บทที่ 201 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 19)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

นัยน์ตาประกายสีเขียวคู่นั้นที่ได้สบตา  ช่างเป็นดวงตาบริสุทธิ์ที่ไม่มีความเคลือบแคลงใจใดๆ ในแววตานั้นเลย

แต่ดูจะไม่ระวังตัวมากเกินไปหน่อย เด็กชายหยุดความคิดของตัวเองพร้อมกับถอนหายใจ

“จะว่าไป ฉันหลับไปนานเท่าไรแล้วนะ”

“อืม.. หนึ่งวัน เพราะหลับไปเมื่อวาน”

นี่ฉันหลับไปทั้งวันเลยเหรอ

ที่ผ่านมาคงนอนไม่ค่อยหลับล่ะมั้ง ค่อยโล่งอกไปหน่อย เด็กที่โล่งอกคนนั้น มีอาเรียตัวติดอยู่ด้วย

“เจ้าชาย!”

“ทำไมต้องเรียกว่าเจ้าชายอยู่เรื่อยเลย”

“ก็เพราะเจ้าชายช่วยฉันนี่นา!”

“…ถ้าช่วยเธอก็จะกลายเป็นเจ้าชายอย่างนั้นเหรอ”

“อื้ม! เจ้าชายเคยพูดว่าจะช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกอยู่ในอันตราย!  ขี่ม้าขาวมาด้วย!”

ใครพูดเรื่องเหลวไหลพวกนั้นกัน อย่าว่าแต่ม้าขาวเลย สภาพตอนนี้ยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วเสียอีก

“หมายความว่าอะไร…”

เด็กชายที่ตั้งใจจะซักถามว่าพูดเรื่องอะไร ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของ ‘เจ้าชาย’ และ ‘พระชายา’ ในคำพูดเธอ

เจ้าชายที่แสนเท่ พระชายาที่งดงาม

อะไรประมาณนั้นสินะ จู่ๆ ก็นึกถึงเด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกันที่กล้าพูดต่อหน้าเหมือนกัน

‘เพราะอย่างนั้นฉันเลยดูเหมือนเจ้าชายที่มาช่วยเด็กหญิงคนนั้นน่ะเหรอ’

หมายถึงดูเท่งั้นเหรอ สภาพแบบนี้ยังดูดีจนเหมือนขี่ม้าขาวเลยอย่างนั้นเหรอ

แต่พอคิดอย่างนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน เกร็งตาโดยใช่เรื่องไปซะแล้ว แทนที่จะเหน็บแนมว่าเป็นเจ้าชายจริงหรือไม่ การถูกเรียกว่าเป็นเจ้าชายรูปงามนั้นไม่ดียิ่งกว่าหรือ

แต่จะปล่อยให้เรียกตนว่าเจ้าชายแบบนี้ตลอดไม่ได้ หนีแทบไม่รอด… มันอันตรายเกินไป

“ฉันไม่ได้ชื่อเจ้าชายนะ อย่าเรียกแบบนั้นสิ”

“งั้นเหรอ ชื่ออะไรล่ะ”

  “อา…”

เด็กชายตั้งใจจะบอกชื่อของตนเองไปเพื่อตอบถามอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเองทันที

เพราะไม่รู้ว่าจะอันตรายหรือเปล่า จึงบอกว่าอย่างเรียกตนว่าเจ้าชายแต่ก็เกือบบอกชื่อของตนไปเสียแล้ว เป็นการกระทำที่โง่เขลาเสียจริง จนคิดว่าโดนมีดปักที่ศีรษะไม่ใช่ขาด้วยซ้ำ

เด็กชายคนนั้นตกอยู่ในห้วงความคิดชั่วครู่

เรียกว่าอะไรดีนะ หากบอกชื่อเต็มไปก็หมายความว่าเปิดเผยตัวตน แต่จะให้ตั้งชื่อใหม่ก็คิดไม่ออก

เพราะอย่างนั้นจึงเหลือทางเลือกแค่อย่างเดียว

“อาซ เรียกฉันว่า อาซ”

“อื้ม เจ้าชายอาซ!”

“ตัดคำว่าเจ้าชายออก! …แต่จะว่าไป เธอชื่ออะไรล่ะ”

“อาเรีย เรียกฉันว่า อาเรีย! นะคะ เจ้าชาย!”

อาเรียยิ้มร่าพร้อมกับพูดตอบ

นัยน์ตาสีเขียวสดใสโค้งลงอย่างนุ่มนวล มัวแต่เรียกว่าเจ้าชายอยู่อย่างนั้น เขาต้องโกรธแล้วด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าแบบนั้นทำให้เขาไม่สามารถตอบโต้ใดๆ ออกไปได้

ใครกัน… ใครบอกล่ะว่าขี้เหร่ บ้าหรือเปล่าน่ะ อาซบ่นอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะจำไม่ได้ล่ะก็จะทุบสั่งสอนพวกที่ตาไม่ถึงให้สักหน่อย

“บอกว่าไม่ให้เรียกว่าเจ้าชายไง”

“อื้ม!

* * *

“อะไรเนี่ย… อายุแปดขวบแล้วเหรอ”

อาซที่ตกใจหลังจากได้ยินอายุของอาเรียจึงถามอย่างตกใจ

ถึงจะอายุมากก็ตามแต่คิดว่าคงไม่เกินเจ็ดขวบ ทำไมถึงตัวเล็กขนาดนี้นะ

“อาซล่ะ”

“ฉันสิบเอ็ดขวบ”

“ว้าว! เป็นผู้ใหญ่แล้วนี่นา!”

ยังไม่เคยคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเลยนะ ปกติโดนดุอยู่เรื่อยว่าความสามารถไม่พอ ยังขาดฝีมือ แต่เมื่อได้พบกับอาเรียที่ตัวเล็กและบริสุทธิ์เช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่ที่โตมาก เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก

“เพราะอย่างนั้นเลยทำลายพวกคนไม่ดีสินะ”

ดวงตาของอาเรียเป็นประกาย

ไม่ใช่เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่ แต่เพราะแค่เขาต้องเรียนรู้สิ่งที่จะเอาไว้ปกป้องตัวเองตั้งแต่เด็กๆ แม้จะกลายเป็นว่าเมื่อจำเป็นต้องใช้กลับให้อะไรไม่ได้ก็ตาม

“ถ้าฉันโตขึ้นจะสามารถจัดการคนไม่ดีพวกนั้นได้เหมือนกันไหมนะ”

“ไม่ได้หรอก”

ถึงจะโตไปมากกว่านี้ แต่จะโตได้สักเท่าไรกัน

เมื่ออาซตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา อาเรียจึงเผยสีหน้าห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด เป็นใบหน้าที่ดูผิดหวังมาก

ได้เห็นภาพแบบนี้ เลยรู้สึกเหมือนทำบาปไปเสียอย่างนั้น แค่ทำให้เด็กน้อยผิดหวังไปเท่านั้นเอง อาซหลับตาแน่น

“ไม่ต้องใช้กำลังก็ได้ เพราะมีตั้งหลายวิธีที่จะจัดการคนไม่ดีพวกนั้นนี่นา”

“งั้นเหรอ อะไรบ้างล่ะ”

มีวิธีการพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ! อาเรียส่งสายตามองอาซอย่างเป็นประกาย

อาซจึงกลอกสายตาพร้อมกับตอบ

“ก็… แค่ให้เงินคนอื่นไปจัดการทุบตีให้ หรือจะขุดคุ้ยทรัพย์สินวิธีแบบนั้นก็มีอยู่เหมือนกัน หรือไม่ก็สั่งให้ย้ายรกรากก็ไม่เลว หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคือการให้คนที่มีอำนาจมากกว่าไปจัดการเขาอย่างไรล่ะ ยิ่งมีความสนิทชิดเชื้อกันเท่าไรยิ่งดี”

“…….”

หลังจากที่อาซอธิบายเรื่องที่ตัวเองรู้ไปทั้งหมดอย่างอิ่มอกอิ่มใจจึงรอการตอบรับจากอาเรีย

ทว่าโชคร้ายที่อาเรียกลับแสดงสีหน้าที่ไม่ว่าใครเห็นก็ดูออกว่าเธอไม่เข้าใจ เป็นสีหน้าราวกับถามว่าพูดเรื่องอะไรอยู่เสียอย่างนั้น

“….อ๋อ”

“เธอคงไม่เข้าใจสินะ”

“อื้ม!

อาเรียตอบอย่างมั่นใจ พร้อมกับควงแขนอาซ เพราะคิดว่าเด็กน้อยอย่างอาเรียคงจะไม่เข้าใจตั้งแต่ครั้งแรก

ต้องอธิบายว่าอะไรดีนะ อาซกังวลอยู่ครู่หนึ่ง พลางเลือกคำอธิบายง่ายที่สุดที่ตัวเองรู้ ถ้าพูดแบบนี้ก็คงจะเข้าใจสินะ

“ฮืม อาเรีย เธอแค่ขอร้องให้คนที่มีแรงหรือมีเงินมากช่วยก็ได้”

เป็นคำอธิบายง่ายๆ

ซึ่งนั่นเป็นคำตอบ หากจัดการด้วยตัวเองไม่ได้ก็แค่ยืมมือคนอื่นก็เท่านั้นเอง

ดูเหมือนว่าครั้งนี้อาเรียจะเข้าใจคำอธิบายง่ายๆ เขาจึงเบิกตาโตเป็นประกายขึ้น

“อ๊ะ! เหมือนกับอาซเหรอ”

“…ฉันหรือ”

“อื้ม! อาซช่วยฉันไว้นี่นา!”

และอาเรียก็พยายามจะช่วยอาซด้วยเช่นกัน

เนื่องจากเรื่องของอาเรียอยู่ในจุดที่เกี่ยวพันกับชีวิต จึงเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น อาซจึงตอบอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ

แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ต้องมีแรงมากก็ได้นี่นา แน่นอนว่าถึงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม เพราะอย่างนั้นอาซจึงสามารถตอบว่าใช่ได้

“ก็…นั่นสิ”

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมีอาซช่วยก็ได้นี่นา!”

“ว่าไงนะ”

แต่นั่นก็

ถึงจะเป็นเรื่องง่ายที่ช่วยเหลือเด็กแถวนี้ แต่ในฐานะที่เขาเพิ่งถูกโจมตีถึงขั้นชีวิตเมื่อคืนแล้วดูเหมือนว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่ดีสักเท่าไร หากสะดุดตาเข้าล่ะก็อันตรายแน่ๆ

“…….”

“อาซไม่มีกำลังเหรอ”

“ไม่รู้สิ”

แม้ในนามจะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วอำนาจพวกนั้นกลับทำอะไรไม่ได้เลย

เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหุ่นเชิดที่จะถูกกำจัดไปเมื่อไรก็ได้

 แม้จะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ก็ตาม แต่สามารถสร้างราชวงศ์ได้ อาจจะเป็นลูกชายคนโตจากสายเลือดของดยุกเฟรดเดอริกก็ได้ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มขุนนางมากกว่า เพราะอย่างนั้นเลยทำเรื่องแบบนั้นเมื่อคืนสินะ

ด้วยคำตอบที่ไม่ชัดเจนและสีหน้าไม่ดีของอาซ ทำให้ใบหน้าอาเรียห่อเหี่ยวลง

“แต่อย่างไรเสีย ต้องดุพวกที่ตัวใหญ่กว่าอยู่แล้วนี่นา!”

“ดูเหมือนว่าจะโชคดีล่ะสิ”

“…….”

อาเรียกัดปากแน่นเนื่องจากคำปฏิเสธที่หนักแน่นของอาซ

ช่างเป็นคำตอบที่ยากที่จะตอบโต้ได้ ขนาดผู้ใหญ่ยังจะไม่ไหวเลย เด็กขนาดนี้จะมีหนทางไหมนะ

ทว่าอาเรียกลับไม่เป็นเช่นนั้น และแล้วนัยน์ตาเป็นสีเขียวของเธอก็เริ่มเปล่งประกายออกมาราวกับว่าเธอหาคำตอบเจอ

“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันช่วยก็ได้สินะ!”

“ว่าไงนะ”

“บางทีถ้ามีเรื่องทะเลาะเกิดขึ้น ฉันก็เคยชนะอยู่เหมือนกันนะ ถ้าอย่างนั้น กลับกันฉันจะช่วยอาซเอง! ถึงจะเห็นแบบนี้ก็ตาม ฉันแรงเยอะนะ!”

อาเรียพูดพร้อมกับยกแขนตัวเองที่เรียวเล็กราวกับกิ่งไม้

ช่างเป็นแขนที่น่าเชื่อถือเสียจริง อาซยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ ใบหน้าที่เศร้าสร้อยได้หายไปเสียแล้ว

“ใช่  ช่วยทำแบบนั้นหน่อยนะ”

“อื้ม!

โครก..

เมื่อพูดระบายเรื่องจริงจัง ทันใดนั้นท้องก็ส่งเสียงร้องออกมา เนื่องจากอาเรียต้องมาเฝ้าไข้ ส่วนอาซก็สลบไปทำให้ทั้งคู่จึงอยู่ในสภาพที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน

“กินขนมปังไหมล่ะ”

“มีขนมปังเหรอ”

“อื้ม! แม่ฉันซื้อไว้น่ะ”

อาซพยักหน้า

กำลังหิวอยู่พอดีเลย บอกว่าจะให้ขนมปังอย่างนี้ มีหรือจะปฏิเสธ

อาเรียจึงรีบวิ่งไปยังห้องครัว แม้จะน่าอายที่เรียกว่าห้องครัวเพราะเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดข้างๆ อย่างไรก็ตามเธอก้าวไปไม่เท่าไรก็เอาขนมปังมาจากห้องครัวได้

เป็นขนมปังก้อนแข็งที่อาเรียทานได้ไม่เท่าไรก็หยุดทาน อาซที่กำลังถือก้อนขนมปังที่แข็งราวกับอิฐอยู่อย่างไม่คิดอะไรด้วยสีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าขนมปังนั้นเสียอีก

“นี่อะไรเนี่ย”

“หืม ขนมปังไงล่ะ!”

“…นี่ขนมปังงั้นเหรอ”

ไม่ใช่หินเหรอ

สีของขนมปังราวกับหิน จะกินได้จริงหรือเปล่านะ อาซนำขนมปังมาแตะปลายจมูกพร้อมกับสีหน้าสงสัย …ไม่ใช่กลิ่นของอาหารนี่

“คงไม่ได้โกหกใช่ไหม”

งึกๆ สีหน้าของอาเรียไม่มีความโกหกเลยแม้แต่นิด

เพราะอย่างนั้นจึงทำให้อาซกังวลและคิดมาก คิดมาว่านี่เป็นอาหารจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเผลอกินเข้าไปแล้วจะตายนะ

คงไม่ใช่คนที่บรรดาชนชั้นสูงส่งมาลอบฆ่าสินะ อาซส่งสายตามองอาเรียราวกับเคลือบแคลงใจ

ยิ้มร่า อาเรียยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่แสนน่ารัก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาสูญเสียตัวตนของเขา สิ่งที่เขาเคลือบแคลงใจกลับหายไป

“…เธอไม่กินเหรอ”

“ฉันหรือ”

อาเรียอ้าปากตัวเองให้เห็นฟันแทนการตอบ

“อ๋อ กินไม่ได้สินะ”

เพราะอยู่ในสภาพที่ฟันหลุดไปหลายซี่พอๆ กับอายุ เพราะอย่างนั้นเลยทานขนมปังที่แข็งราวกับหินแบบนี้ไม่ได้สินะ

อาเรียส่งสายตาราวกับให้รีบกิน และยังส่งแววตาเป็นประกายนั้นต่อ ถึงขนาดรู้สึกอึดอัดเลยล่ะ

“ฮืม…”

เพราะอย่างนั้น  ขนมปังพวกนี้ ปกติแล้วแทบจะไม่ได้ชายตามองเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้กลับรู้สึกอึดอัดจนต้องหยิบมันใส่ปาก ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ป๊อก’ ที่น่ากลัวในปากของเขา …หรือว่า ฟันคงไม่ได้แตกใช่ไหมนะ

“เป็นไง อร่อยไหม”

ไม่เลย อย่าว่าแต่รสชาติเลย มีแค่ความปวดที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น

ถ้าอาเรียลองกินก็คงรู้รสชาติไปแล้ว ทำไมถึงกับต้องซักไซ้ถามรสชาติด้วยนะ หรือว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้กินขนมกันเลยสักก้อนอย่างนั้นเหรอ

อาซที่รู้สึกสงสัยจึงถามออกไป

“เธอไม่เคยกินมาก่อนเหรอ ทำไมถามรสชาติล่ะ”

“ฉันหรือ แน่นอนว่าไม่เคยกินมาก่อนน่ะสิ จะกินได้อย่างไรล่ะ”

ไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เป็นเพราะฟันทำให้กินไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นปกติแล้วกินอะไรล่ะ

“ถ้าอย่างนั้นเธอกินอะไรเหรอ”

“ฉันหรือ ก็อะไรที่คล้ายกับจำพวกหญ้า”

หญ้านั้นสามารถหาได้ทุกที่

แม้จะไม่สามารถหาหญ้าที่สดใหม่และอร่อยได้ หากไม่มีพิษก็สามารถหยิบกินได้โดยไม่สนใจอะไร เนื่องจากอาการที่แม่หามาให้มีแค่ขนมปังแข็งๆ เท่านั้น อาเรียจึงต้องกินหญ้าไปโดยปริยาย

แน่นอนนั่นไม่ได้หมายความว่าจะเก็บหญ้าอะไรก็ตามที่อยู่รอบบ้าน แต่อย่างไรเสียเธอกินหญ้าที่แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังไม่กิน

“อันนี้ไม่อร่อย”

อาซมองอาเรียที่เก็บหญ้ามาจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่

………………………