ส่วนที่ 5 ตอนที่ 6-2 ชมปรากฏการณ์ดวงดาว

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ระหว่างที่ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาชมปรากฏการณ์ดวงดาว เมืองหลวงหนานฉินที่เพิ่งเข้าสู่ยามกลางคืนมีผู้คนขวักไขว่ รถม้าวิ่งสวนกันอย่างไม่ขาดสาย โคมไฟสว่างทั่วเมืองดูคึกคักเจริญตายิ่ง 

 

 

           หลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง ชุยอี้จือ หวางอู๋ เจิ้งอี้ และฉินชิงนัดกันมาดื่มสุราที่ไหลฝูโหลว 

 

 

           “ไม่รู้ว่าพี่ชายเจิงจะกลับมาเมื่อไร” ฉินชิงถอนหายใจออกมา  

 

 

           “ยังกลับมาอีกหรือ” เยี่ยนถิงดื่มสุราคำหนึ่ง “หากเป็นข้า มิสู้พาคุณหนูฟางหวาหนีปัญหาไปให้ไกล จะได้สบายใจ” 

 

 

           ฉินชิงสะดุ้งโหยง มองไปยังเยี่ยนถิง “ไม่กลับมาแล้วจริงหรือ” 

 

 

           “อย่าฟังเขา ต้องกลับมาแน่” หลี่มู่ชิงรีบเอ่ยขึ้น  

 

 

           ฉินชิงมองไปยังหลี่มู่ชิง 

 

 

           “หากพวกเขาไม่กลับมา ฝ่าบาทคงมิยินยอมเป็นแน่” หลี่มู่ชิงยิ้มตอบ  

 

 

           ฉินชิงห่อปาก กล่าวด้วยความเหนื่อยล้า “ข้ายังเด็ก แต่พี่สี่ก็เรียกใช้งานข้าแล้ว” 

 

 

           “เจ้ายังเป็นเด็ก ข้าได้ยินว่าช่วงนี้ไท่เฟยมองหาสตรีมาให้เจ้าดูตัวแล้ว” เยี่ยนถิงพ่นหัวเราะ  

 

 

           ฉินชิงหน้าแดง “ไท่เฟยทรงกังวลเกินเหตุ ข้ายังไม่ถึงวัยนั้น หมั้นหมายอันใดกัน” พูดจบก็มองเยี่ยนถิงด้วยความอิจฉา “ตอนนี้เจ้าก็สบายตัวแล้ว ท่านโหวกับฮูหยินไว้เนื้อเชื่อใจเจ้า มิได้บังคับเจ้าอีกแล้ว” 

 

 

           “หลินไท่เฟยก็มิได้บังคับเจ้าเช่นกัน” เยี่ยนถิงบอก 

 

 

           “ไท่เฟยทรงจู้จี้ ช่วงนี้เวลาข้าไปถวายบังคมนางล้วนอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าข้างกายนางจะมีสตรีคนหนึ่งให้ข้าดูตัว” ฉินชิงส่ายหน้า  

 

 

           “ไท่เฟยยังสุขภาพแข็งแรงดี จากนี้เจ้าต้องอดทนแล้ว” เยี่ยนถิงระเบิดหัวเราะ  

 

 

           ฉินชิงปวดหัว “ข้าหนีออกจากบ้านบ้างดีหรือไม่” 

 

 

           “เจ้าก็อยากหนีออกจากบ้านรึ เจ้าจะหนีรอดหรือ มีคนคุ้มกันเจ้าหรือไม่ หากเป่ยฉีเห็นเจ้าคงรีบจับส่งไปเป็นเชลยถึงหน้าประตูบ้านทันที” เยี่ยนถิงเหลือกตามองเขา  

 

 

           “อย่าคิดว่าตอนนั้นพี่ฟางหวาช่วยเจ้าแล้วจะลำพองใจเหลือล้นได้” ฉินชิงมองเขาด้วยความไม่พอใจ  

 

 

           “ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีคนช่วย อดทนไว้เถิด หากไม่อดทนก็รีบดูตัวเสีย ทำตามความปรารถนาของไท่เฟย เมื่อหมั้นหมายกันแล้ว ต่อไปนางก็ไม่คอยจับตามองเจ้าแล้ว แต่หันไปจับตามองภรรยาเจ้าแทน” เยี่ยนถิงยืดลำคอ  

 

 

           ฉินชิงท้อใจ 

 

 

           “แท้จริงแล้วการมีสตรีที่หมายปอง หมั้นหมายกันแต่เนิ่นๆ ก็ใช่ว่าไม่ดีเหมือนกัน” หวางอู๋ตบบ่าฉินชิง “อย่าท้อไปเลย ไท่เฟยคงไม่หาสตรีธรรมดาเข้าบ้านง่ายๆ แน่ ไท่เฟยมีสายตาเฉียบแหลม สตรีที่เลือกให้เจ้าย่อมเป็นหนึ่งในหมื่น โดดเด่นไม่เหมือนใคร” 

 

 

           “ในเมืองหลวงหนานฉินนอกจากพี่ฟางหวาแล้ว ยังมีสตรีใดคู่ควรกับหนึ่งในหมื่นอีก” ฉินชิงพึมพำ  

 

 

           หวางอู๋นิ่งชะงัก 

 

 

           “ในสายตาเจ้าหากเลือกภรรยาโดยเทียบมาตรฐานกับนาง เช่นนั้นเกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงเลือกมิได้แล้วเช่นกัน” หลี่มู่ชิงเลิกคิ้ว กล่าวกับฉินชิง  

 

 

           “ถูกต้อง” เยี่ยนถิงพยักหน้า 

 

 

           ฉินชิงเบะปาก “ถึงอย่างไรข้าก็เด็กกว่าพวกเจ้า ยืดเวลาได้นานเท่าไรก็เท่านั้น” พูดจบ เขาก็กวาดตามองทุกคน “พวกเจ้าล้วนอายุมากกว่าข้า ยังไม่แต่งภรรยาอีก ครอบครัวคงกระฟัดกระเฟียดแล้ว” 

 

 

           “บ้านเมืองไม่สงบ ไหนเลยจะสร้างครอบครัวได้” หลี่มู่ชิงกล่าวเสียงเรียบ 

 

 

           “ถูกต้อง” เยี่ยนถิงพยักหน้าสมทบ  

 

 

           “เป่ยฉีก็น่ารังเกียจยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะฉวยโอกาสตอนที่หนานฉินเผชิญความทุกข์ยากฉกฉวยผลประโยชน์” ฉินชิงแค้นเคือง “ฉีเหยียนชิงกลับเมืองไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเป่ยฉีเป็นเช่นไรบ้าง” 

 

 

           “ไม่ว่าสถานการณ์ใด ช้าเร็วก็ยังเกิดสงครามอยู่ดี การระดมกำลังในพรมแดนยังไม่ยุติ” หลี่มู่ชิงกล่าว 

 

 

           “หากเซี่ยอวิ๋นจี้กลับไปสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิก็ดี เขาต้องไม่ตัดสินใจระดมกำลัง แต่จะทำให้สองแผ่นดินปรองดองกันแน่นอน” เยี่ยนถิงกล่าว 

 

 

           “เซี่ยอวิ๋นจี้” ฉินชิงหันไปมองเยี่ยนถิง 

 

 

           “เซี่ยอวิ๋นจี้ไม่มีวันกลับเป่ยฉีไปสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ ฮ่องเต้เป่ยฉีทรงทราบว่าเขาไม่ต้องการมัน จึงมิได้บังคับเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ฉีเหยียนชิงเหมาะกับตำแหน่งฮ่องเต้มากกว่าเขา ฮ่องเต้เป่ยฉีมิได้เลอะเลือนแม้แต่น้อย” หลี่มู่ชิงส่ายหน้าไม่เห็นด้วย  

 

 

           “ไม่เลอะเลือนก็จริง เพียงแต่ถูกโฉมสะคราญรวบความทะเยอทะยานไว้เท่านั้น” เยี่ยนถิงทอดถอนใจ “ตลอดหลายปีมานี้ หนานฉินกับเป่ยฉีรักษาความสงบมาได้ ลำบากเซี่ยเฟิ่งแล้ว” 

 

 

           “บุตรีตระกูลเซี่ยล้วนมิได้ด้อยกว่าบุรุษ” หลี่มู่ชิงเอ่ย 

 

 

           “ตอนแรกหลินไท่เฟยกับฮูหยินผู้เฒ่าเรือนหกคล้ายจับคู่ให้เจ้ากับบุตรสาวคนโตของเรือนหกมิใช่หรือ ฟังว่าศิลปะสี่อย่างเพียบพร้อม สุภาพสงบเสงี่ยม ไฉนเจ้าถึงไม่ตกลง” เยี่ยนถิงหันไปมองฉินชิง  

 

 

           “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ทราบรึ” ฉินชิงทำหน้าสลด  

 

 

           “แม้มิได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่เจ้าลองถามทุกคนตรงนี้ดูว่าใครมิทราบบ้าง ในเมืองหลวงหนานฉินแห่งนี้ ขอเพียงละอองน้ำหลังบ้านใครกระเซ็นขึ้นมา ล้วนถูกล่วงรู้อย่างรวดเร็ว” เยี่ยนถิงเหลือกตามองเขา  

 

 

           ฉินชิงส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบคนสงบเสงี่ยม เอาแต่กินเจสวดมนต์ทุกวัน มีไท่เฟยคนเดียวก็พอแล้ว อนาคตข้าจึงไม่อยากมีภรรยาที่ชอบสวดมนต์หรือกินเจอีก” 

 

 

           “ภรรยาเป็นปัญหาขนาดนั้น ถึงเวลาเจ้าค่อยแต่งอนุเข้ามาก็สิ้นเรื่อง” เยี่ยนถิงกล่าว 

 

 

           “ไฉนเจ้าถึงไม่แต่ง” ฉินชิงมองเขา  

 

 

           “ยังไม่มีคนที่ต้องตา หากเจอคนที่ต้องตาแล้ว วันหน้าก็จะแต่งเข้าเรือนให้หมด” เยี่ยนถิงตอบเฉยเมย  

 

 

           ฉินชิงมองไปยังหลี่มู่ชิง “เจ้าเชื่อคำพูดเขาหรือไม่” 

 

 

           “เชื่อ” หลี่มู่ชิงพยักหน้า 

 

 

           “ข้าอยากเอาอย่างพี่เจิง ถูกใจสตรีเพียงคนเดียว ผูกผมร่วมเป็นสามีภรรยา บุญคุณความรักมิต้องสงสัย เคียงคู่กันจนแก่เฒ่าไปตลอดชาติ” ฉินชิงห่อปาก  

 

 

           “ทางที่ดีเจ้าอย่าเอาอย่างเขาเลย” เยี่ยนถิงเลื่อยขาเก้าอี้ “มีอันใดน่าเอาเยี่ยงอย่าง ต่อให้เจ้าพลิกฟ้าก็ไม่มีวันหาเซี่ยฟางหวาคนที่สองเจอแล้ว ในเมื่อหาสตรีแบบนั้นมิได้ ข้างกายเป็นใคร มากหรือน้อยก็ไม่ต่างกัน” 

 

 

           ฉินชิงตกใจจนพูดไม่ออก มองเยี่ยนถิงแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้า…ไม่เป็นไรใช่ไหม” 

 

 

           “จะเป็นอันใดได้” เยี่ยนถิงชูจอกสุราขึ้น “มา ดื่มกันเถอะ วันนี้ไม่เมาไม่กลับ” 

 

 

           ฉินชิงกระทุ้งศอกใส่หลี่มู่ชิง “เขาเป็นอะไรไป” 

 

 

           “หลบที่จวนพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีอย่างสบายใจนานไป หลังกลับหนานฉิน คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า ฝ่าบาทของเราใช้งานอย่างเ**้ยมโหด ยกงานหนักทับเขา คงอัดอั้นกระมัง” หลี่มู่ชิงตอบ  

 

 

           “เขาคิดถึงพี่เจิงแล้ว กลัวว่าท่านพี่ไม่กลับมา เมื่อก่อนในเมืองหลวงแห่งนี้ เขากับพี่เจิงเรียกได้ว่าตัวติดกันเป็นเงา กินดื่มเที่ยวเล่น ใช้ชีวิตตามอำเภอใจร่วมกัน หากพี่ชายเจิงอยู่ในเมืองด้วย พวกเราก็ผ่อนคลายลงได้มาก” ฉินชิงพลันเอ่ยขึ้น  

 

 

           เยี่ยนถิงหูดีอย่างยิ่ง ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงในลำคอ 

 

 

           หลี่มู่ชิงยกจอกสุราขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “อดทนไว้เถิด พี่จื่อกุยยังอยู่ที่พรมแดน จวนอิงชินอ๋องยังมีท่านอ๋องกับพระชายา พวกเราพี่น้องล้วนยังอยู่ในเมืองแห่งนี้ ถึงแม้พวกเขาอยากเร้นกายก็หนีไม่พ้น อย่างไรก็ต้องกลับมา” 

 

 

           “เมืองหลวงแห่งนี้ ขาดใครไปล้วนเงียบเหงา” ฉินชิงพลันกระตือรือร้นขึ้นมา ยกจอกสุราตาม  

 

 

           เยี่ยนถิงแค่นหัวเราะ ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด 

 

 

           “ขาดใครไปก็ได้ แต่มิอาจขาดฉินเจิง” หลี่มู่ชิงยิ้ม  

 

 

           “ท่านพี่มิใช่ใครก็จะเทียบด้วยได้” ชุยอี้จือกล่าว 

 

 

           ทุกคนชนจอกสุราด้วยกัน 

 

 

           ภายในห้องทรงอักษรแห่งวังหลวง ฉินอวี้กำลังอ่านวิจารณ์สาส์นกราบทูลข้อราชการ เสี่ยวเฉวียนจื่อ 

 

 

พลันตะโกนขึ้นจากด้านนอก “ฝ่าบาท ฝ่าบาท รีบมาดูเร็วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           “มีอะไร” ฉินอวี้หยุดพู่กันในมือ 

 

 

           “ทรงรีบออกมาดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท้องฟ้า…บนท้องฟ้า” เสี่ยวเฉวียนจื่อพูดติดอ่าง ท่าทางดูตกใจกลัว 

 

 

           ฉินอวี้วางพู่กันลงทันใด สาวเท้าออกจากห้องทรงอักษร เงยหน้ามองท้องฟ้า 

 

 

           ทว่าทันตอนที่แสงจันทร์ถูกกลืนไปแล้วครึ่งหนึ่งพอดี เขาขมวดคิ้ว รอพักหนึ่งก็ไม่พบความผิดปกติใด เขาจึงละสายตากลับมามองเสี่ยวเฉวียนจื่อ 

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อตกใจจนนิ่งชะงัก 

 

 

           “เจ้ามองเห็นสิ่งใด” ฉินอวี้เอ่ยถาม 

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อคุกเข่าบนพื้นทันใด รีบทูลตอบด้วยความงุนงง “บ่าวเห็น…ชั่วพริบตาดวงดาวทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นและเคลื่อนล้อมรอบดวงจันทร์ หลังจากนั้นก็เรียกพระองค์ออกมา พอเสด็จออกมาแล้ว จันทร์ก็อับแสง มีดาวสองดวง…ต่อมาก็หายไปในท้องฟ้าพ่ะย่ะค่ะ….” 

 

 

           ฉินอวี้เม้มปาก 

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อกล่าวด้วยความตื่นกลัว “บ่าวแค่เงยหน้ามองอย่างมิใส่ใจจึงเห็นเข้า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นด้วยความตกใจจึงตะโกนเสียงดัง ทำให้ฝ่าบาททรงตกใจตาม ฝ่าบาทโปรดอภัยให้บ่าวด้วย” 

 

 

           “เจ้ามิได้ทำผิด ลุกขึ้นเถิด” ฉินอวี้ยกมือ 

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อกล่าวขอบพระทัย ก่อนลุกขึ้นจากพื้น 

 

 

           ฉินอวี้เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกหน ทุกสิ่งนิ่งสงบ ปรากฏการณ์เสมือนดอกถันฮวาที่บานแล้วโรยราทันทีเมื่อครู่คล้ายกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขามองพักหนึ่ง ก่อนสั่งงานเสี่ยวเฉวียนจื่อ “ไปตามโหรหลวงจากสำนักโหราศาสตร์มา” 

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบออกไป 

 

 

           ฉินอวี้หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องทรงอักษร 

 

 

           ไม่นาน เสี่ยวเฉวียนจื่อก็นำทางโหรหลวงจากสำนักโหราศาสตร์มาที่ห้องทรงอักษร 

 

 

           โหรหลวงคำนับถวายบังคมฉินอวี้ 

 

 

           ฉินอวี้โบกมือ“ใต้เท้าเหวิน วันนี้ท่านเห็นปรากฏการณ์ดวงดาวแปลกๆ บ้างหรือไม่” 

 

 

           โหรหลวงชะงักไปก่อนส่ายหน้า “กระหม่อมไม่เห็นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงหมายถึงปรากฏการณ์ดวงดาวแปลกๆ แบบใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           ฉินอวี้สื่อความหมายให้เสี่ยวเฉวียนจื่อเล่า 

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบเล่าปรากฏการณ์ดาราเมื่อก่อนหน้านี้ให้ฟังอีกรอบหนึ่ง 

 

 

           “นึกไม่ถึงว่ามีปรากฏการณ์เช่นนี้ด้วย” โหรหลวงตกใจ  

 

 

           “ข้าน้อยเห็นกับตา ฝ่าบาทก็ทรงเห็นเล็กน้อย” เสี่ยวเฉวียนจื่อพยักหน้า  

 

 

           “แม้เจ้าไม่เคยเห็นกับตา แต่พอจะทราบหรือไม่ว่าเป็นปรากฏการณ์ดวงดาวแบบใด บอกเหตุล่วงหน้าใดหรือไม่” ฉินอวี้ถามโหรหลวง  

 

 

           โหรหลวงตรึกตรองพักหนึ่ง ส่ายหน้าตอบ แล้วกล่าวขอรับโทษ “โปรดอภัยที่กระหม่อมศึกษาปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ได้ไม่เชี่ยวชาญพอ คาดการณ์ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้มิได้ ฝ่าบาทโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิด” 

 

 

           “ช่างเถอะ เจ้าไปได้แล้ว ศึกษาตำราโบราณดูว่าพอจะบอกได้หรือไม่” ฉินอวี้โบกมือ 

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปตรวจสอบประเดี๋ยวนี้” ใต้เท้าเหวินพยักหน้า รีบถวายบังคมลาแล้วออกจากห้องทรงอักษร 

 

 

           ฉินอวี้ไม่มีกระจิตกระใจที่จะอ่านวิจารณ์สาส์นกราบทูลข้อราชการอีกต่อไป จึงเอ่ยถามเสี่ยวเฉวียนจื่อ “ฟังว่าวันนี้พวกหลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง กับฉินชิงไปไหลฝูโหลวกัน” 

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ นอกจากสามท่านนี้ ยังมีรองราชเลขาชุย คุณชายหวาง และคุณชายเจิ้งด้วย” เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบพยักหน้า  

 

 

           “ไปกันเถิด เราเองก็ไปไหลฝูโหลวบ้าง” ฉินอวี้ถอดเสื้อคลุมมังกร เปลี่ยนเป็นชุดลำลองธรรมดา 

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อชะงัก “ฝ่าบาท ให้แจ้งพวกใต้เท้าล่วงหน้าก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           “ไม่ต้อง” ฉินอวี้ตอบ 

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อพยักหน้า รีบปรนนิบัติฉินอวี้แต่งตัว จากนั้นก็ติดตามเขาออกจากวังอย่างรวดเร็ว 

 

 

           ภายในไหลฝูโหลว ทุกคนดื่มสุรากันไปครึ่งทางแล้ว กระทั่งถึงช่วงที่กำลังคึกคัก ฉินอวี้ก็มา 

 

 

           ทุกคนต่างชะงักงัน ล้วนคิดไม่ถึงว่าฉินอวี้จะเสด็จมาที่นี่ ชั่วขณะนั้นก็วางจอกสุราแล้วถวายบังคม 

 

 

           ฉินอวี้โบกมือเอ่ยสบายๆ “ทำเหมือนเมื่อก่อนเถอะ วันนี้ไม่ต้องพะวงเรื่องฐานะ” 

 

 

           พวกหลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงมองหน้ากัน เห็นว่าอารมณ์ฉินอวี้ราวกับมิได้ดีมากจึงพยักหน้ารับ