ส่วนที่ 5 ตอนที่ 7-2 รัชทายาทปกครองบ้านเมือง

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ครั้นนกกระเต็นบินกลับมาถึงวังหลวง ฉินอวี้กำลังหารือราชการกับหลี่มู่ชิง 

 

           นกกระเต็นกางปีกบินเข้ามาในห้องทรงหนังสือ โถมเข้าหาอ้อมอกฉินอวี้ด้วยความตื่นกลัว ราวกับมีคนโหดเ**้ยมไล่ตามหลังมาก็มิปาน 

 

           ฉินอวี้จับตัวมัน พบว่าบนขามันไม่มีจดหมายตอบกลับ จึงมองไปด้านนอกแวบหนึ่งแล้วเลิกพระขนง 

 

           นกกระเต็นส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ดวงตาดุจไข่มุกเคลื่อนไปมาด้วยความน้อยใจ ราวกับกำลังฟ้องฉินอวี้ 

 

           ฉินอวี้แค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา ลูบปลอบโยนมันครู่หนึ่ง เมื่อมันสงบลงราวกับทราบว่าปลอดภัยแล้วก็กระโดดลงจากกลางฝ่ามือฉินอวี้ เดินไปหาอาหารกิน 

 

           “นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาททรงเลี้ยงนกที่ฉลาดแบบนี้ไว้ด้วย” หลี่มู่ชิงยิ้มบาง  

 

           “ชูฉือเป็นคนฝึกมัน แล้วมอบให้ข้าแทน” ฉินอวี้ตอบ 

 

           หลี่มู่ชิงกระจ่าง “มิน่าถึงฉลาดแบบนี้” พูดจบก็เอ่ยถาม “ไปหาพี่ฉินเจิงกับฟางหวามาหรือ” 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก 

 

           “ดูท่าพี่ฉินเจิงคงไม่อยากกลับมา” หลี่มู่ชิงยิ้มบาง  

 

           “เขาทำแบบนั้นไม่ได้” ฉินอวี้บอก 

 

           หลี่มู่ชิงพยักหน้า “ส่งข่าวบอกแล้ว ด้วยนิสัยของฟางหวา อีกไม่กี่วันพวกเขาก็คงกลับมา” พูดจบ เขาก็กล่าวอีก “นึกไม่ถึงเลยว่าฉีเหยียนชิงจะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ กลับเป่ยฉีไปครั้งเดียว กลับทำให้กุมอำนาจได้” 

 

           “หลายปีที่ผ่านมา เป่ยฉีไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาท ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจี้ไม่สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิต่อ ฮ่องเต้เป่ยฉีจึงไม่ลังเลอีกต่อไป ย่อมแต่งตั้งรัชทายาทโดยเร็ว” ฉินอวี้หน้าตึง 

 

           “หลังฮ่องเต้เป่ยฉีทรงแต่งตั้งรัชทายาท ก็พาฮองเฮาไปพักฟื้นที่ตำหนักราชนิเวศน์ ยกอำนาจทั้งหมดในเป่ยฉีให้รัชทายาทเป็นผู้บริหารปกครองบ้านเมืองแทน” หลี่มู่ชิงขมวดคิ้ว “บริหารปกครอง มิใช่แค่ดูแลแทน นี่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เลยเช่นกัน ยังมิได้สละบัลลังก์ กลับให้อำนาจรัชทายาทบริหารปกครองแทน เรียกได้ว่าเบื้องหน้าเป็นตำแหน่งรัชทายาท แต่ความจริงเป็นอำนาจจักรพรรดิ” 

 

           “ฮ่องเต้เป่ยฉีทำแบบนี้เท่ากับว่าเห็นด้วยกับสงครามระดมกำลังของฉีเหยียนชิงโดยนัย บรรลุความทะเยอทะยานที่มีตลอดมาของเป่ยฉีอย่างฮึกเหิม ขณะเดียวกันก็บรรลุความรู้สึกที่เขามีแต่ฮองเฮาเซี่ยเฟิ่ง อย่างน้อยเขาก็มิได้ลงมือก่อสงครามกับหนานฉินด้วยตัวเอง เซี่ยเฟิ่งซาบซึ้งที่ฮ่องเต้เป่ยฉีปกป้องตลอดหลายปีที่ผ่านมา มิอาจขัดขวางได้อีกต่อไป จึงได้แต่ต้องยอมรับโดยนัยด้วย” ฉินอวี้เม้มปาก “ตอนนี้ต้องดูการเตรียมการหลายปีที่ผ่านของเป่ยฉี กองทัพศัตรูจะเหยียบแผ่นดินหนานฉินเข้ามาได้ หรือหนานฉินจะปกป้องตัวเองได้ แม้กระทั่งต้องยกกำลังโจมตีกลับก็ตาม ถึงอย่างไรที่ผ่านมาหนานฉินก็เอาแต่จับตามองตระกูลเซี่ย ตั้งแต่กำลังบ้านเมืองจนถึงกำลังทหารนั้นแตกสามัคคี…” 

 

           “ความประพฤติมิชอบของหนานฉินในหลายปีที่ผ่านมา เป็นภายในที่ฉุดกระชากกันไปมา ตอนนี้ตระกูลเซี่ยกับตระกูลฉินมิได้ต่างคนต่างคิดอีกต่อไปแล้ว หากร่วมใจกันต่อสู้ศัตรู ไม่แน่ว่าจะแพ้ต่อเป่ยฉี”  

 

หลี่มู่ชิงกล่าว “หากยืดเยื้อเวลาออกไปได้อย่างน้อยครึ่งปี มิให้เป่ยฉีระดมกำลังเพิ่ม หนานฉินก็มีเวลาหายใจอีกครึ่งปี คงดีไม่น้อย” 

 

           “แน่นอนว่าต้องไม่แพ้” ฉินอวี้พูดด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว “แต่ครึ่งปีนั้น ฉีเหยียนชิงไม่ให้เวลานี้แน่” 

 

           หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา 

 

           ฉินอวี้เม้มปาก มองนกกระเต็นที่หลับอยู่บนโต๊ะหยกหลังกินอิ่มแล้วด้านข้าง หรี่พระเนตรลงแล้วพูดขึ้น “เดือนก่อนหนานฉินประสบอุทกภัยใหญ่ ถ่วงเวลาเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิไป การเก็บเกี่ยวปีนี้เกรงว่าจะมิได้ผลดังที่คาดหวัง หากพึ่งพาการเก็บภาษีจากประชาชน เกรงว่าจะยิ่งเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ราษฎร ทำให้ประชาชนเกิดความแค้นเคือง หลายปีมานี้จวนแหล่งธัญพืชเกรงว่าคงตุนธัญพืชไว้หลายล้านตัน หากช่วยเหลืออีกแรง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องธัญพืช ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นหลานอยู่ที่ใด เจ้าทราบหรือไม่” 

 

           “มิทราบ” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า 

 

           “เขากับเซี่ยอวิ๋นจี้ลงมือขัดขวางคนที่ข้าส่งไปสกัดฉินเจิง ทว่ามิได้กลับเมืองมาด้วย หรือว่ากลับไปยังลำน้ำสวินสุ่ยของเขาแล้ว” ฉินอวี้พูด  

 

           “เซี่ยอวิ๋นหลานไม่แข็งแรง คำสาปเผาใจทรมานเขาทรุดหนักขึ้น” หลี่มู่ชิงพูดด้วยความกังวล  

 

           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปพักหนึ่ง “หรือว่าไม่มีหนทางถอนคำสาปเผาใจจริงๆ” 

 

           หลี่มู่ชิงส่ายหน้าตอบ “หากมีก็ดี หากถอนคำสาปเผาใจได้ ฟางหวาก็คงไม่ต้อง…” เขาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักลง ความหมายด้านหลังมิต้องพูดก็เป็นอันเข้าใจ 

 

           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พูดคำใดอีก 

 

           วันเดียวกันนั้นเอง ข่าวเป่ยฉีแต่งตั้งรัชทายาท ฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮองเฮาเสด็จไปพักฟื้นร่างกายที่ตำหนักราชนิเวศน์ รัชทายาทเป่ยฉีบริหารปกครองบ้านเมืองแทนฮ่องเต้ก็เผยแพร่ไปทั่วใต้หล้า 

 

           หนานฉินทุกชนชั้นเกรียวกราวขึ้นมาทันที ต่างทยอยคิดว่าตอนนี้เป่ยฉีต้องระดมกำลังโดยไม่หวั่นต่อสิ่งใดอย่างแท้จริงแล้ว 

 

           ฉีเหยียนชิงระดมกำลังในพรมแดนม่อเป่ยโดยพลการ ฮ่องเต้เป่ยฉีไม่เพียงแต่ไม่บริภาษ กลับยังทรงแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท และถือโอกาสยกเป่ยฉีให้เขาบริหารปกครองแทน การกระทำนี้แฝงความหมายว่า ฮ่องเต้เป่ยฉียอมรับการที่ฉีเหยียนชิงระดมกำลังโจมตีหนานฉินโดยนัย นับจากนี้ สงครามปราบปรามในใต้หล้าจะเป็นที่ประจักษ์แจ้ง 

 

           หนานฉินในตอนนี้ไม่อยู่ในสถานะที่จะระดมกำลังสู้รบได้ เป่ยฉีคว้าโอกาสนี้ไว้มั่น หนานฉินทำได้เพียงต้องทุ่มเทกำลังเตรียมทำสงครามโต้ตอบ 

 

           ขุนนางทั้งราชสำนักทยอยแสดงความเห็นกันขณะหารือราชการ 

 

           คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า ขุนนางอาวุโสไร้เรี่ยวแรงเข้าร่วมสงคราม คนรุ่นใหม่ก็เพิ่งเข้าสู่ราชสำนัก ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ หนานฉินมีแต่เรื่องยุ่งยาก ตอนนี้อยู่ในช่วงขาดแคลนกำลังอย่างที่สุด 

 

           ฉินอวี้ผู้มีฐานะเป็นฮ่องเต้กลับสงบมั่นคง ฟังขุนนางบุ๋นบู๊ถกเถียงกันขณะว่าราชการยามเช้าโดยมิพูดคำใดทั้งสิ้น เพียงยกมือบอกเลิกว่าราชการ 

 

           เหล่าขุนนางเดาความคิดของฝ่าบาทที่มิพูดคำใดตลอดการหารือไม่ออก พากันคาดเดาต่างๆ นานา 

 

           หลังอิงชินอ๋องกลับมาถึงจวน ใบหน้ายังคงกลุ้มใจมิเสื่อมคลาย 

 

           “ข้าได้ยินว่ารัชทายาทเป่ยฉีบริหารปกครองบ้านเมืองแทนฮ่องเต้ ฮ่องเต้เป่ยฉีพาฮองเฮาไปพักฟื้นร่างกายที่ตำหนักราชนิเวศน์แล้ว ยังมิทราบวันกลับ กลุ้มใจเรื่องนี้หรือ” พระชายาอิงชินอ๋องถามด้วยเสียงอ่อนโยน  

 

           “ฉีเหยียนชิงกับตระกูลอวี้คิดระดมกำลังตลอดมา ตอนนี้ฮ่องเต้เป่ยฉียอมรับโดยนัย ฉีเหยียนชิงควบคุมความมั่นคงในราชสำนักเป่ยฉี หลังดำรงตำแหน่งรัชทายาทอย่างมั่นคงแล้ว เตรียมการพักหนึ่ง ก็น่าจะรีบออกทัพโดยทันที” อิงชินอ๋องพยักหน้า  

 

           “ฝ่าบาทกำลังเตรียมพร้อมมาโดยตลอด ข้าได้ยินว่าตั้งแต่หลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงกลับมา ก็เตรียมการเรื่องการทหารกับเสบียงอาหารตลอดมา หนานฉินของเรามีอัจฉริยะบุคคลมากมาย หากเทียบกันแล้ว ไม่แน่ว่าจะพ่ายแพ้ให้เป่ยฉี” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว 

 

           “แม้พูดแบบนี้ แต่เป่ยฉีเตรียมการมาหลายปีแล้ว รัชทายาทเป่ยฉีกับตระกูลอวี้ปรองดองกันมาโดยตลอด กำลังบ้านเมืองพัฒนารุ่งเรืองขึ้นทุกวัน หนานฉินตอนนี้…เฮ้อ มีเวลาเตรียมตัวน้อยเกินไป เกรงว่าจะไม่พอ” อิงชินอ๋องกล่าว “ความผิดพลาดเล็กน้อยตอนเริ่มต้นนำไปสู่ความผิดพลาดใหญ่หลวงในอนาคตได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังผิดพลาดมาหลายปีขนาดนี้” 

 

           “ไม่รู้ว่าเจิงเอ๋อร์จะพาหวาเอ๋อร์กลับมาเมื่อไร” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยขึ้น “หลายวันแล้วก็ยังไม่มีข่าว” 

 

           อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ถึงแม้กลับมา ก็ไม่รู้ว่าเขากับฝ่าบาทจะคบหาสมาคมกันได้หรือไม่ หากยังไม่ลงรอยกันอีก เช่นนั้นมิสู้ไม่กลับมา” 

 

           “เป็นไปได้อย่างไร เจิงเอ๋อร์ของเรามิใช่เด็กที่ไม่แยแสสถานการณ์บ้านเมืองหรือไร้คุณธรรม” พระชายาถลึงตามองอิงชินอ๋องแวบหนึ่ง “เมื่อก่อน เยี่ยนถิงอยู่ข้างเจิงเอ๋อร์ ไม่ถูกชะตากับฝ่าบาททุกทาง ตอนนี้เป็นอย่างไร มิใช่ทำงานให้ราชสำนักอย่างดีหรือ ฝ่าบาททรงมอบหน้าที่สำคัญให้เขา” 

 

           “ก็จริง” อิงชินอ๋องพยักหน้า กล่าวกับพระชายา “ห้าวเอ๋อร์ยังเก็บตัวสำนึกผิดอยู่หรือ” 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “ตั้งแต่ทำร้ายลูกสะใภ้ เสนาบดีฝ่ายซ้ายโกรธแค้นเขาอย่างยิ่ง เจ้าให้เขาเก็บตัวสำนึกผิด ช่วงนี้เขาจึงเก็บตัวสำนึกผิดตลอดเวลา นอกจากวันสวรรคตของอดีตฮ่องเต้ที่ไปร่วมไว้ทุกข์ที่วังหลวง แล้วพบหลูเสวี่ยอิ๋งเข้าจึงกล่าวขอโทษกับนาง ก็มิได้ทำสิ่งใดตลอดมา ข้าว่าคงสำนึกผิดได้แล้ว” 

 

           “ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในระหว่างบริหารจัดการคน พรุ่งนี้ข้าจะลองเปรยกับฝ่าบาทดู ดูว่าฝ่าบาทคิดจะใช้งานเขาหรือไม่” อิงชินอ๋องกล่าว 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า มิได้เห็นต่าง “เมื่อก่อนตอนเขาไม่ลงรอยกับเจิงเอ๋อร์ก็มีการคบค้าสมาคมกับฝ่าบาท เจ้าลองถามดูเถิด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนอิงชินอ๋อง มิอาจไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้แล้ว”