ฉินเจิงมองฉินอวี้ กระบี่อันเยือกเย็น แหลมคมเป็นที่สุด แววตาของฉินอวี้เต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาพลันยิ้มออกมา “ฉินอวี้ ถึงไม่มีเซี่ยฟางหวา เจ้าก็ยังเป็นฮ่องเต้ของหนานฉิน” หยุดเว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “เจ้าเป็นคนเดียวที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเป็นจักรพรรดิ”
ฉินอวี้เลื่อนกระบี่เข้าใกล้หนึ่งชุ่น
ฉินเจิงมิได้หลบ และมิได้ยกมือปัดออกเช่นกัน หากแต่มองเขา “ก่อนเสด็จย่าสวรรคตเคยถามข้าว่า อยากให้ข้าพิจารณาดูอีกครั้ง แผ่นดินหนานฉิน ความสูงศักดิ์ของจักรพรรดิ คุณงามความดีพันปี สร้างความน่าเคารพศรัทธาสืบต่อไปอีกหมื่นชาติ หรือว่าข้าไม่ต้องการมันจริงๆ หรือ ทั้งๆ ผู้คนมากน้อยฝันถึงมันหากแต่มิได้มา ข้าบอกเสด็จย่าว่า หากข้าต้องการแล้วไม่มีเซี่ยฟางหวา หากไม่มีนาง ถึงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงได้มาจะมีประโยชน์ใด”
ฉินอวี้เลื่อนกระบี่เข้าไปใกล้ขึ้นอีก คมกระบี่แฉลบโดนลำคอฉินเจิง เลือดพลันไหลออกมา
ฉินเจิงยังพูดต่อโดยไม่แม้แต่กะพริบตา “เสด็จย่าได้ยินคำตอบข้าจึงถอนหายใจยาวเหยียด สุดท้ายตรัสว่านี่คือลิขิตสวรรค์ ข้ากลับคิดว่าเดิมทีมิใช่ลิขิตสวรรค์อันใด แต่เป็นการเลือกของข้า” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ฟางหวาใช้วิชาภูตผีย้ายคำสาปใจเดียวบนตัวเจ้ามาไว้บนตัวนางเองแล้วใช่ไหม”
ฉินอวี้ชะงักมือ
ฉินเจิงมองเขา ก่อนค่อยๆ แย้มยิ้มออกมา “ตอนนั้นเจ้าน่าจะทราบการตัดสินใจของนางแล้ว ถึงแม้นางตายก็ย่อมเป็นคนของข้า เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด พระราชโองการสั่งเสียที่เสด็จปู่ทิ้งไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ถูกนางทำลายไปแล้ว ตราโยกย้ายทหารก็มอบให้เจ้าแล้วเช่นกัน”
“ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด เหตุใดนางถึงต้องการออกเรือนกับเจ้าเท่านั้น เห็นชัดว่าการออกเรือนกับเจ้ามีแต่จะนำไปสู่ความตาย เจ้ารู้หรือไม่ ตอนข้าพบนางที่ภูผาวกวน นางกำลังกระอักเลือก ทว่ายังถอนพิษโรคห่าให้ข้า และฉวยโอกาสนั้นใช้วิชาภูตผีย้ายคำสาปใจเดียวบนตัวข้าออกไป” ฉินอวี้จ้องเขาเขม็ง ใบหน้าท้อแท้สิ้นหวัง
ฉินเจิงมีสีหน้ามืดครึ้มทว่านิ่งสงบ “เกิดมาพร้อมความรู้ ตายไปย่อมมีที่ฝัง”
“ความรักของเจ้าคือการให้นางตายไปพร้อมเจ้ารึ” ฉินอวี้มองเขา เลือดสดไหลตามแนวคมกระบี่ เปรอะเปื้อนปกเสื้อรวมถึงสาบเสื้อบริเวณหน้าอกด้วย ท่ามกลางราตรี นึกไม่ถึงว่าจะแดงฉานสะดุดตาเช่นนี้
“ถ้ามีชีวิตอยู่ได้ใครจะไม่อยากมี หากวันหนึ่งไร้กำลังเอาชนะอุปสรรคจริง ก็คงทำได้เพียงเชื่อฟังโชคชะตา” แววตาฉินเจิงอ้างว้างเงียบเหงา
“โชคชะตา เจ้าไม่เชื่อในลิขิตสวรรค์มิใช่หรือ” ฉินอวี้มองเขา
“ข้าไม่เชื่อ ดังนั้นจึงยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้นางมีชีวิตอยู่” ฉินเจิงก้มมองลำคอตนเอง “ฉินอวี้ เจ้ามิได้อยากสังหารข้าจริงๆ แล้วเหตุใดถึงต้องจับกระบี่ให้ทรมานด้วย ไม่เหนื่อยรึ ข้าได้รับบาดเจ็บ นางมองปราดเดียวก็เห็นแล้ว เจ้าจะให้ข้าบอกนางว่าอย่างไร”
“จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังกลัวว่าจะบอกนางไม่ถูกอีก” ฉินอวี้แค่นหัวเราะ
“ใจนางค่อนข้างอ่อน” ฉินเจิงถอนหายใจออกมา
ฉินอวี้เก็บกระบี่กลับมาโดยพลัน จ้องมองเขาพร้อมเอ่ยย้ำทีละคำ “เจ้าอย่าได้คิดจะเมินเฉยแผ่นดินหนานฉิน แผ่นดินนี้เป็นของข้าก็จริง แต่เจ้าก็มีส่วนรับผิดชอบด้วย ส่วนฟางหวา ข้ามิใช่แพ้ให้เจ้า แต่แพ้ให้หัวใจนาง เรื่องที่นางรับปากข้าไว้ เจ้าคิดจะกำจัดทิ้งก็กำจัดทิ้งได้รึ สิ่งที่เจ้าพูดมาไม่นับ ข้าให้เวลาเจ้าสิบวัน สิบวันให้หลัง เจ้าต้องพานางกลับเมือง”
“หากนางไม่อยากกลับเมืองเล่า” ฉินเจิงถาม
“นางไม่คิดเช่นนั้นแน่ เจ้าพูดถูกแล้ว นางใจอ่อนกว่าเจ้า และมีเมตตากว่าเจ้าด้วย” ฉินอวี้หันหลังกลับ ก่อนตรัสเสียงเย็น “แผ่นดินผืนนี้เดิมทีเป็นของเจ้า เจ้าไม่ต้องการมันจึงโยนมาให้ข้า แต่อย่าได้คิดจะทิ้งเจ้าของมันไปด้วย ข้าราชาภิเษกปกครองแผ่นดินหนานฉินผืนนี้ต่อก็เพื่อฐานะของข้า เพื่อเสด็จพ่อ เพื่อราษฎรในหนานฉิน และเพื่อฟางหวา แต่ตลอดกาลมิใช่เพื่อเจ้า จงจำสิ่งนี้ให้ขึ้นใจ”
ฉินเจิงกระตุกมุมปาก “นับแต่โบราณมา พี่น้องมักทะเลาะแย่งชิงกัน อำนาจจักรพรรดิเปื้อนเลือด แต่หนานฉินรัชสมัยนี้ไม่มีการแก่งแย่ง เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ หรือว่าต้องให้เกิดการแก่งแย่งกันก่อนถึงจะนอนหลับ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เจ้ามิได้ทำเพื่อข้าก็ดี จักรพรรดิควรมีท่าทีของจักรพรรดิ”
ฉินอวี้หันกลับมามองเขาด้วยโทสะ “ตอนนี้เจ้าลำพองใจอันใด เจ้าทำให้ฟางหวามีชีวิตต่อไปได้ก่อนค่อยลำพองใจเถอะ”
“ไม่ถึงวาระสุดท้าย ข้าก็ไม่สิ้นหวังโดยเด็ดขาด” ฉินเจิงหุบยิ้ม
“จำคำเจ้าไว้ให้ดี” ฉินอวี้ถลึงตามอง ไม่ยืดเยื้อเสียเวลา หมุนตัวเดินออกไปทันที
ฉินเจิงมองแผ่นหลังฉินอวี้หายไปท่ามกลางรัตติกาล เขาเงยหน้ามองนภา ก่อนหันกลับไปมอง
ราชสุสาน แสงจันทร์ยามราตรีห้อมล้อมด้วยหมอกสายันต์ทุกหนแห่ง ราชสุสานเงียบสงัดและสงบ มีเพียงสถานที่พักผ่อนของบรรพบุรุษแต่ละรัชกาลของแผ่นดินหนานฉินที่เป็นสถานที่อันสงบสุขอย่างแท้จริง
หากลูกหลานรุ่นหน้ามิอาจปกป้องไว้ได้ มันก็จะกลายเป็นแดนรกร้างว่างเปล่า
ในฐานะลูกหลานราชนิกุลหนานฉิน เขายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
โชคดียังมีฉินอวี้ ฉินอวี้สมกับที่เป็นโอรสซึ่งได้เสด็จอาอบรมสั่งสอนมาข้างกาย เนื้อแท้ของเขามีความเป็นจักรพรรดิหยั่งรากลึก ต่อให้ไม่มีฟางหวา เขาก็สามารถเป็นฮ่องเต้ของหนานฉินได้
หนานฉินจะไม่เหมือนชาติก่อนอีกแล้ว ที่หลังตระกูลเซี่ยล่มสลายลง แผ่นดินพลอยล่มสลายตาม ไร้กำลังกอบกู้คืนมา
เขาหยุดนิ่งเป็นนานก่อนก้มหน้าลง มองตราตำหนักใต้ดินในมือ จากนั้นก็หันไปมองคนเฝ้าตำหนัก
“สายลับตำหนักใต้ดินสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อผู้ถือตราตำหนักจนตัวตาย” คนเฝ้าตำหนักคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
ฉินเจิงมองเขาแล้วยิ้มออกมา “สมกับเป็นคนที่เสด็จปู่เลือก ลุกขึ้นเถิด”
คนเฝ้าตำหนักลุกขึ้นยืน
ฉินเจิงยกมือลูบลำคอแล้วเอ่ยถามเขา “มียาจินชวง**[1]ดีๆ หรือไม่”
คนเฝ้าตำหนักพยักหน้าตอบ มองลำคอเขาแล้วเอ่ยขึ้น “แต่ถึงเป็นยาจินชวงที่ดีที่สุดก็ต้องใช้เวลาสามวันกว่าจะสมานกันขอรับ”
“หลายปีที่ผ่านมาฉินอวี้ไม่เคยแตะต้องข้าได้แม้แต่เส้นผม วันนี้นับว่าเขาได้ระบายโทสะแล้ว” ฉินเจิงยกมือไล่ “ข้ารอถึงสามวันมิได้ ไปนำยามา ข้าทาเสร็จก็กลับแล้ว”
คนเฝ้าตำหนักรีบไปนำยามา
ก่อนยามอู่ เซี่ยฟางหวาก็ตื่นขึ้นมาแล้ว นางลืมตาขึ้นพบว่าข้างกายว่างเปล่า ยื่นมือลูบฟูกนอนก็สัมผัสได้ถึงความเย็น ทั้งยังไร้ร่องรอยการนอน นางยกมือนวดหน้าผาก ก่อนลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า ลุกไปแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้อง
ในลานบ้านเงียบสงบอย่างยิ่ง กลางลานไม่มีผู้ใด ห้องครัวก็ไม่มีเสียงคน
นางพิงลำตัวเข้ากับกรอบประตู มองไปยังผืนป่าที่โอบล้อมเทือกเขา
ชิงเหยียนปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง ยืนกลางลานแล้วประสานมือคำนับ “พระชายาน้อย ท่านอ๋องน้อยออกไปราชสุสานตั้งแต่เมื่อคืน บอกว่าจะกลับมาก่อนยามอู่วันนี้ขอรับ”
เซี่ยฟางหวามองชิงเหยียนแวบหนึ่งแล้วพยักหน้ารับ
ชิงเหยียนตวัดตามองนาง พบว่านางมิได้แปลกใจแต่อย่างใด ทั้งใบหน้ายังนิ่งสงบอ่านอารมณ์ไม่ออก เขาเป็นกังวลขึ้นมา ลังเลครู่หนึ่งแล้วอธิบาย “ท่านอ๋องน้อยน่าจะไปจุดธูปไหว้อดีตฮ่องเต้ที่ราชสุสาน และถือโอกาสคืนตราตำหนักใต้ดินด้วย”
เซี่ยฟางหวาเห็นชิงเหยียนดูระมัดระวัง ตึงเครียดอย่างยิ่ง นางระบายยิ้มออกมาแล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าจะรอเขากลับมา”
ชิงเหยียนโล่งใจ “ข้าน้อยจะไปทำอาหารให้”
เซี่ยฟางหวาชะงักไปครู่หนึ่ง ถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าทำอาหารเป็นด้วยหรือ”
“น่าจะเป็น” ใบหน้าชิงเหยียนคล้ายแดงเล็กน้อย
“น่าจะเป็น?” เซี่ยฟางหวามองเขา
“มองคุณชายทำบ่อยๆ จึงเรียนรู้มาเจ็ดแปดส่วน” ชิงเหยียนพยักหน้า
“เจ้าไม่ต้องทำ ข้าทำเองดีกว่า เจ้าไปเถอะ” เซี่ยฟางหวายกมือห้าม
ชิงเหยียนมองนาง ราวกับเป็นห่วงสุขภาพนาง “แต่…”
เซี่ยฟางหวาพลันรู้สึกว่าชิงเหยียนน่าขันไม่น้อย การต้องติดตามข้างกายฉินเจิงมาตั้งแต่เด็กทำให้องครักษ์ประจำตัวคนนี้ลำบากมากกระมัง นอกจากคอยคุ้มครองเขา นึกไม่ถึงว่าแม้แต่การทำอาหารยังต้องเรียนรู้จากเขาด้วย นางส่ายหน้าก่อนยิ้มกล่าว “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร หากแม้แต่อาหารยังทำมิได้ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”
ชิงเหยียนเห็นนางปกติดีจึงพยักหน้ารับ
เซี่ยฟางหวาเดินไปยังห้องครัวเล็กได้สองก้าวก็หันกลับมาถาม “มีแค่เจ้าคนเดียวรึ”
“คุณชายให้ข้าอยู่ดูแลท่าน” ชิงเหยียนพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด ก่อนเอ่ยบอกเขา “เช่นนั้นเจ้ามาช่วยข้าก่อไฟแล้วกัน จะได้ช่วยข้าแยกแยะด้วยว่าอันไหนเกลืออันไหนน้ำตาล”
ชิงเหยียนพยักหน้า
เซี่ยฟางหวามาถึงห้องครัว พบว่าด้านในมีทุกอย่างครบครัน ทั้งกระทะถ้วยชาม ข้าวสาร แป้ง น้ำมัน เครื่องปรุง ผักผลไม้ เนื้อ และเครื่องยา ถึงแม้อาศัยที่นี่หลายเดือนก็ยังเพียงพอ ดูท่าฉินเจิงมิได้ตั้งใจจะพานางกลับในเวลาอันสั้น
เซี่ยฟางหวาล้างมือก่อนเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ส่วนชิงเหยียนรับหน้าที่ก่อไฟ ขณะเดียวกันก็ช่วยนางแยกเกลือกับน้ำตาล
เมื่อนำวัตถุดิบลงกระทะ เซี่ยฟางหวาก็หยิบขวดกระเบื้องขึ้นมาถามชิงเหยียน “นี่ใช่เกลือหรือไม่”
ชิงเหยียนมองแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “เกลือขอรับ”
“แน่ใจนะ” เซี่ยฟางหวาถาม
ชิงเหยียนมองอีกหน แล้วพยักหน้าตอบ “แน่ใจขอรับ”
เซี่ยฟางหวาเทลงในกระทะ
ทั้งสองร่วมมือกันเช่นนี้ ครั้นทำอาหารไปสี่อย่าง ฉินเจิงก็กลับมาจากข้างนอก
หลังเขากลับมาก็ตามเสียงมาถึงห้องครัว เซี่ยฟางหวามองปราดเดียวก็เห็นคราบเลือดบนลำคอเขาแล้ว แม้เขาสวมอาภรณ์คอสูงทว่ายังคงปิดไม่มิด นางย่นหัวคิ้ว “ไฉนถึงบาดเจ็บกลับมา”
“ไม่มีอะไร” ฉินเจิงโบกมือปัด หาตะเกียบมาลิ้มรสคำหนึ่ง พอคีบเข้าปากก็เผยสีหน้าขมขื่นทันที มองเซี่ยฟางหวาแล้วยันหน้าผากอย่างจนใจ “ไฉนจนถึงป่านนี้แล้วเจ้ายังแยกเกลือกับน้ำตาลไม่ออกอีก”
เซี่ยฟางหวารีบหันไปมองชิงเหยียน
ชิงเหยียนมองฉินเจิง ชะงักค้างไปแล้วเช่นกัน
ฉินเจิงเข้าใจเรื่องราวทันที ทั้งโมโหทั้งหัวเราะ ชี้ชิงเหยียนแล้วเอ่ยถามเซี่ยฟางหวา “เจ้าให้เขาช่วยแยกหรือ เขาก็แยกเกลือกับน้ำตาลไม่ออกเหมือนกัน ทำเป็นแค่จับกระบี่”
เซี่ยฟางหวามองชิงเหยียน หมดคำพูดทั้งยิ้มขำไปชั่วขณะ
[1] **ยาจินชวง ยาทาภายนอก ใช้รักษาแผลที่เกิดจากของมีคมบาด