จะมองยังไงนี่ก็ไม่ใช่หญ้าที่กินได้นะ นี่เธอบอกว่าเธอกินสิ่งนี้เหรอ เด็กน้อยแบบนี้เนี่ยนะ ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นเพราะกินหญ้านี่เลยทำตัวเธอเล็กแบบนี้ล่ะมั้ง
“กินนี่ทุกวัน… ทุกวันเลยเหรอ”
“อื้ม แทบจะกินทุกวันเลยล่ะ ถ้าไม่นับตอนที่ไม่อยากกินน่ะนะ แต่เพราะหิว สุดท้ายก็ต้องกินอยู่ดี แม้จะไม่ชอบก็ตาม ถ้าได้กินขนมปังก็คงไม่กินนั่นหรอก ถ้าฟันรีบขึ้นเร็วๆ ก็คงจะดีเลยเนอะ”
“…….”
ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ อาซก็รู้สึกเศร้า ทั้งที่ตัวเองยังไม่รู้ความจริงนั้นเลย ทำให้ตัวเองคิดว่าที่ผ่านมาช่างอยู่ดีกินดีมากเลยสินะ
ทั้งที่ยังไม่รู้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรตัวเองด้วยซ้ำ ได้แต่จินตนาการอย่างผิวเผิน พยายามเผชิญหน้ากับพวกขุนนางเอาชนะอิทธิพลชั่วร้ายที่เน่าเฟะนั่นพร้อมกับบอกว่าทำเพื่อประชาชน ตั้งแต่อายุยังน้อยเขาคิดว่าต้องเอาชนะพวกขุนนางเท่านั้นจึงจะเสริมความแข็งแกร่งให้อำนาจของจักรพรรดิและประเทศจะพบกับความมั่นคง
ทว่าคำว่าความมั่นคงมันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องสู้เพื่อสิ่งนั้นกัน เนื่องจากเขารู้เพียงแค่ผิวเผิน แต่เมื่อได้เจอกับชีวิตที่น่าเศร้าจริงๆ ก็รู้สึกอับอาย ท่ามกลางการต่อสู้อำนาจที่ไร้สาระ ตัวเขาเองก็มีส่วนที่ทำให้เด็กคนหนึ่งกลายเป็นแบบนี้
“เป็นอะไรไป”
และอาเรียที่กุมมืออาซอย่างนุ่มนวลกลับถามอย่างเป็นห่วงมาก เป็นน้ำเสียงอ่อนโยนจนถึงขนาดช่วยลดความรู้สึกผิดของอาซลง
เพียงได้เจอแค่วันเดียวทำไมถึงได้ใจดีกับคนที่รู้จักแค่ชื่อแบบนี้ได้นะ
อาซที่ได้รับการปลอบโยนจากอาเรียอย่างเงียบๆ จึงล้วงมือเข้าไปในเสื้อด้านใน โชคดีมีสิ่งที่ตัวเองคิดไว้อยู่ข้างในนั้น
“ออกไปกันเถอะ”
อาซลุกขึ้น อาเรียที่ตกใจจึงเบิกตากลมโตพร้อมกับถาม
“ไปไหน”
“ข้างนอก ต้องไปรักษาตัวด้วย แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนี่นา”
ต้องรักษารอยแผลเป็นและยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เนื่องจากไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไร แค่ฆ่าเชื้อและโปะสมุนไพรก็เพียงพอแล้ว แต่เพราะต้องล้างน้ำโคลนจึงต้องออกไปข้างนอก
“ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกอย่างด้วย เพราะฉะนั้นช่วยไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ฉันไม่รู้ทางละแวกนี้ ขายังเจ็บอยู่ด้วย”
“อื้ม เข้าใจแล้วล่ะ”
อาเรียตอบด้วยความมั่นใจ
ดูน่าเชื่อถืออย่างมาก ในที่สุดก็มาถึงวันที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากเด็กเล็กแบบนี้แถมยังเป็นผู้หญิงด้วย
เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะให้การช่วยเหลือผู้หญิง เพราะได้รับการศึกษามากกว่าทั้งยังมีกำลังที่แข็งแรงกว่า
ถึงจะมีผลงานมากก็ตามแต่คนที่ก่อตั้งตระกูลก็คือผู้ชาย ดังนั้นโดยปกติแล้วผู้ชายจึงมีอะไรหลายอย่างมากกว่า เลยกลายเป็นฝ่ายให้การช่วยเหลือไปโดยปริยาย
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องน่าอับอายหรืออดสูอะไรนัก เพียงแค่ตัวเองบาดเจ็บและยังไม่รู้เส้นทางทั้งยังถูกตามล่าอีก กลับกันอาเรียรู้เส้นทางเป็นอย่างดี ดูน่าเชื่อถือและยังดูมีความมั่นใจอีกด้วยทุกอย่างจึงถูกต้องแล้ว
ถึงจะไม่รู้เหตุผลแต่อาซกลับพึ่งพาอาเรียอยู่มาก
“ไม่ได้เจ็บเท่าที่คิดนี่นา”
อาซที่วางเท้าแตะพื้นพลางเริ่มเดินไม่กี่ก้าวพูดกับตัวเองขึ้นมา
ไม่รู้ว่าแผลสมานไปในระหว่างคืนที่ผ่านมาหรือแผลนั้นตื้นกว่าที่คิด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเดินได้ปกติถ้าเริ่มชินกับมัน
“ไปกัน”
“……!”
จากนั้นอาเรียที่อยู่ข้างๆ จึงจับมืออาซเป็นการชวนออกไปข้างนอก อาซตกใจจึงมองด้วยสายตาราวกับถามว่าจะทำอะไร อาเรียจึงยิ้มอย่างสดใสพร้อมกับตอบ
“เจ็บขาอยู่นี่นา ฉันช่วยประคองให้เอง ถึงจะเห็นแบบนี้ฉันก็แข็งแรงอยู่พอตัวเลยนะ”
แค่จับมือแบบนี้ประคองไม่ได้หรอก
และอีกอย่างอาเรียที่ตัวเล็กกว่าตัวเองแบบนี้ก็ดูจะช่วยอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องประคองเขาก็พอจะเดินได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจับมือดูจะสะดวกกว่า
“…เข้าใจแล้ว”
แต่อาซก็ตอบอย่างว่านอบน้อม
อาเรียเผยยิ้มอย่างสดใสออกมา
เป็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่เคยเห็นจนตอนนี้
* * *
“ที่นี่คือสถานพยาบาลจริงๆ เหรอ”
“อื้ม!
ถึงแม้จะไม่มีป้ายก็ตาม แต่ตึกที่ดูเหมือนว่าพร้อมจะถล่มตลอดเวลาแบบนี้เป็นสถานพยาบาลอย่างนั้นเหรอ
อาซสงสัยพลางหันไปมองอาเรีย อย่างไรก็ตามอาเรียที่จับมือเขาอยู่ก็ส่งสายตากลมโตราวกับไม่ได้โกหกอะไรเช่นเดิม
“ที่นี่เรียกว่าสถานพยาบาลล่ะ ถึงจะไม่เคยเข้าไปก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ”
“อืม… ก็ดี อยู่ที่ซอมซ่อแบบนี้อาจจะดีเสียกว่า”
เพราะจะได้ไม่โดนไล่ล่าอย่างไรล่ะ
เนื่องจากยังไม่เห็นศพ ตอนนี้คงจะเริ่มออกตามหาตนอยู่ทุกซอกทุกมุมจนแทบจะพลิกเมืองแล้วแน่นอน
แม้ผู้ที่ลอบสังหารจะใส่หน้ากากอยู่ก็ตาม แต่คนที่ส่งมาเป็นกลุ่มขุนนางชนชั้นสูงดังนั้นพวกเขาจะต้องใช้เงินและอำนาจออกตามหาเขาอยู่แน่ ดังนั้นการมาซ่อนตัวในที่ที่ไม่น่าจะโดนไล่ตามแบบนี้ อาจจะดียิ่งกว่า
อาซที่จับมืออาเรียอยู่จึงเดินเข้าไปในตึกเก่านั้น คาดการณ์ไว้ว่าด้านในอาจจะดีกว่าด้านนอก แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
แน่นอนว่าหมอก็เช่นกัน
“…จะรักษาตัวได้ใช่ไหมนะ”
ไม่สิ ดูเหมือนเขาจะเดินลำบากมากกว่าตนเองที่บาดเจ็บเสียอีก อาเรียพูดตอบแทนหมอที่กำลังเตรียมอุปกรณ์พยาบาลอย่างช้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอก! ฉันได้ยินว่าเด็กๆ แถวนี้ต่างเรียกเขาว่าหมอเถื่อนล่ะ”
“หมอเถื่อนเหรอ…”
ต้องขอบคุณอาเรียที่ทำให้ความกังวลของเขายิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีก
จะไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมนะ ถึงจะกังวลก็ตามแต่ดูเหมือนเขาจะมีทักษะการแพทย์ที่เพียงพอ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร จัดการฆ่าเชื้อแผลให้อาซจากนั้นทายาสมุนไพร และพันแผลให้อย่างแน่นหนา
“เท่าไหร่นะ”
“ไม่เป็นไรหรอก จะรับเงินจากเด็กได้อย่างไรกัน เฮอะๆ ไปได้แผลใหญ่แบบนี้มาจากไหนกันล่ะ…”
หมอพูดตอบราวกับสงสารมาก
ดูเหมือนว่าคงจะเป็นแค่ข่าวลือไม่ค่อยดีเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วเขามีความสามารถ และมีระดับด้วย
จากนั้นหมอจึงขอให้อาเรียช่วยแทน
“ช่วยเขียนชื่อเด็กที่เรียกฉันว่าหมอเถื่อนให้หน่อยสิ จะต้องไปดุสักหน่อยแล้ว”
“ชื่อเหรอ ฉัน.. เขียนหนังสือไม่เป็น”
“…….”
หมอหันมาเหลือบมองอาเรียที่พูดอย่างมั่นใจครู่หนึ่งจึงเข้าใจได้ว่าเธอเด็กเกินไปและแถวนี้ดูไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่จึงโบกมือแบบขอไปที หมายความว่าให้รีบออกไปเสีย
“ขอบคุณนะคะ หมอเถื่อน!”
อาเรียทิ้งคำชมที่ไม่ใช่คำชมพลางออกจากสถานพยาบาลพร้อมกับอาซ ได้ยินเสียงจิ๊ปากตามหลังเล็กน้อย
จู่ๆ อาซที่เงียบมาตลอดจึงถามอาเรีย
“อาเรีย เธอเขียนหนังสือไม่ได้เหรอ”
“อืม แต่ว่าแม่ฉันอ่านหนังสือเขียนหนังสือได้นะ เธอบอกว่าต้องเจอคนเยอะเลยต้องรู้หนังสือไว้น่ะ”
แม้ว่าอาเรียจะชื่นชมแม่ของเธอด้วยความภูมิใจ แต่อาซก็ตระหนักได้ว่าแม่ของเธอน่าจะอ่านและเขียนได้ไม่สมบูรณ์แบบ
เมื่ออายุแปดขวบเหล่าคุณหนูอยู่ในตระกูลชนชั้นสูงจะได้รับการสอนหนังสือ แน่นอนว่าดูจะเป็นเรื่องแปลกใจมากกว่าที่เธอจะรู้หนังสือทั้งที่อยู่ในสภาวะที่ต้องทานขนมปังแข็งๆ กับวัชพืช
“…อย่างนั้นเองสินะ”
อาซตอบสั้นๆ พร้อมกับถอนหายใจ
“เป็นอะไรไป เจ็บขาเหรอ”
“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็น่าจะสมานแผลดีมั้ง”
“งั้นเหรอ แล้วถอนหายใจทำไมล่ะ”
อาเรียเอียงคอถามราวกับไม่เข้าใจ
อาซจึงมองตอบด้วยแววตาสงสาร เพราะดูเหมือนชีวิตในอนาคตข้างหน้าของเธอจะไม่ดีขึ้น
ต้องเรียนหนังสือและสั่งสมความรู้จึงจะสามารถทำงานที่ดีกว่านี้ ดังนั้นหากจะหลุดพ้นจากชีวิตที่ต้องกินวัชพืชไปแบบนั้น ก็ต้องเรียนหนังสือ
แต่ว่า
‘เพราะมีเงินไม่พอคงจะทำแบบนั้นไม่ได้สินะ’
ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น
หากคิดอีกหน่อยก็อาจจะรู้ได้ ว่าแม่ของเธอต้องมัวยุ่งทั้งวันจนแทบไม่ได้กลับเข้าบ้านมาด้วยซ้ำ และก็คงจะไม่ต้องกินหญิงพวกนั้นด้วย
หากแม่ของเธอกลับมาไม่มีทางที่จะปล่อยอาซไว้แน่ อย่างน้อยก็ต้องปลุกมาซักไซ้ถามว่าเป็นใคร ทว่าถึงไม่เป็นอย่างนั้นอาซก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ของอาเรียอย่างคร่าวๆ ได้
ยิ่งไปกว่านั้นหากเรียนหนังสือไปอาเรียจะสามารถทำอะไรได้บ้างนะ
ไม่ใช่แม้กระทั่งชาวบ้านทั่วไปด้วยซ้ำแต่เป็นเด็กเพียงผู้หญิงในสลัม ถึงจะพยายามหาหนทางเท่าไหร่ ก็ไม่มี เพราะอย่างนั้นการที่อาเรียไม่รู้หนังสือจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
ยิ่งไปกว่านั้น
‘ถึงเขาจะคิดเรื่องนั้นอยู่ตอนนี้ไป…ก็ไม่มีประโยชน์อะไร’
เพราะอาซไม่มีอำนาจ
ไม่ใช่ว่าเขากำลังโดนตามล่าอยู่หรอกหรือ ทั้งยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลดีๆ ด้วยซ้ำ ทำได้แค่ขอบคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ในระหว่างที่เขายังไม่มีสติเท่านั้น
“…ไม่เป็นไรหรอก แค่รู้สึกว่าเสื้อผ้าใส่ไม่สบายเท่านั้น ดูเหมือนจะต้องซื้อชุดแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ แต่ก็ดูไม่เป็นอะไรนี่”
แน่นอนว่าชุดของอาเรียดูแย่ยิ่งกว่าชุดของอาซที่ได้รับบาดเจ็บจากคนตามล่าทั้งโดนฝนไปจนถึงสลบไปหนึ่งวันเต็มเสียอีก ถึงขนาดเกือบหลุดถามว่ายังจะเรียกมันว่าเสื้อผ้าแล้วใส่ไปไหนมาไหนได้อีกเหรอแต่ก็ต้องอดทนไว้
“ถือซะว่าเปลี่ยนบรรยากาศด้วย…”
“เปลี่ยนบรรยากาศ”
“…ใช่แล้ว เพราะปกติแล้วถ้าใส่ชุดใหม่อารมณ์ก็จะเปลี่ยนไปด้วยอย่างไรล่ะ”
“จะเปลี่ยนอารมณ์ต้องซื้อเสื้อผ้าเหรอ”
พูดคุยกันไม่เข้าใจเลย
อาซใช้ความคิดอย่างหนัก นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องอายุ เพราะคุณหนูเด็กเล็กทั่วไปก็ซื้อเครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองอยู่แล้ว จะต้องทำอย่างไรดีนะ
“ที่จริงแล้ว ถึงภายนอกจะดูปกติดีแต่ภายในมันขาดหมดเลยล่ะ ในระหว่างวันหากเสื้อผ้าขาดเป็นเสี่ยงๆ ไปก็ไม่แปลกใจเลย อาจจะขาดตอนเดินอยู่ตอนนี้ก็ได้ เกิดตัวเปล่าล่ะก็ คงจะโดนพวกกองรักษาการณ์จับไปแน่”
“อ๋อ อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องซื้อสิ เพราะองครักษ์มีแต่คนน่ากลัวทั้งนั้นเลยนี่”
ดูเหมือนว่าอาเรียจะเข้าใจคำอธิบายแต่ละคำของอาซจึงจูงมือเขาไป
“แต่เขาว่ากันว่าเสื้อผ้ามันแพงไม่ใช่เหรอ แล้วชุดใหม่น่ะ มีแต่คนรวยเขาใส่กันนี่นา”
“งั้นเหรอ”
“อืม เพราะอย่างนั้นเลยได้แต่ยืนมองอยู่ข้างนอกไงล่ะ เป็นประกายสวยมากเลยล่ะ”
“…อย่างนั้นเองสินะ”
หลังจากที่อาซพูดเห็นด้วยอย่างเงียบๆ อาเรียที่รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นนิดหน่อยจึงเริ่มโชว์เสื้อตัวเองให้ดูว่ามันสวยแค่ไหน
“สีเยอะมากเลยตื่นเต้นน่ะ ทำไมถึงได้มีสีเยอะแยะขนาดนี้นะ เอามาจากดอกไม้หรือเปล่านะ สวยมากเลยล่ะ”
เป็นเสียงที่ทำให้แม้แต่อาซที่ได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย ต้องเป็นเสื้อผ้าที่สุดยอดมากแค่ไหนกัน ทำให้อาซรู้สึกคาดหวังไปด้วย
และจากนั้นไม่นานก็มาถึงบูทีค
“เป็นไง สวยมากเลยใช่ไหมล่ะ”
“…….”
มีแต่เสื้อผ้าที่ดูเรียบๆ เกินจนกว่าจะมองว่าเป็นเสื้อผ้าใหม่ อาเรียพูดเสียงสูงขณะที่จ้องชุดที่ถูกจัดโชว์ผ่านตู้กระจก
“สวยจริงๆ เลย”
“ใช่ไหมล่ะ”
ไม่ใช่ชุดที่หรูหราอลังการ แต่เป็นชุดที่แทบจะไม่มีอะไรน่าดูเลยต่างหาก ตามที่อาเรียพูดชุดของอาซที่เปื้อนอยู่ตอนนี้ยังดูอีกว่าเสียอีก
แต่อย่างไรก็ตามจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ แม้จะเป็นชุดเครื่องแบบเจ้าชายรัชทายาทใส่แต่เพราะเปื้อนดินและฝุ่น ดังนั้นจะให้ใส่เดินไปไหนมาไหนเช่นนี้คงจะไม่ดีนัก
อาซและอาเรียจึงเดินเข้าไปในบูทีคด้วยกัน
…………………