เวลาสิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงพริบตา ทว่าฉินเจิงยังไม่คิดแม้แต่จะกลับเมือง
เรือนในหุบเขาลึก ธารน้ำใสบริสุทธิ์ บริเวณโดยรอบเงียบสงัด มีแต่ความสงบสุข สถานที่ซึ่งห่างจากความวุ่นวายเช่นนี้ชวนให้ลืมความยุ่งเหยิงทั้งหมดอย่างง่ายดาย ราวกับบนโลกนี้เดิมทีสงบแบบนี้อยู่แล้ว
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาดำเนินชีวิตธรรมดาๆ ทั้งล่าสัตว์ ตกปลา เก็บเห็ด ผักป่า หรือทำอาหารเอง
ดั่งสามีภรรยาในครอบครัวทั่วไป ปกติจนมิอาจปกติได้อีกแล้ว
เช้าวันนี้ หลังเซี่ยฟางหวาตื่นมาก็พบว่ามีระดู นางนั่งบนเตียงด้วยความอึดอัดไม่สบายตัว
ฉินเจิงออกมาจากห้องครัว เข้ามาในห้องก็เห็นเซี่ยฟางหวามีใบหน้าอึดอัดใจ จึงเดินมาหน้าเตียงแล้วบีบนวดนาง ถามด้วยความอ่อนโยน “เป็นอะไรไป ตื่นมาไม่เจอข้าเลยโกรธรึ”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองฉินเจิงแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างท้อใจ “ระดูมาแล้ว”
ฉินเจิงหลุดยิ้ม “ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร” พูดจบก็เอ่ยถามนาง “มีห่อผ้าหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า พูดเสียงเบาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ข้าคิดว่าเจ้ายุ่มย่ามกับข้าทุกวัน…อีกอย่างข้าก็บำรุงร่างกายอย่างดี อาจตั้งครรภ์ได้ จึงมิได้เตรียมไว้…”
ฉินเจิงยิ้มมองนาง “อีกชีวิตที่จะเกิดมาย่อมพึ่งพาวาสนา เขายังไม่มาก็แสดงว่ายังมีวาสนาไม่ถึง” พูดจบก็ก้มหน้าจุมพิตบนหน้าผากนาง “เด็กดี ข้าจะไปทำห่อผ้าให้เจ้า”
เซี่ยฟางหวาคิดว่าที่เขาพูดมามีเหตุผล ตนรีบร้อนเกินไปจริงๆ ในใจนางแอบกลัวว่าตนจะไม่ทันได้ให้กำเนิดบุตรแก่ฉินเจิง เด็กที่หน้าตาละม้ายคล้ายเขากับนาง นางพ่นลมหายใจแผ่วเบา เอ่ยถามเขาว่า “เจ้าทำเป็นหรือ”
“เป็น” ฉินเจิงหมุนตัวเดินออกไป
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็นั่งรอบนเตียงเงียบๆ
ไม่นาน ฉินเจิงก็ถือห่อผ้าชิ้นหนึ่งกลับมา ส่งให้แก่นาง “เจ้าว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
เซี่ยฟางหวายื่นมือรับ พบว่าห่อผ้าถูกเย็บอย่างได้มาตรฐาน แม้รอยเย็บดูไม่เจริญตานัก แต่ก็ใช้วัสดุยอดเยี่ยม อ่อนนุ่มเป็นอย่างยิ่ง ย่อมใช้งานได้ นางยิ้มพลางเกี่ยวลำคอเขาลงมา ขยับเข้าไปจุมพิตเขา “สามีของข้าเชี่ยวชาญรอบด้าน ไม่มีอะไรที่ทำมิได้ ได้ออกเรือนกับเจ้าเป็นวาสนาที่ข้าสะสมมาหลายชาติ”
ฉินเจิงใจกระตุกวูบ ยกยิ้มมุมปาก ถือโอกาสโอบกอดนาง “คำพูดนี้ข้าชอบ” พูดจบ เขาก็แค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา “ในเมื่อทราบว่าสามีเจ้ามีพรสวรรค์มาก ต่อไปก็ต้องเชื่อฟัง”
เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า
ฉินเจิงมองใบหน้าน่ารักของนาง ถอนหายใจออกมา ก่อนผละอ้อมกอดออก “อีกหลายวันที่ข้าแตะต้องเจ้ามิได้…”
เซี่ยฟางหวายิ้มขำ ตวัดมือไล่เขาออกไป “เจ้าออกไปก่อน”
ฉินเจิงกอดนางพร้อมมอบจุมพิตอันร้อนแรงให้อีกหน ถึงค่อยออกไปข้างนอก
เซี่ยฟางหวาสวมห่อผ้า พร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ที่สะอาดเอี่ยม จากนั้นก็อุ้มอาภรณ์และเครื่องนอนที่สกปรกออกมานอกห้อง ฉินเจิงที่ยืนอยู่หน้าประตูรับมาถือไว้แทน แล้วเดินไปยังบ่อน้ำ
เซี่ยฟางหวาพิงกรอบประตูมองเขาที่กำลังซักล้างโดยไม่รังเกียจแม้แต่น้อย
เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์แท้ๆ กลับกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของเขาโดยไม่เกี่ยงแม้แต่น้อย
อดีตชาตินางมิได้บรรลุความปรารถนาของตนเอง สุดท้ายแล้วก็เสียดายและกล้ำกลืนความเจ็บแค้นลาลับโลกนี้ไป คิดในใจว่าชาติหน้าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับฉินเจิงเช่นนี้ หากปกป้องกันและกันแบบนี้ไปตลอดชาติได้จริงคงดีมาก
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด นกกระเต็นตัวหนึ่งก็บินฉวัดเฉวียนเข้ามาในลานบ้าน ก่อนร่อนกายลงบนไหล่ของนาง พลางส่งเสียงร้องกังวานสองเสียง
เซี่ยฟางหวาชะงัก ผินหน้ามองนกกระเต็นตัวนี้
ฉินเจิงหันมามองจากข้างบ่อน้ำ ครั้นเห็นนกกระเต็นตัวนี้ก็มีใบหน้ามืดครึ้มทันที
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าขาของนกกระเต็นมีจดหมายผูกไว้ นางยื่นมือดึงมันออกมา มองฉินเจิงแวบหนึ่ง ก่อนเปิดอ่านเชื่องช้า
บนจดหมายเขียนข้อความบรรทัดหนึ่ง ลายมือคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เป็นลายมือของฉินอวี้ ความว่า ‘ราชสุสาน ครบกำหนดสิบวัน กลับมาได้แล้ว’
เซี่ยฟางหวาจ้องมองตัวอักษรพักหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้น พบว่าฉินเจิงหันหลังกลับไปแล้ว นางจึงถือจดหมายเดินไปข้างบ่อน้ำ แล้วกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เป็นจดหมายของฉินอวี้”
ฉินเจิงแค่นเสียงเย็น
“เขาบอกว่าเจ้าตกลงกับเขาไว้สิบวัน บอกว่าเราควรกลับเมืองได้แล้ว” เซี่ยฟางหวาพูดอีก
“มีแต่เขาที่พูดว่าสิบวันเอง ข้ามิได้รับปากสักหน่อย” ฉินเจิงตอบ
เซี่ยฟางหวาแย้มยิ้ม ก่อนยื่นมือไปกอดเอวเขาจากข้างหลัง ซบศีรษะลงบนแผ่นหลังเขา กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ฉินเจิง เรากลับเมืองกันเถอะ ที่นี่แม้ดียิ่ง แต่เราก็มิอาจใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาได้”
“ไฉนถึงไม่ได้” ฉินเจิงไม่หันกลับมา แคลงใจอยู่บ้าง “เจ้าไม่ชอบหรือ”
“ชอบสิ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า แต่ก็ส่ายหน้าด้วย “ครอบครัวทั่วไปมิใช่แบบพวกเรา ไม่ว่าเมืองอันครึกครื้นหรือในหุบเขาลึก ล้วนต้องมีคนขวักไขว่ไปมามากมาย พวกเราทำแบบนี้ก็เป็นแค่การขังตัวเองไว้อีกโลกหนึ่งเท่านั้น ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบตลอดหลายวันนี้ ข้าก็พอใจมากแล้ว”
“เจ้าพอใจ แต่ข้ายังไม่พอใจเลย” ฉินเจิงเอ่ย
เซี่ยฟางหวากระชับมือที่กอดเอวเขาอยู่ให้แน่นขึ้น พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ไม่ว่าตระกูลเซี่ยหรือตระกูลฉิน พวกเราล้วนมีความศรัทธาและความรับผิดชอบอันสำคัญที่มิอาจปฏิเสธได้ หากพวกเราไม่สนใจอันใดเลย บางทีพวกเราอาจสงบสุขก็จริง แต่กับสำนึกมโนธรรมไหนเลยจะผ่านไปได้ เจ้าอย่าบอกว่ามีเพียงข้าที่ใจอ่อน ความจริงแล้วใจเจ้าก็อ่อนเหมือนข้าเช่นกัน”
ฉินเจิงเงียบ
เซี่ยฟางหวากล่าวอีก “ก่อนสวรรคตอดีตฮ่องเต้พูดกับข้าว่า ตอนนั้นพระองค์มีพระบัญชาลับให้ท่านพ่อถอนกำลังกลับเมือง แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเลือกที่จะปกป้องแผ่นดินหนานฉิน ไม่ยอมแพ้จนกว่าจะตายจาก ท่านแม่ตามเขาไป แม้สอดคล้องกับบัญชาสวรรค์กฎเหล็กของเผ่าภูตผี แต่สุดท้ายก็เป็นการเลือกของพวกเขา ต่อให้สิ่งที่เลือกคือความตาย ต่อให้ต้องทิ้งข้ากับท่านพี่ที่ยังเด็กอยู่ไป ต่อให้ท่านปู่ต้องเป็นคนผมขาวส่งคนผมดำก็ตาม” นางพูดพลางก็นัยน์ตาแดงก่ำ น้ำตาเอ่อคลอจนเบื้องหน้าพร่ามัว “แผ่นดินหนานฉินผืนนี้ มีคนตระกูลเซี่ยเท่าไรที่สละเลือดเพื่อปกปักรักษา บ้านเมืองหนานฉินมีบรรพบุรุษตระกูลเซี่ยปกป้องและถ่ายทอดอุดมการณ์ต่ออย่างระมัดระวัง ข้าเป็นลูกหลานตระกูลเซี่ย เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลฉิน ถึงอย่างไรพวกเราก็หนีแซ่ของตัวเองกับความรับผิดชอบที่ควรแบกรับไม่ได้”
ฉินเจิงยังคงเงียบ
“ได้กลับมาเกิดใหม่ชาตินี้ พวกเราย่อมมิอาจมองดูหนานฉินเดินไปสู่ความเสื่อมถอยทีละก้าวได้หรอกใช่หรือไม่ ความศรัทธาของเจ้า การยึดมั่นของข้า ต่อให้ข้าเคยอยากทำให้ราชสำนักหนานฉินฟ้าถล่มแผ่นดินทลายมิใช่แค่ครั้งเดียว แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อนึกถึงความเสียสละทั้งหมดที่บรรพบุรุษตระกูลเซี่ยทำเพื่อแผ่นดิน นึกถึงความยากลำบากที่บรรพบุรุษตระกูลฉินทำเพื่อปกป้องบ้านเมือง ข้าจึงวางความแค้นส่วนตัวลง ยึดมั่นในคุณธรรมแทน ต่อให้มีชีวิตไม่ยืนยาว แต่ปกป้องสิ่งหนึ่งไว้ได้ก็ปลื้มใจแล้วเช่นกัน หากปกป้องไว้ได้ทั้งสองสิ่ง เช่นนั้นก็แสดงว่าสวรรค์เมตตาเรา สำนึกบุญคุณไปสิบชาติ ตอบแทนเท่าไรก็ไม่สาสม” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก
ฉินเจิงเม้มปาก
“ไหนจะราษฎรหลายล้านคนในหนานฉิน ไหนจะรากฐานความเจริญรุ่งเรืองของหนานฉินสามร้อยปี เมืองหลวงหนานฉินเป็นสถานที่ที่พวกเราเกิดและเติบโตมา จะกลั้นใจไม่แยแสเลยได้อย่างไร มองดูมันถูกกลบฝังลงสู่ประวัติศาสตร์กลายเป็นเถ้าธุลีหรือ หากวันหนึ่ง หนานฉินกลายเป็นแผ่นดินที่มิใช่แผ่นดิน ไร้จักรพรรดิ ไร้ขุนนาง ไร้ราชสุสาน กลายเป็นเพียงดินแดนรกร้าง เช่นนั้นครอบครัวของเรา พ่อแม่ของเรา พี่น้องของเรา จวนจงหย่งโหว จวนอิงชินอ๋อง ทุกสิ่งทุกอย่างของเราล้วนยับเยิบหมดสิ้น จะโศกเศร้าอาดูรอย่างไร” เซี่ยฟางหวากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำอีกหน
ในที่สุดฉินเจิงก็ถอนหายใจออกมา หันกลังกลับมานวดศีรษะเซี่ยฟางหวา “เจ้านี่นะ”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา
ฉินเจิงสางเส้นผมดำขลับของนาง แววตาทอประกายอ่อนโยน กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “วิญญูชนรองรับสรรพสิ่งด้วยคุณธรรม แม้เจ้าเป็นสตรี แต่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นวิญญูชน หากสวรรค์เมตตาก็ควรมอบข่าวดีให้กับเรา บรรลุชีวิตในชาตินี้”
เซี่ยฟางหวาซุกเข้าหาอ้อมอกเขา
ฉินเจิงก้มหน้ามองนาง “ตอนนี้เจ้าต้องระวังเรื่องเสียเลือดเป็นที่สุด ระหว่างที่ข้ายังหาหนทางมิได้ ไม่อยากให้…”
“ถึงแม้อยู่ที่นี่ ข้าเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน เรื่องบางเรื่องไม่คิดมิได้ ซึมลึกลงสู่ไขกระดูกแล้ว อดไม่คิดมิได้หรอก” เซี่ยฟางหวายกมือปิดปากเขาแล้วเอ่ยขัด
ฉินเจิงเงียบเสียง
“ฉินเจิง ข้ารับรองว่าข้าจะทุ่มเททุกสิ่งเพื่อหาหนทางทำลายกฎสวรรค์ของเผ่าภูตผีให้ได้ ข้าไม่อยากตาย และไม่อยากพาเจ้าไปตายด้วย ตอนนี้ชีวิตของเจ้าเชื่อมโยงกับชีวิตของข้า ข้าอยากใช้ชีวิตร่วมกับเจ้า อยากให้กำเนิดบุตรที่คล้ายทั้งเจ้าและข้า อยากสั่งสอนเขา มองดูเขาเติบโต พวกเรายังมีอีกหลายสิ่งที่ยังมิได้ทำ และอยากปกป้องกันและกันไปตลอดชีวิต” เซี่ยฟางหวามองเขา
ฉินเจิงกอดนางแน่น
“ส่วนเรื่องเผ่าภูตผี ข้ารู้จักมันแต่ไม่ลึกซึ้งพอ ปรมาจารย์ภูเขาลับต้องการเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีในมือข้ามาโดยตลอด พวกเขาเกิดมาเพราะแผ่นดินหนานฉิน ทว่าเหตุใดกลับกลายเป็นปรปักษ์ต่อหนานฉิน หลายปีที่ผ่านมาเป่ยฉีใช่เกี่ยวข้องกับสายลับบนภูเขาลับของหนานฉินด้วยหรือไม่ และมีอีกหลายสิ่งต้องสืบให้กระจ่าง รวมถึง…พี่อวิ๋นหลาน เขารู้จักวิชาภูตผีมากน้อยเท่าไร…หากพวกเราอยู่ที่นี่ตลอดไปจะรู้ได้อย่างไร”
เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ฉินเจิงถอนหายใจแผ่วเบา “เดิมข้ามิได้อยากกลับไปเร็วๆ นี้ ตอนนี้…แล้วแต่เจ้าแล้วกัน”
“กลับวันนี้เลยไหม” เซี่ยฟางหวาเงยหน้าถามเขา
“ทำไมต้องฟังฉินอวี้ด้วย” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ “ตอนนี้เจ้าเป็นระดู ร่างกายอ่อนแอ ไม่ควรเดินทางระหกระเหิน รอจนระดูเจ้าหมดแล้ว พวกเราค่อยกลับเมืองแล้วกัน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ
ฉินเจิงผละอ้อมกอด กลับไปซักเสื้อผ้าต่อ พลางเอ่ยเร่งนาง “กลับไปพักในบ้านได้แล้ว”
เซี่ยฟางหวายกมือขึ้น นกกระเต็นตัวนั้นยังเกาะอยู่บนฝ่ามือนาง จึงเอ่ยถามฉินเจิง “ต้องตอบจดหมายฉินอวี้หรือไม่”
“ไม่ต้อง” ฉินเจิงตอบ
“นกตัวนี้มีเฉลียวฉลาดนัก นึกไม่ถึงว่าจะหาที่นี่พบ” เซี่ยฟางหวาลูบปีกมัน “เช่นนั้นปล่อยมันกลับไปเลยก็แล้วกัน”
“ปล่อยกลับไปทำไม ตุ๋นกินเสียก็สิ้นเรื่อง” ฉินเจิงพูดเด็ดขาด
นกตัวนั้นได้ยินแล้วก็ตกใจจนปีกสั่นระริก มันร่วงตกจากฝ่ามือเซี่ยฟางหวาดั่งนกตื่นธนู ก่อนบินออกไปจากลานบ้าน ชั่วพริบตาก็ออกนอกป่าไป
เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม