ส่วนที่ 5 ตอนที่ 6-1 ชมปรากฏการณ์ดวงดาว

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

เอ่ยถึงจวนอิงชินอ๋อง เซี่ยฟางหวาก็นึกถึงพระชายาขึ้นมา นวดคลึงหว่างคิ้วแผ่วเบา 

 

 

           ฉินเจิงผินหน้ามองนาง ลูบศีรษะแผ่วเบา เอ่ยอย่างนึกขำ “วางใจเถอะ ท่านแม่ไม่ตำหนิเจ้าหรอก” 

 

 

           “ถึงอย่างไรข้าก็ทำไม่ถูก” เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา ถอนหายใจออกมา  

 

 

           “เจ้าสำนึกได้ว่าตัวเองทำไม่ถูกก็ดีแล้ว ครั้งหน้าอย่าทำอีก” ฉินเจิงยกยิ้มมุมปาก  

 

 

           เซี่ยฟางหวาอดมิได้ที่จะยิ้มออกมา พยักหน้ารับแล้วเอ่ยถาม “ฉินอวี้ไปหาที่ราชสุสานเมื่อคืน คงไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่ เขาพูดอะไรบ้าง” 

 

 

           “สนเขาทำไมกัน” ฉินเจิงเบะปาก 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยรอยยิ้มบาง “ตอนนี้หนานฉินอยู่ในช่วงบริหารจัดการคน สิ่งที่อดีตฮ่องเต้ทรงเหลือทิ้งไว้ให้เขาคือเรื่องยุ่งยากกองหนึ่ง พวกเรามิอาจนิ่งดูดายได้” 

 

 

           ฉินเจิงดีดหน้าผากนาง ตำหนิหน้านิ่ง “เจ้าเหนื่อยหรือไม่ บอกว่าอย่าสนใจเขาก็อย่าสนใจ” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองบาดแผลบนลำคอเขาแล้วยิ้มออกมา ทราบดีว่าเขาน้อยใจอยู่บ้างเช่นกัน จึงพยักหน้าตอบ “ได้ ไม่สนใจก็ไม่สนใจ” 

 

 

           “กินข้าว” ฉินเจิงคีบผักขมใส่ชามนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองแวบหนึ่ง คีบมันขึ้นมา แล้วป้อนใส่ปากเขา 

 

 

           ฉินเจิงทำหน้าสลด ทว่าก็ยังยอมกินอย่างไม่อิดออด 

 

 

           หลังทานอาหารเสร็จ ตะวันลาลับขอบฟ้า ความมืดกลืนกินผืนนภา ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาขึ้นไปนั่งบนคานเสาเหนือหลังคา “เมื่อวานอยากให้เราดูดาวด้วยกัน แต่เจ้าชิงหลับไปเสียก่อน วันนี้คงไม่หลับก่อนกระมัง” 

 

 

           “ดาวมีอันใดน่าดูนัก” เซี่ยฟางหวาขดตัวในอ้อมอกเขา 

 

 

           “ไม่รู้จักอารมณ์ลึกซึ้งเอาเสียเลย” ฉินเจิงเขกหน้าผากนาง  

 

 

           “ไม่เห็นว่าการมานั่งตากลมให้ยุงกัดนั้นเป็นอารมณ์อันลึกซึ้งตรงไหน” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ  

 

 

           ฉินเจิงถอนหายใจออกมา “เช่นนั้นพูดใหม่ ถ้าเป็นชมปรากฏการณ์ดวงดาวเล่า”  

 

 

           เซี่ยฟางหวากะพริบตา เงยหน้ามองเขา 

 

 

           ฉินเจิงก้มศีรษะมาจุมพิตนางแผ่วเบา “สองสามวันนี้ท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงของดวงดาว น่าจะเป็นปรากฏการณ์ยากพานพบในร้อยปี เรามานั่งดูตรงนี้เป็นตำแหน่งที่ดีมาก” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองไปยังท้องฟ้ารัตติกาล เวลายังมิได้ดึกมาก บนฟ้าจึงมองไม่เห็นดวงดาวสักดาว นางพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะอยู่ชมดาวกับเจ้า” พูดจบ นางก็พินิจมองท้องฟ้าอย่างตั้งใจ ขมวดคิ้วกล่าว “โดยปกติต้องรอจนเที่ยงคืน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะมารอตั้งแต่ยามนี้” 

 

 

           “ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ” ฉินเจิงตอบ 

 

 

           “ก็จริง” เซี่ยฟางหวายิ้ม ก่อนซบศีรษะลงบนข้อพับเขา ชวนเขาคุยเล่น “ฉินเจิง เจ้าชอบสิ่งใดที่สุด” 

 

 

           “เจ้า” ฉินเจิงตอบ 

 

 

           “มิใช่ข้าสิ” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ “หมายถึงงานอดิเรกของเจ้า” 

 

 

           “งานอดิเรกหรือ” ฉินเจิงครุ่นคิด ผ่านไปพักหนึ่งก็ตอบเสียงทุ้ม “นอนกับเจ้า” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหน้าแดงในทันที ยกมือตีเขา ทั้งอายทั้งโกรธ “เจ้าอายหรือไม่” 

 

 

           ฉินเจิงคว้ามือนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตอบเสียงทุ้ม “ไม่อาย” 

 

 

           “หน้าเจ้าเล่า” เซี่ยฟางหวาผลักเขา ทั้งโมโหทั้งยิ้มขำ  

 

 

           “อยู่ตรงนี้” ฉินเจิงชี้หน้าตัวเอง ตอบอย่างจริงจัง  

 

 

           “ข้าว่าอยู่บนพื้นมากกว่า ไม่มีอยู่ตั้งนานแล้ว” เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

 

           “หน้าข้ามีหลายชั้น หายไปชั้นหนึ่งก็ยังมีอีก” ฉินเจิงจับมือนางขึ้นมาสัมผัสใบหน้าตน “เจ้าสัมผัสดูสิ ยังอยู่หรือไม่” 

 

 

           เซี่ยฟางหวายกมือสัมผัส ก่อนตอบอย่างจงใจ “ไม่เห็นมี” 

 

 

           ฉินเจิงอ้าปากงับปลายนิ้วนาง 

 

 

           มือของเซี่ยฟางหวาถูกเขาจับไว้แน่น ดึงไม่ออกชั่วขณะ รู้สึกเพียงความอ่อนชาที่ส่งมาจากปลายนิ้วเท่านั้น ใจนางพลันอ่อนยวบตาม มองเขาด้วยใบหน้าแดงแจ๋ “เจ้าเกิดปีจอรึ” 

 

 

           “มิใช่ เกิดปีมะโรง” ฉินเจิงส่ายหน้า 

 

 

           “มังกรฟางสิไม่ว่า” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ 

 

 

           “ถึงอย่างนั้นก็มิใช่สุนัข” ฉินเจิงยังกัดนิ้วนางต่อ 

 

 

           “มังกรกัดคนหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

 

           “กัดเพียงเจ้า” ฉินเจิงคลายนิ้วนาง ก่อนก้มศีรษะจูบนางแทน 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหลบไม่พ้น และกลัวว่าจะโดนบาดแผลบนลำคอเขาเข้า จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย 

 

 

           รัตติกาลค่อยๆ คืบคลาน ดวงดาราปรากฏบนนภาทีละเล็กทีละน้อย ดวงเดือนเสมือนมีผ้าโปร่งบางแผ่คลุมชั้นหนึ่ง คล้ายกำลังมองทั้งคู่ด้วยความประหม่าเขินอาย 

 

 

           หยอกเย้าจนพอใจ ฉินเจิงก็ปล่อยเซี่ยฟางหวาเป็นอิสระ แนบใบหน้าของตนเข้ากับดวงหน้าของนางชิดกัน ก่อนกระซิบเสียงเบา “หน้าเจ้าร้อนนัก” 

 

 

           “หน้าเจ้าต่างหากที่ร้อน” เซี่ยฟางหวาอยากพูดว่ามิใช่แค่ใบหน้า แต่ร่างกายเจ้าก็ร้อนระอุด้วย แม้มีเนื้อผ้ากีดขวางก็ยังสัมผัสได้ชัดเจน 

 

 

           ฉินเจิงกอดนางพลางกล่าวเสียงทุ้ม “ข้าอยากพาเจ้าเข้าห้องอีกแล้ว ทำเช่นไรดี” 

 

 

           “ไม่ชมปรากฏการณ์ดวงดาวแล้วรึ” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

 

           “เมื่อคืนปรากฏการณ์ยังไม่เกิดขึ้นได้ วันนี้ก็ไม่แน่ว่าจะมี” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ  

 

 

           เซี่ยฟางหวามองท้องฟ้าก่อนส่ายหน้าตอบ “ตอนนี้ดูแล้วสงบนิ่ง แต่หากเป็นปรากฏการณ์ดวงดาวที่พบได้หนึ่งครั้งในร้อยปี ก็เสมือนดอกถันฮวาที่บานแล้วโรยราทันที พลาดไปแล้วคงน่าเสียดาย” 

 

 

           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้ามองฟ้าเช่นกัน กล่าวอย่างอดทน “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะรอถึงยามจื่อแล้วค่อยกลับเข้าห้อง” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่งด้วยความขำขัน ก่อนขดตัวในอ้อมอกเขาเงียบๆ 

 

 

           ลมราตรีพัดเอื่อย อากาศกลางคืนค่อนข้างหนาว ฉินเจิงสัมผัสโดนมือเซี่ยฟางหวาพบว่าเริ่มเย็นแล้วจึงปล่อยนาง “ข้าจะไปเอาผ้าห่มบนเตียงมาให้” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           ฉินเจิงกำลังจะลงจากหลังคา เดิมนภากลางคืนมีเพียงดาราไม่กี่ดวงก็พลันแปรเปลี่ยน เซี่ยฟางหวาสังเกตเห็นจึงคว้ามือเขาไว้ก่อน “รีบดูท้องฟ้า” 

 

 

           ฉินเจิงเงยหน้ามอง 

 

 

           พบว่าบนนภาพลันปรากฏดารานับอนันต์เคลื่อนมารวมตัวกันด้วยความรวดเร็ว ล้อมจันทร์กระจ่างเอาไว้ตรงกลาง เคลื่อนวนรอบมันอย่างว่องไว ทว่าเพียงชั่วพริบตา จันทร์กระจ่างดวงนั้นก็ราวกับถูกแรงดึงดูดมหาศาลกลืนเข้าไป ดวงดาราหยุดเคลื่อนไหวฉับพลัน ดาวสองดวงในหมู่ดารากลับดึงดูดสายตาเป็นที่สุด มันส่องแสงแวววับจับตาเสียยิ่งกว่าแสงสว่างจากดวงจันทร์ ทว่าเพียงชั่วพริบตา พวกมันก็ค่อยๆ หม่นแสงไปเป็นคู่ๆ ตามมาด้วยหมู่ดาราที่ล้อมรอบเริ่มอับแสงตาม และค่อยๆ กลืนหายไปกับผืนนภาจนมองไม่เห็น 

 

 

           ท้องฟ้ากลับคืนสู่ยามก่อนหน้านี้ในพริบตา แต่ขาดเพียงแสงจันทร์ที่เสมือนมีผ้าโปร่งบางแผ่คลุมซึ่งเพิ่งขึ้นมาเมื่อครู่ 

 

 

           จากปรากฏการณ์ดวงดาวที่เกิดขึ้นกะทันหัน กระทั่งซ่อนตัวหายไปในผืนนภา กินเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น 

 

 

           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาล้วนมิได้รีบละสายตากลับมา หากแต่นิ่งมองฟ้าเงียบๆ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเหม่อมองอย่างใจลอย ฉินเจิงเม้มปากแน่น 

 

 

           ผ่านไปเป็นนาน ฉินเจิงก็ละสายตากลับมาก่อน หันไปมองเซี่ยฟางหวาเชื่องช้า 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเองก็ละสายตากลับมาเช่นกัน หันมามองเขา 

 

 

           ฉินเจิงยืน เซี่ยฟางหวานั่ง หนึ่งยืนหนึ่งนั่ง บรรยากาศตรงกลางไร้สุ้มเสียง 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินเจิงก็ย่อกายลง กอดเซี่ยฟางหวาไว้แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “บนฟ้าจะไม่มีแสงจันทร์ได้หรือ เป็นไปมิได้ ดังนั้นต้องออกมาอีกแน่ ใช่หรือไม่” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ถึงความสั่นระริกเล็กน้อยจากปลายนิ้วที่เขากอดตน นางยิ้มออกมา พยักหน้าตอบด้วยความมั่นใจ “อืม” 

 

 

           ฉินเจิงยิ้มออกมาโดยพลัน “เป็นปรากฏการณ์ดวงดาวที่ยากพบพานในร้อยปีดังคาด นึกไม่ถึงว่าจะไม่เกิดขึ้นตามปกติ ปรากฏเด่นชัดเร็วขนาดนี้ หากวันนี้มิได้มานั่งเฝ้า คงพลาดไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็ดี ไม่ต้องอดทนรอถึงยามจื่อแล้ว ไปกันเถิด เรากลับห้องกัน” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           ฉินเจิงอุ้มนางกระโดดลงจากหลังคา กลับเข้าไปในห้อง 

 

 

           คืนนี้ยังเป็นราตรีวสันต์ที่ทรมานทว่าอบอุ่นอีกเช่นเคย เกาะกุมกันอย่างอ่อนหวานชวนให้คล้อยตาม คลื่นอารมณ์ยาวนานตลอดทั้งคืน