนั่งดูดาวบนหลังคา
ลมราตรีแผ่วเบา รัตติกาลเงียบสงบ บนเขาไร้ผู้ใดรบกวน ดวงดาราบนนภางดงามยิ่ง ทว่าเซี่ยฟางหวาเหนื่อยเกินรับไหว ไม่มีกะจิตกะใจมาชมหมู่ดาว เพิ่งสูดรับอากาศบริสุทธิ์นอกบ้านได้สองคำก็หลับไปแล้ว
ฉินเจิงก้มมองนาง ใบหน้าเล็กดวงนั้นเหนื่อยล้าเกินทน เขายื่นมือไล้โครงหน้าของนางด้วยความหวงแหน ยิ้มพลางส่ายหน้าเอ็นดู ก่อนอุ้มนางลงจากหลังคากลับเข้าห้อง
ครั้นวางเซี่ยฟางหวาลงบนเตียงแล้ว เขาก็พิงกายนางนิ่งพินิจมองอีกฝ่าย
มองอยู่เนิ่นนาน จนที่สุดก็ลุกขึ้นเดินมาริมหน้าต่าง ตะโกนเรียกเสียงแผ่ว “ชิงเหยียน”
“คุณชาย” ชิงเหยียนขานรับพร้อมร่อนกายลงนอกหน้าต่าง
“เจ้าอยู่เฝ้านางที่นี่ ข้าจะไปราชสุสานหน่อย” ฉินเจิงสั่งงาน
“หากพระชายาน้อยตื่นมาแล้วถามหาท่าน…” ชิงเหยียนตวัดตามองเขา
“อย่างน้อยที่สุดนางคงหลับไปจนถึงยามอู่พรุ่งนี้ ตอนนั้นข้าก็กลับมาแล้ว” ฉินเจิงพูดจบก็กล่าวต่อ “หากนางตื่นขึ้นมาก่อน เจ้าก็บอกนางไปตามตรง ข้าจะกลับมาก่อนยามอู่พรุ่งนี้”
“ขอรับ” ชิงเหยียนพยักหน้ารับ
ฉินเจิงออกไปจากห้อง
หุบเขาลึกลูกนี้ห่างจากราชสุสานประมาณร้อยลี้เศษ ครั้นฉินเจิงมาถึงราชสุสานก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว
หน้าประตูตำหนักใต้ดิน มีคนเห็นว่าฉินเจิงมาก็รีบทำความเคารพ “ท่านอ๋องน้อยเจิง”
ฉินเจิงพยักหน้ารับ “ข้ามาจุดธูปไหว้เสด็จอา”
คนเฝ้าตำหนักผงกศีรษะ ก่อนเปิดประตูตำหนักใต้ดินให้
ป้ายวิญญาณอดีตฮ่องเต้ตั้งอยู่ด้านหลังป้ายวิญญาณฮ่องเต้ในแต่ละรัชกาลของหนานฉินอย่างสงบ
ตำหนักใต้ดินมืดครึ้มปราศจากลมพัด ไฟตะเกียงลุกโชนนิ่งสงัด ส่องภาพวาดเหมือนเหนือป้ายวิญญาณอดีตฮ่องเต้จนดูสงบเป็นมงคล
ฉินเจิงเดินมาหยุดหน้าป้ายวิญญาณ นิ่งมองเงียบๆ
คลื่นลมในหนานฉินกว่าสามร้อยปีที่ผ่านมาสร้างฮ่องเต้ในแต่ละรุ่นมากน้อย ด้านหลังอดีตฮ่องเต้ยังมีตำแหน่งเว้นว่างอีกมากมายสำหรับรุ่นหน้า กระทั่งรุ่นหน้าหน้า และอีกหลายรุ่นนับจากนี้
ลำดับถัดไปที่วางต่อจากอดีตฮ่องเต้ก็คือฉินอวี้แล้ว
ทว่าแผ่นดินหนานฉินรัชกาลนี้ จะสืบสานและถ่ายทอดไปยังอนุชน หรือหยุดไว้เพียงเท่านี้ ไม่มีผู้ใดอาจบอกได้แน่ชัด
ฉินเจิงยืนนิ่งเป็นนาน ก่อนยื่นมือหาคนข้างกาย “นำธูปมาดอกหนึ่ง”
มีคนส่งธูปดอกหนึ่งให้เขา
ฉินเจิงยื่นมือรับ ปักธูปลงในกระถาง เนิ่นนานกว่าจะโน้มกายลงคำนับหนึ่งศีรษะ
และคุกเข่าบนพื้นอีกพักใหญ่กว่าจะลุกขึ้นมา ก่อนสอดมือเข้าในอกเสื้อ หยิบตราตำหนักใต้ดินออกมา วางลงบนป้ายวิญญาณอดีตฮ่องเต้
ผู้นั้นเห็นแล้วก็ชะงักตกใจ รีบเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน้อยเจิง ในเมื่ออดีตฮ่องเต้ทรงมอบตราตำหนักใต้ดินให้ท่าน ก่อนสวรรคตก็มิได้เรียกคืน แสดงว่ามอบมันให้ท่านสืบทอดต่อแล้ว”
ฉินเจิงมองผู้นั้นแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ยกมันให้ฉินอวี้”
ผู้นั้นชะงัก
ฉินเจิงหมุนตัวออกจากตำหนักใต้ดิน
นอกตำหนักใต้ดิน ภายใต้แสงจันทร์ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีดำตลอดร่าง ท่วงท่าสง่างามสุภาพแลทรงพลัง กำลังยืนเอามือไพล่หลังด้านนอกตำหนักใต้ดิน หากไม่พินิจมองให้ดี ราวกับแทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับรัตติกาล
คือฮ่องเต้องค์ใหม่ฉินอวี้ผู้ที่เดิมทีควรประทับอยู่ในวังที่เมืองหลวงหนานฉิน
หลังฉินเจิงออกมาจากตำหนักใต้ดิน มองปราดเดียวก็เห็นอีกฝ่าย เขาหยุดเท้าแล้วหรี่ตาลง
“เจ้ายังรู้จักมาราชสุสาน ยังรู้จักมาจุดธูปไหว้ป้ายวิญญาณเสด็จพ่อ ยังจำได้อีกหรือว่าตัวเองเป็นลูกหลานตระกูลฉิน” ฉินอวี้ได้ยินการเคลื่อนไหวของฉินเจิงก็หันกายกลับมา จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความเยือกเย็น ก่อนแค่นหัวเราะขึ้น “ถึงแผ่นดินหนานฉินกลายเป็นเถ้าธุลีก็มิได้เกี่ยวข้องกับเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าตอนนี้ลืมไปแล้วเสียอีกว่าตัวเองเป็นใคร”
ฉินเจิงมองตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่เอ่ยคำใด
ฉินอวี้จ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เห็นอีกฝ่ายไม่เอ่ยคำใด ตนก็ไม่เอ่ยคำใดเช่นกัน
ระหว่างทั้งสองมีพลังมืดไหลเวียนปะทะกัน พันรอบกันไปมา หน้าตำหนักใต้ดินยามราตรีเห็นชัดว่าท้องฟ้าเปิดจันทร์กระจ่าง ทว่ากลับมืดจนไม่เห็นความลึกดั่งก้นทะเลสาบอันมืดมิด
คนเฝ้าตำหนักใต้ดินลังเลพักหนึ่ง ก่อนก้าวขึ้นมาขัดจังหวะสายตาทั้งสอง สองมือยื่นตราตำหนักใต้ดินให้ฉินอวี้ พร้อมคุกเข่าลงข้างหนึ่งด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท นี่คือตราตำหนักใต้ดินที่ท่านอ๋องน้อยเจิงนำมาคืน บอกว่าให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอวี้หันไปมองคนเฝ้าตำหนัก
คนเฝ้าตำหนักถือตราตำหนักใต้ดิน ตราสะท้อนประกายบริสุทธิ์เยือกเย็นภายใต้แสงจันทร์
ฉินอวี้มองแวบหนึ่ง หันกลับมาแค่นหัวเราะกับฉินเจิง “เสด็จพ่อยกตราตำหนักใต้ดินให้เจ้าแล้วก็เป็นของเจ้า เจ้าคิดจะโยนทิ้งให้ข้าแบบนี้”
“ตราตำหนักใต้ดินเดิมอยู่ในการดูแลของฮ่องเต้รัชกาลนั้น ตอนนั้นเสด็จอาแก่แล้วและเลอะเลือน ก่อนสวรรคตจึงลืมเรียกคืนไป” ฉินเจิงตอบ
ฉินอวี้สะบัดพระหัตถ์อย่างแรง ตราตำหนักใต้ดินหลุดออกจากมือคนเฝ้าตำหนัก ลอยไปหาฉินเจิง
ตราตำหนักใต้ดินที่ลอยมาอัดแน่นไปด้วยพลังภายในของฉินอวี้ ดุดันรุนแรงอย่างยิ่ง
ด้านหลังฉินเจิงคือประตูตำหนักใต้ดินซึ่งทำจากเหล็ก หากเขาหลบ ตราตำหนักใต้ดินก็จะกระแทกโดนมัน ต้องแตกเป็นเสี่ยงแน่นอน เขาจึงได้แต่ยกมือรับตราตำหนักใต้ดินเอาไว้ ก่อนย่นคิ้วมองฉินอวี้
“ก่อนเสด็จพ่อสวรรคตมิได้เลอะเลือน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้พระราชโองการสั่งเสียก่อนเสด็จปู่สวรรคต เจ้าไม่ต้องการแผ่นดินหนานฉิน ข้าต้องขอบคุณเจ้าหรือไม่” ฉินอวี้มองเขาด้วยความเย็นชา “มีเพียงเสด็จพ่อที่หวงแหนแผ่นดินหนานฉินผืนนี้”
“เจ้าสืบทอดราชบัลลังก์ไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะหวงแหนแผ่นดินหนานฉินผืนนี้หรือไม่ ล้วนเป็นของเจ้าแล้ว” ฉินเจิงเม้มปาก
“เหตุใดข้าถึงสืบทอดราชบัลลังก์” ฉินอวี้จ้องเขา “มีฟางหวาเป็นฮองเฮาของข้า ข้าถึงสืบทอดราชบัลลังก์ หากไม่มีนาง ตำแหน่งฮ่องเต้สำหรับข้านั้นไร้ค่า ข้าจะยังต้องการมันไปอีกทำไม”
“นางมิอาจเป็นฮองเฮาของเจ้าได้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้ เจ้าจงตัดใจเสียเถอะ” ฉินเจิงมองเขาพลางกล่าวเสียงเรียบ
“ตัดใจ” ฉินอวี้มองเขา “ไหนเจ้าบอกข้าสิว่าตัดใจอย่างไร”
“เสด็จอาสั่งสอนเจ้ามาตั้งแต่เด็ก ให้เจ้าวางแผนต่อจวนจงหย่งโหว ต่อตระกูลเซี่ย เพราะเหตุนี้เจ้าถึงได้เห็นว่าจวนจงหย่งโหวมีสตรีตัวน้อยอยู่คนหนึ่ง นางชื่อว่าเซี่ยฟางหวา เจ้าวางแผนกับตระกูลเซี่ย นานเข้าแม้แต่นางก็ไม่เว้น” ฉินเจิงมองเขา “ฉินอวี้ ทำอย่างไรเจ้าถึงจะจำความปรารถนาเดิมของตัวเองได้”
“แล้วอย่างไร สลักลงหัวใจแล้วก็ยากจะถอนออก เจ้าจะให้ข้าปล่อยมือหรือ” ฉินอวี้เม้มปาก
“แผนที่เจ้าวางทั้งหมดกับแผนที่ข้าวางมาหลายปีนั้นต่างกัน สิ่งที่ข้าต้องการมีแค่เซี่ยฟางหวาคนเดียวเท่านั้น เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เริ่มจนจบ ต่อให้หนานฉินอันยิ่งใหญ่ล่มสลายลง ต่อให้จวนอิงชินอ๋องโรยรา ต่อให้ราชสุสานหนานฉินถูกกลบฝังเป็นเพียงธุลีในประวัติศาสตร์ ต่อให้ข้าฉินเจิงมิใช่แซ่ฉิน ต่อให้ต้องเจาะกระดูกหรือควักหัวใจออกมา ล้วนมิอาจปล่อยมือจากเซี่ยฟางหวา เจ้าทำได้หรือไม่” ฉินเจิงกล่าวเสียงเรียบ
“พูดได้น่าฟังนัก แล้วความรับผิดชอบที่เสด็จปู่กับเสด็จย่าทรงปลูกฝังบนตัวเจ้าเล่า เจ้าจะยอมทิ้งมันได้ลงคอรึ ไม่แยแสมันอีกเลย” ฉินอวี้ยิ้มเย็น
“ทำได้” ฉินเจิงพยักหน้าตอบโดยไม่ลังเล
“เจ้าคืนตราตำหนักใต้ดิน พานางไปยังสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดหาพบ เจ้าทำเช่นนี้ไตร่ตรองแล้วว่าจะเดินหนีปัญหา ไม่กลับเมืองอีกตลอดกาล” ฉินอวี้หรี่ตาลง
“อาจจะ” ฉินเจิงมองเขา
“เก็บความไม่แน่นอนของเจ้าไปเสีย” ฉินอวี้เกิดโทสะทันที ก้าวขึ้นมากระชากคอเสื้อฉินเจิง “แต่ไหนแต่ไรเจ้าเอาแต่ใช้ความตั้งใจของตนเองขับเคลื่อนชีวิต เจ้าไม่เคยนึกถึงคนอื่นเลยว่ายินยอมหรือไม่ ฟางหวายินยอมหรือไม่ ตระกูลเซี่ยมีรากฐานในหนานฉินหลายร้อยกระทั่งพันปี มีหนานฉินถึงมีตระกูลเซี่ย ฟางหวายินดีที่จะให้ตระกูลเซี่ยถูกฝังกลายเป็นธุลีไปพร้อมหนานฉินรึ ถึงแม้เจ้ากับนางถอนตัวออกจากสังคม แต่จะยอมมองหนานฉินล่มสลายลงกับตาโดยไม่แยแสหรือ ถึงครอบครัวพลัดที่นาคาที่อยู่ก็ไม่สนใจ ชาตินี้ของพวกเจ้าพอใจแล้วหรือ มองดูสุสานของบรรพบุรุษถูกเหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้า พวกเจ้าจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขรึ”
“ถึงตอนนั้นบางทีเราอาจไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ใช่ว่าจะเห็นมันกับตา ตามองไม่เห็นถึงจะสะอาด*[1]” ฉินเจิงปัดมือฉินอวี้ออก
“ตามองไม่เห็นถึงจะสะอาดดีนี่” ฉินอวี้พลันดึงกระบี่ออกมา จ่อลงบนลำคอของฉินเจิง “มิสู้เจ้าตายเสียตอนนี้ก็จบเรื่องแล้ว”
[1] *ตามองไม่เห็นถึงจะสะอาด หมายถึง ไม่มองสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ก็จะไม่หงุดหงิด