ทั้งสองเดินขึ้นเขาไปตามแนวป่าทีละก้าว เมื่อเจอผักป่าก็หยุดเก็บ เจอเห็ดก็เก็บไปด้วย
กระทั่งทั้งสองคนเดินมาถึงตำแหน่งสูงในป่าหลังเขา แต่ละคนก็เก็บไปได้แล้วครึ่งตะกร้า
มีศิลาใหญ่สองก้อนตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา
เซี่ยฟางหวาทิ้งกายนั่งลง กวักมือเรียกชิงเหยียน ชี้ไปยังก้อนหินอีกก้อนแล้วเอ่ยขึ้น “พักตรงนี้สักหน่อยแล้วกัน”
ชิงเหยียนพยักหน้า หยิบตะกร้ามาแล้วนั่งลงบนก้อนหิน
จุดนี้เป็นจุดสูงสุดที่ป่าโอบล้อมภูเขาเอาไว้ จากตรงนี้มองเห็นเมืองหลวงหนานฉินได้
ตำหนักสง่างามมากมาย พระราชวังเรียงซ้อน มองจากระยะไกลแล้วเป็นทิวทัศน์อันรุ่งเรือง
เซี่ยฟางหวามองพักหนึ่งก็เอ่ยถามเสียงเบา “ชิงเหยียน เจ้ามาติดตามฉินเจิงตั้งแต่อายุเท่าไร”
“จำความได้ก็อยู่ข้างคุณชายแล้ว” ชิงเหยียนส่ายหน้า
“หมายความว่าเจ้าไม่มีพ่อแม่พี่น้องหรือ” เซี่ยฟางหวาถาม
ชิงเหยียนส่ายหน้าอย่างเฉยเมย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าฉินเจิงชอบสิ่งใดที่สุด” เซี่ยฟางหวาผินหน้ามองเขา
ชิงเหยียนพยักหน้าตอบ “คุณชายชอบพระชายาน้อยที่สุด”
“มิใช่สิ่งนี้ หมายถึงงานอดิเรกน่ะ” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
ชิงเหยียนครุ่นคิด ก่อนส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา “ดูเจ้าสิ เจ้าจำความได้ก็มาอยู่ข้างกายฉินเจิงแล้ว ทว่าแม้แต่เขาชอบสิ่งใดยังมิทราบ บ่งบอกว่าเขาใช้ชีวิตมาอย่างลำบากแค่ไหน อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้ถามคนที่รู้จักเขาเป็นอย่างดี ต่อให้เป็นเยี่ยนถิง ท่านพี่ หลี่มู่ชิงที่มีมิตรภาพอันดีกับเขาตลอดมา บางทีก็อาจมิทราบว่าเขาชอบทำสิ่งใด”
ชิงเหยียนเม้มปาก
“ขี่ม้า ยิงธนู ปาลูกดอกลงเป้า ชู่จวี*[1] ล่าสัตว์ ท่องเที่ยว แต่ละอย่าง…” เซี่ยฟางหวาเอ่ยทีละอย่าง “เขาทำได้ทั้งหมด และทำได้ดีมาก ทว่ากลับไม่เห็นว่าจะเป็นงานอดิเรกที่แท้จริง”
ชิงเหยียนพยักหน้า
“สิ่งที่เขาคิดถึงอย่างแท้จริง นอกจากข้าแล้ว ก็คือแผ่นดินหนานฉิน แผ่นดินผืนนี้ให้กำเนิดเขา เลี้ยงดูเขา มอบฐานะและเกียรติอันสูงศักดิ์อย่างหาใดเปรียบแก่เขา ย่า มารดา บิดา พี่น้อง มอบทุกสิ่งให้แก่เขา หากให้ทอดทิ้งมันจริงๆ ชีวิตนี้เขาคงไม่มีความสุขเป็นแน่” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเบาอีก
ชิงเหยียนฟังแล้วก็ตึงเครียดขึ้นมา หันมองนาง
เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ถึงลมปราณของชิงเหยียนอย่างรวดเร็ว จึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ต้องเครียด ข้าแค่พูดให้ฟังก็เท่านั้น บางอย่างฉินเจิงไม่บอกข้า แต่เจ้าที่อยู่ข้างกายเขามาตั้งแต่เด็กต้องทราบแน่นอน”
ชิงเหยียนผ่อนลมหายใจ กล่าวอย่างระวัง “ขอเพียงพระชายาน้อยไม่ทิ้งคุณชายไปอีก ข้าน้อยจะบอกหมดเปลือกโดยไม่ปิดบังแน่นอน”
“อ้อมไปอ้อมมา เดิมคิดว่าเป็นการดีต่อเขา แต่ข้าคิดผิด” เซี่ยฟางหวาบอก “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ทิ้งเขาไปไหนอีกแล้ว” หยุดเว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “ถึงแม้ให้ข้าปล่อยมือก็ไม่ยอม คำสาปใจเดียวบนตัวฉินอวี้ ตอนนี้ถูกข้าย้ายมาอยู่บนตัวเองแล้ว ร่วมจิตร่วมชีวิต เป็นตายไปด้วยกัน”
ชิงเหยียนถอนหายใจออกมา มองแววตาเซี่ยฟางหวาแล้วก็นับถือขึ้นอีกหลายส่วน
“เจ้าบอกมาแค่ว่า หลายปีที่ผ่านมาฉินเจิงทำสิ่งใดไปบ้าง” เซี่ยฟางหวามองเขา “ไม่แบ่งเรื่องใหญ่หรือว่าเรื่องเล็ก ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ในเมือง แต่อยู่ที่เขาไร้นามตลอดหลายปีนั้น เขาทำสิ่งใดไปบ้าง”
ชิงเหยียนครุ่นคิด ก่อนตอบเสียงทุ้มต่ำ “เบื้องหน้าคุณชายขัดแย้งกับองค์ชายสี่ทุกอย่าง เบื้องหลังกลับคุมสมดุลระหว่างราชสำนักกับตระกูลเซี่ย ขณะเดียวกันก็ชิงเมืองเสวี่ยเฉิงกลับมา และแอบวางกำลังทหารหนึ่งแสนนายในหลิงหนานขอรับ”
“ที่แท้ทหารเหล่าในหลิงหนานนั้นเป็นของเขา” เซี่ยฟางหวาบอก
ชิงเหยียนพยักหน้าและทั้งส่ายหน้า “ทหารในหลิงหนานมิใช่ของคุณชายทั้งหมด นอกจากทหารที่คุณชายวางกำลังไว้ในหลิงหนานแล้ว ยังมีคนอื่นวางกำลังทหารไว้ที่หลิงหนานเช่นกัน คุณชายเคยส่งข้าน้อยไปตรวจสอบ ทว่าระหว่างทางก็เรียกตัวข้าน้อยกลับไป”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “หลิงหนานมีทหารส่วนตัวของอวี้เชียนอ๋อง นอกจากนี้ยังมีทหารที่ข้าวางกำลังไว้ห้าหมื่นนาย”
“ที่แท้เป็นของท่าน” ชิงเหยียนกระจ่างแจ้ง
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “หลังเหยียนเฉินลงจากเขาไร้นาม ข้าก็ให้เขาไปวางกำลังทหารห้าหมื่นนายไว้ที่หลิงหนาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน”
“เพื่อตระกูลเซี่ย” ชิงเหยียนเอ่ย
“อืม เพื่อตระกูลเซี่ย” เซี่ยฟางหวาเผยสีหน้าผิดหวัง “ตระกูลเซี่ยอยู่ในแผ่นดินหนานฉินมากี่ปี แม้แต่ลำดับเครือญาติในตระกูลเซี่ยก็เกรงว่ายังนับได้ไม่หมด ตอนนั้นข้าเกลียดราชวงศ์ฉิน กลับไม่คิดเลยว่า ที่แท้ราชสำนักเองก็มิอาจทำตามใจตนเองได้เช่นกัน”
ชิงเหยียนเม้มปาก
เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเบา “ข้าทำเพื่อตระกูลเซี่ย ฉินเจิงทำเพื่อตระกูลฉิน แผนการที่วางมาหลายปีมีหรือจะเลิกล้มกลางคันได้ แผ่นดินผืนนี้ต้องปกป้องไว้ให้ได้กระมัง หากปกป้องไว้มิได้ ถึงแม้ตายแล้วก็คงผิดหวังเช่นกัน”
“ในใจของคุณชาย พระชายาน้อยสำคัญที่สุด” ชิงเหยียนรีบเอ่ยขึ้น
เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา “ใช่ ข้าทราบดี ในใจของเขาข้าสำคัญที่สุด” พูดจบ นางก็ลุกขึ้นแล้วยิ้มกล่าวกับชิงเหยียน “กลับกันเถอะ ลงเขาได้แล้ว เขาน่าจะตื่นแล้วกระมัง”
ชิงเหยียนพยักหน้า
ทั้งสองลงจากเขา
ครั้นกลับมาถึงบ้านก็พบว่าฉินเจิงตื่นแล้วดังคาด และกำลังนั่งบนกำแพง ปากคาบใบหญ้า อาบแสงแดดอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นทั้งสองกลับมาเขาก็พ่นหญ้าทิ้ง เลิกคิ้วมองตะกร้าในมือทั้งสองคน
ชิงเหยียนชูเห็ดในตะกร้าแล้วเอ่ยขึ้น “พระชายาน้อยบอกว่า ให้ข้าเรียนรู้ทุกอย่างให้ดี วันหน้าจะได้ดูแลคุณชายน้อยได้”
“คุณชายน้อยคือใคร” ฉินเจิงมองชิงเหยียน
ชิงเหยียนมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง “คือบุตรชายของท่านกับพระชายาน้อย”
ฉินเจิงถอนหญ้าบนกำแพงมาปาใส่ชิงเหยียน “นั่นก็มิใช่เด็กผู้ชายเสมอไป ไฉนถึงมิใช่เด็กผู้หญิง”
ชิงเหยียนชะงักงัน
“เห็นเจ้าทึ่มแบบนี้แล้ว ให้เจ้าดูแลข้าก็ไม่วางใจ” ฉินเจิงโบกมือไล่เขา
“เวลาท่านไม่ว่างดูแล ข้าก็ช่วยได้เหมือนกัน” ชิงเหยียนมองเขาด้วยความน้อยใจ
ฉินเจิงพยักหน้า “ก็จริง” แล้วโบกมือไล่ “เช่นนั้นเจ้าไปทำอาหาร ห้ามแยกเกลือกับน้ำตาลไม่ออกอีก”
ชิงเหยียนรีบวางตะกร้าลงแล้วเดินไปห้องครัวเล็ก
เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงอย่างหมดคำพูด “มีใครชอบแกล้งคนอื่นแบบเจ้าอีกบ้าง ชิงเหยียนเพิ่งเก็บเห็ดเต็มตะกร้ากลับมา แค่นี้ก็เหนื่อยแย่แล้ว เจ้านอนไปครึ่งวัน ยังให้เขาไปทำอาหารอีก”
“พระชายาน้อย ข้าน้อยมิเหนื่อย” เสียงของชิงเหยียนดังมาจากห้องครัว
เซี่ยฟางหวาชะงัก
ฉินเจิงแบมืออย่างช่วยไม่ได้ กระโดดลงจากกำแพง เดินมาหาเซี่ยฟางหวาแล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่มีเจ้าอยู่ข้างกาย นอนหลับไม่สงบ หลับไม่สนิทเลย”
เซี่ยฟางหวายิ้มพลางถลึงตามองเขา “มาช่วยข้าเด็ดผักป่า”
ฉินเจิงพยักหน้า
กลางลานบ้านมีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ เซี่ยฟางหวาเทผักป่าลงบนโต๊ะ ก่อนเริ่มหยิบขึ้นมาเด็ด
ฉินเจิงใช้ฝ่ามือขาวดุจหยกคีบขึ้นมาต้นหนึ่ง เอ่ยถามว่า “นี่คือผักชนิดใด”
“ผักขม”
“ขมหรือไม่” ฉินเจิงถาม
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
“ข้าไม่อยากกินรสขม” ฉินเจิงรีบวางลง
“ต้องกิน มันช่วยลดร้อนใน” เซี่ยฟางหวายัดใส่มือเขาใหม่
ฉินเจิงมองผักในมือ ไม่เอ่ยคำใดพักหนึ่ง ก่อนพึมพำขึ้น “ไม่อยากแก้ร้อนใน”
เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม เลิกสนใจเขา เด็ดผักต่ออย่างคล่องมือ
ฉินเจิงเบะปาก ทำได้เพียงเด็ดผักร่วมกับนาง
เสียงตึงตังดังออกมาจากภายในห้องครัว ชิงเหยียนทำอาหารอย่างเต็มที่
เซี่ยฟางหวามองไปทางห้องครัวแวบหนึ่ง กล่าวกับฉินเจิงด้วยความกังวลเล็กน้อย “จะกินได้หรือ”
“ได้”
“เขาก็เหมือนกับข้า” เซี่ยฟางหวายังคงไม่วางใจ
ฉินเจิงส่ายหน้า “ไม่มีทาง ข้าแก้ไขให้เขาแล้ว”
เซี่ยฟางหวามองนาง
“หากเจ้าไม่อยากให้วันข้างหน้าลูกของเราต้องกินอาหารที่ควรหวานแต่ไม่หวานหากแต่เค็มปี๋ ควรเค็มแต่ไม่เค็มหากแต่หวานเจี๊ยบ เจ้าเองก็ต้องแก้ไขเช่นกัน” ฉินเจิงกล่าวอย่างเนือยๆ
เซี่ยฟางหวากะพริบตาปริบ ก่อนขยับเข้าใกล้เขา “ตอนเพิ่งสมรสกัน เจ้าดื่มน้ำแกงต้านบุตร ทำทุกวิถีทางไม่ให้ข้าตั้งครรภ์ ตอนนี้ไม่ทำเช่นนั้นแล้วหรือ”
ฉินเจิงฉวยโอกาสคว้านางมาจุมพิต ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “หากพวกเราตายแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขสืบทอดต่อไป”
“เจ้าอยากตายเสียเหลือเกิน” เซี่ยฟางหวาทุบเขา
“ไม่อยาก” ฉินเจิงส่ายหน้า มองนางด้วยใบหน้าจริงจัง “ดังนั้นเจ้าต้องคิดหาทางควบคุมมันให้ได้ เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป”
เซี่ยฟางหวามองแววตาจริงจังของเขา พลอยนึกถึงร่างกายของตนเอง รวมถึงเขาขึ้นมา จึงเม้มปากแล้วพยักหน้ารับ
ทั้งคู่เด็ดผักป่าจนเสร็จ เซี่ยฟางหวานำไปล้างให้สะอาด ส่วนฉินเจิงนำเห็ดไปยังห้องครัว
กลิ่นหอมยังคงโชยมาจากในครัวอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ชิงเหยียนดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ ทำอาหารมาเต็มโต๊ะ ทั้งกลิ่นและหน้าตาครบเครื่อง
เมื่อนำอาหารมาวางบนโต๊ะในลานบ้าน อาหารละลานตา ฉินเจิงจึงเอ่ยขึ้น “กินด้วยกันเถอะ”
ชิงเหยียนมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง ก่อนหย่อนตัวนั่งลง
เซี่ยฟางหวาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารกินทีละอย่าง ระบายยิ้มออกมาแล้วกล่าวกับฉินเจิง “เจ้าพูดไม่มีผิด แต่ละอย่างรสชาติไม่เลว”
“ครั้งหน้าเจ้าทำ อย่าได้ใส่ผิดอีก” ฉินเจิงกระตุกมุมปาก “ดูท่าคงต้องมีลูกสักคนแล้วจริงๆ”
เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงเบา “ข้าจะดูแลร่างกายให้ดี จะได้ตั้งครรภ์ได้” พูดจบก็กล่าวอีก “ชิงเหยียนมีคนที่ต้องตาหรือยัง หากมีแล้วก็แต่งเข้ามา”
ชิงเหยียนเพิ่งจะจับตะเกียบคีบอาหาร พอได้ยินเช่นนั้น ตะเกียบก็พลันหลุดมือตกลงบนโต๊ะ เบิกตามองเซี่ยฟางหวา
ฉินเจิงยิ้มมองชิงเหยียนแวบหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เลือกจากคนข้างกายเจ้ามาหนึ่งคน ข้าว่าซื่อฮว่าก็ไม่เลว”
ชิงเหยียนหน้าแดง รีบส่ายหน้าพัลวัน “ข้าน้อยไม่แต่งภรรยา”
“ที่เจ้าพูดไม่นับ ปิดปากกินข้าวไป” ฉินเจิงสั่ง
ชิงเหยียนนิ่งชะงัก
“ปิดปากแล้วจะกินข้าวได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ “ซื่อฮว่าก็ไม่เลว ในบรรดาแปดคนที่ท่านพี่มอบให้ข้า ข้าชอบนางที่สุดแล้ว กระทำสิ่งใดใจเย็น รู้จักหนักเบา พึ่งพาอาศัยได้” พูดจบก็เอ่ยถาม “เจ้าพาข้าออกจากวังหลวงวันนั้น พวกนางเล่า ตอนนี้ยังอยู่ในวังหรือ”
ฉินเจิงนึกได้ว่านางเคยอยู่ในวังก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา แค่นเสียงแผ่วเบา “เจ้าวางใจได้ พวกนางกลับจวนอิงชินอ๋องแล้ว”
[1] *ชู่จวี การละเล่นชนิดหนึ่งของจีนสมัยโบราณ คล้ายฟุตบอลในปัจจุบัน