ส่วนที่ 5 ตอนที่ 5-1 แผนการหลายปี

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ที่แท้คนที่แยกเกลือกับน้ำตาลไม่ออกก็มิได้มีแค่นางคนเดียว ยามนี้นับว่าหาพันธมิตรเจอแล้ว 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองกับข้าวสี่อย่าง ลำบากใจชั่วขณะหนึ่ง กว่าจะทำขึ้นมามิง่าย คงต้องเททิ้งกระมัง 

 

 

           ฉินเจิงโยนตะเกียบ ดึงเซี่ยฟางหวาหลบออกมาแล้วตนเป็นฝ่ายลงมือทำอาหารเอง หลังทำอาหารเสร็จแล้ว เขาก็ชี้ไปยังกับข้าวสี่อย่างฝีมือเซี่ยฟางหวา เอ่ยบอกชิงเหยียน “เจ้ารับผิดชอบด้วยการกินมันให้หมด” 

 

 

           ชิงเหยียนมีสีหน้าขมขื่นทันที 

 

 

           ฉินเจิงยกอาหารขึ้นมา สื่อความหมายให้เซี่ยฟางหวาตามตนออกไป 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองชิงเหยียนด้วยความขำขันแวบหนึ่ง ก่อนตามฉินเจิงออกจากห้องครัว 

 

 

           ครั้นกลับมาถึงห้อง ฉินเจิงก็วางอาหารลง ก่อนหมุนตัวกลับมาดึงเซี่ยฟางหวาเข้าหาอ้อมอก แล้วโน้มศีรษะจูบนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวายกมือทุบเขา ทันใดนั้นก็นึกถึงบาดแผลบนลำคออีกฝ่ายได้ จากทุบจึงเปลี่ยนเป็นผลักแทน 

 

 

           ฉินเจิงถูกนางผลักออกอย่างไม่เต็มใจนัก จึงมองนางด้วยความไม่พอใจ 

 

 

           “เกิดอะไรขึ้น บาดเจ็บได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาชี้ลำคอเขา  

 

 

           “เจอฉินอวี้ที่ราชสุสานเข้า” ฉินเจิงเบะปาก  

 

 

           “พวกเจ้าทะเลาะกันหรือ” เซี่ยฟางหวาย่นหัวคิ้ว  

 

 

           ฉินเจิงหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้แล้วส่ายศีรษะ “เปล่า ใครอยากทะเลาะกับเขากัน” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา “แล้วเจ้า…” 

 

 

           “เขาถือกระบี่ชี้หน้าข้า ต้องการสังหารข้า ข้ายอมให้เขาสังหารแล้ว แต่เขาก็ไม่ทำ” ฉินเจิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แค่แฉลบผิวหนังชั้นหนึ่งเท่านั้น ไม่เกินสามวันแผลก็สมานกันแล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาก็มองออกว่าเป็นแผลเล็กน้อยและทายาจินชวงแล้ว ภายในสามวันแผลก็สมานกันจนตกสะเก็ดพอดี นางหย่อนกายนั่งลงเชื่องช้า เอ่ยถามเขาว่า “เจ้าออกไปตอนข้าหลับเมื่อคืนหรือ กว่าจะไปถึง 

 

 

ราชสุสานก็ดึกมากแล้ว ฉินอวี้ไปอยู่ที่ราชสุสานได้อย่างไร” 

 

 

           “ราชสุสานมีคนของเขา คงทราบข่าวว่าข้าไปจึงตามไปด้วย” ฉินเจิงหยิบตะเกียบขึ้นมา “หิวมาก” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาทราบว่าเขาระหกระเหินไปกลับคงเหนื่อยแย่แล้ว จึงไม่พูดคุยรบกวนอีก ปล่อยให้เขาได้กินข้าวอย่างสงบ 

 

 

           หลังกินข้าวเสร็จ ฉินเจิงก็นั่งพิงพนักอี้อย่างเกียจคร้าน ภายใต้แสงแดดส่องลงมา เขาสะลึมสะลือคล้ายจะหลับเต็มที 

 

 

           “ไปนอนบนเตียงเถอะ” เซี่ยฟางหวาเอื้อมมือไปคว้าแขนเขา  

 

 

           “เจ้านอนเป็นเพื่อนข้าหน่อย” ฉินเจิงถือโอกาสกอดนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเขกศีรษะเขาอย่างแรงครั้งหนึ่ง กระฟัดกระเฟียดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “เจ้านอนเองสิ หากข้ายังนอนอีกคงรากงอกบนเตียงกันพอดี” 

 

 

           ฉินเจิงหัวเราะแผ่วเบา “รากงอกบนเตียงก็ดี” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาผลักเขา 

 

 

           ฉินเจิงหรี่ตามองนางพร้อมเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าคิดถึงเจ้าอีกแล้ว ทำเช่นไรดี” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหน้าร้อนผ่าว หยิกแขนเขาด้วยความโหดเ**้ยม ก่อนถามเสียงทุ้มต่ำเลียนแบบเขา “ยังคิดอีกหรือไม่” 

 

 

           “ผู้หญิงใจร้าย” ฉินเจิงลั่นวาจาเยือกเย็น 

 

 

           เซี่ยฟางหวาลดมือลง “ยังไม่รีบไปนอนอีก” 

 

 

           ฉินเจิงกอดนางไม่ยอมปล่อยมือ ถามอย่างเกาะแกะ “ข้าไปนอน แล้วเจ้าเล่า” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด “ข้าไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องแล้ว” 

 

 

           “เจ้าคงไม่ฉวยโอกาสตอนข้าหลับหนีไปอีกหรอกกระมัง” ฉินเจิงมองนาง  

 

 

           “ตอนนี้ข้าจะยังหนีไปไหนได้ เจ้าวางค่ายกลที่ข้าทำลายมิได้ไว้ด้านนอก” เซี่ยฟางหวาทั้งโมโหทั้งขำ 

 

 

           “ค่ายกลแค่นี้จะหยุดเจ้าได้หรือ ข้าไม่ยักเชื่อ” ฉินเจิงเบะปาก  

 

 

           เซี่ยฟางหวามองไปด้านนอกแวบหนึ่ง เห็นป่าเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ นางจึงเอ่ยขึ้น “หยุดได้ เหยียนเฉินบอกข้า ภายในหนึ่งเดือนห้ามใช้พลังภายใน ภายในครึ่งปีห้ามใช้วิชาภูตผี หากจะทำลายค่ายกลนี้ ข้าต้องใช้วิชาภูตผีเท่านั้น” 

 

 

           ฉินเจิงก้มหน้าจุมพิตนาง ก่อนยิ้มกล่าวด้วยความอ่อนโยน “เชื่อฟังก็ดีแล้ว ข้าก็มิอยากขังเจ้าไว้เหมือนกัน” พูดจบ ก็หยิบผืนผ้าไหมจากใต้แขนเสื้อมาส่งให้นาง “นี่เป็นแผนที่ของเขาลูกนี้ ในนั้นมีจุดสำคัญของค่ายกลปิดตายอยู่ หากเจ้าอยากออกไปเดินเล่นก็ไปเถิด” 

 

 

           เซี่ยฟางหวารับมาก่อนเลิกคิ้วมองเขา “ไม่กลัวข้าหนีแล้วหรือ” 

 

 

           “ข้าก็อยู่ที่นี่ เจ้าจะหนีไปไหนได้” ฉินเจิงหาวหวอด ก่อนเดินไปยังเตียงพลางโบกมือไล่ “ข้าจะนอนครึ่งวัน หากเจ้าออกไปเที่ยวเล่นก็กลับมาก่อนฟ้ามืด เข้าใจไหม” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหันไปมองเขา พบว่าเขาขึ้นไปนอนบนเตียงพร้อมหลับตาลงแล้ว นางระบายยิ้มออกมา นั่งข้างหน้าโต๊ะ พลางหยิบผืนผ้าไหมมากางออกบนโต๊ะ 

 

 

           เมื่อมีแผนที่ แค่มองปราดเดียวก็เห็นสภาพเขาทั้งหมดแล้ว 

 

 

           ห่างจากเมืองหลวงทางทิศเหนือหนึ่งร้อยลี้ เป็นภูเขาที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา ต้องยอมรับว่าฉินเจิงช่างเลือกสถานที่เก่งนัก ด้วยสภาพภูมิประเทศเช่นนี้ ผนวกกับสร้างค่ายกลเพิ่ม มิน่าถึงกลายเป็นดินแดนสุขาวดี ผู้ใดก็มิอาจหาพบ 

 

 

           โดยเฉพาะภูเขาลูกนี้นึกไม่ถึงว่าเชื่อมต่อกับหน้าผาปี้เทียน ระยะห่างแสนไกลฝั่งตรงข้ามมีหน้าผาปี้เทียนคอยกีดขวางมันไว้ พืชพันธุ์ไม้ในป่าเขียวชอุ่ม เกิดเป็นทิวทัศน์อันยอดเยี่ยม 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเก็บผ้าผืนผ้าไหม เดินออกมาจากห้องแล้วส่งเสียงเรียก “ชิงเหยียน” 

 

 

           “พระชายาน้อย” ชิงเหยียนปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้าอมทุกข์ 

 

 

           “ในเขาลูกนี้มีพวกเห็ดหรือผักป่าให้เก็บหรือไม่” เซี่ยฟางหวาส่งยิ้มให้เขาพร้อมเอ่ยถาม 

 

 

           ชิงเหยียนครุ่นคิด “มีกระมัง” 

 

 

           “ตกลงว่ามีหรือไม่มีกันแน่” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

 

           ชิงเหยียนเกาศีรษะ ตอบอย่างลำบากใจ “มิอย่างนั้นให้ข้าน้อยไปหาดูก่อนหรือไม่” 

 

 

           “เจ้ารู้จักเห็ดกับผักป่าหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขาอย่างไม่ไว้ใจนัก 

 

 

           “รู้จักขอรับ” ชิงเหยียนพยักหน้า 

 

 

           “เช่นนั้นเจ้าไปกับข้าด้วยแล้วกัน” เซี่ยฟางหวาบอก 

 

 

           ชิงเหยียนมองเข้าไปในห้องแวบหนึ่ง พบว่าฉินเจิงหลับไปแล้ว จึงพยักหน้ารับ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินไปหาตะกร้าสองใบในห้องครัว ส่งใบหนึ่งให้ชิงเหยียน และถืออีกใบหนึ่งไว้เอง จากนั้นก็ออกจากประตูกำแพงรั้วไผ่ 

 

 

           ทั้งสองเดินไปในภูเขา 

 

 

           ออกมาจากเรือนได้มิไกล ครั้นมาถึงป่าด้านหลังภูเขา เซี่ยฟางหวาย่อตัวลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง เก็บเห็ดขึ้นมาหนึ่งดอกแล้วหันไปถามชิงเหยียน “นี่ใช่หรือไม่” 

 

 

           ชิงเหยียนมองแล้วมองอีก “ใช่กระมัง” 

 

 

           “ตกลงว่าใช่หรือไม่ใช่” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ 

 

 

           “ใช่ขอรับ” ชิงเหยียนพยักหน้า ตอบอย่างมั่นใจ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาใส่มันลงในตะกร้า แล้วเอ่ยบอกเขา “หากไม่ใช่ พอทำเสร็จแล้วก็ให้เจ้ากินแทน” 

 

 

           ชิงเหยียนสั่นกลัวขึ้นมาทันใด กล่าวอย่างระแวดระวัง “ถ้ามิอย่างนั้น ท่านทิ้งมันไปดีกว่า หากมิใช่เล่า” 

 

 

           “เมื่อครู่เจ้าแน่ใจว่าใช่มิใช่หรือ” เซี่ยฟางหวาฟังแล้วก็หมดคำพูด  

 

 

           ชิงเหยียนไร้คำจะโต้แย้ง 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ก่อนนำเห็ดในตะกร้าโยนใส่ตะกร้าเขาแทน “คนเรียนวิชาแพทย์ต้องแยกแยะสมุนไพรนับร้อยนับพันชนิดให้ได้ ถึงหยิบมาอย่างหนึ่งจากในเขาลูกนี้ข้าก็รู้จักทั้งหมด” พูดจบ เห็นว่าชิงเหยียนชะงักนิ่งไป นางจึงยิ้มกล่าว “น้ำตาลกับเกลือสำหรับข้านั้นเป็นกรณีพิเศษ เอาตามนี้แล้วกัน เจ้าเก็บเห็ดไป ข้าจะเก็บผักป่าเอง ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าเก็บผิดเล่า มิฉะนั้นเจ้าต้องกินมัน” 

 

 

           ชิงเหยียนมองนางอย่างหมดคำพูด เนิ่นนานก็พยักหน้ารับ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหันตัวกลับมา ก่อนถอนหายใจ “ดูท่าหากข้ากับฉินเจิงมีลูก คงมิอาจให้เจ้าดูแลได้เป็นแน่ ทึ่มขนาดนี้ หากทำให้ลูกของข้าทึ่มตามจะทำเช่นไร” 

 

 

           ชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้น รับปากกับเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อยวางใจเถิด ข้าจะแยกเกลือกับน้ำตาลให้ได้ เรื่องใดที่ทำไม่เป็นก็จะเรียนให้เป็น ต่อไปจะได้ดูแลคุณชายน้อย มิให้เขาทึ่มแน่นอน” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม มองเขาด้วยจิตใจเบิกบาน “ตกลง เช่นนั้นเจ้าก็เรียนรู้ให้เต็มที่” 

 

 

           ชิงเหยียนพยักหน้าเต็มที่ หยิบเห็ดขึ้นมาศึกษาอย่างละเอียด 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเลิกสนใจเขา ยิ้มพลางหมุนตัวไปเลือกเก็บผักป่า คิดในใจว่าหากนางกับฉินเจิงได้อยู่อย่างอิสระในเขาขจีธารน้ำใสแบบนี้ เลือกสถานที่ที่จะดำรงชีวิตอยู่ตราบจนแก่เฒ่า บางทีก็ไม่เลวเช่นกัน มีคนข้างกายไม่มาก แค่ชิงเหยียนคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่สิ ชิงเหยียนยังต้องแต่งภรรยาด้วย…