ตอนที่ 10-1 ซื่อจื่อ โปรดให้ความเป็นธรรมผู้น้อยด้วย

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

คนหนึ่งโขยง รถม้าห้าคัน ยกขบวนมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเร่งเดินทาง พอเหนื่อยก็ให้ทุกคนพักผ่อน ตกเย็นหาที่พักค้างแรมแต่หัววัน ไม่นอนพักกลางป่าเด็ดขาด

 

 

ระหว่างนี้คุณชายรองทนการสั่นกระแทกของรถม้าไม่ไหว ร้องโวยวายไม่พอใจสองครั้ง ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวกำราบโดยไม่เกรงใจสองครั้ง ทำให้ไม่กล้าปริปากอีก

 

 

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น สามวันให้หลังก็ถึงเมืองหลวง

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่มองดูกำแพงเมืองสูงตระหง่าน ปลื้มใจจนน้ำตาเอ่อ

 

 

หลังจากรอให้ทั้งสองคนปรับสภาพจิตใจได้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้คนทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าเมือง

 

 

นายทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นรถม้าหลายคัน เข้าขวางแล้วซักถาม เห็นว่าไม่มีข้อสงสัยใด จึงปล่อยพวกเขาเข้าเมือง

 

 

หลังพ้นประตูเมืองเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก แย้มยิ้มยินดี เปิดม่านรถ สั่งการเหวินเปียว “หาโรงเตี๊ยมดีๆ สักแห่งพักก่อน”

 

 

เหวินเปียวรับคำ บังคับรถม้าไปตามเส้นทางตามความทรงจำ จนมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

 

 

เสี่ยวเอ้อร์เห็นคนจำนวนมากตรงเข้ามา รีบออกไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น พยักเพยิดโค้งคำนับถาม “พวกท่านมาทานอาหารหรือหาห้องพักขอรับ?”

 

 

เหวินเปียวหยุดรถม้าสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมาพูดว่า “หาห้องพัก มีห้องพักชั้นดีหรือไม่? พวกเราต้องการหลายห้อง”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ดีใจใหญ่ รีบพูดว่า “มีๆๆ เชิญแม่นางเข้ามาด้านในก่อนขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามเสี่ยวเอ้อร์เข้าไปด้านใน กัวเฟยก็ตามหลังนางไปติดๆ

 

 

หลงจู๊ก็เห็นรถม้าด้านนอกแล้ว กระตือรือร้นเข้าไปถามพวกเขาว่าต้องการห้องแบบใด แล้วนำพวกเขาขึ้นไปชั้นสอง ไล่เปิดห้องทั้งหมดออก พูดว่า “นี่เป็นห้องพักที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมนี้ แม่นางดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเข้าไป ภายในห้องโล่งกว้างสว่าง เก็บกวาดสะอาดตา พยักหน้าพอใจ “เอาห้องทั้งหมดนี้ พวกเรายังมีรถม้าอีกจำนวนหนึ่ง รบกวนท่านให้เสี่ยวเอ้อร์ดูแลให้ดีด้วย”

 

 

หลงจู๊รับคำด้วยความยินดี แล้วเดินลงไป เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับกัวเฟย “ไปพาตัวคุณชายรองขึ้นมา”

 

 

กัวเฟยรับคำเดินลงไป

 

 

หวงฝู่อวี้นึกว่าพอถึงเมืองหลวง เมิ่งเชี่ยนโยวจะไปหาพี่ชายตนเองที่จวนอ๋องฉีทันที คิดว่าชีวิตที่ทุกข์ลำเค็ญนี้ในที่สุดก็จบสิ้นแล้ว กำลังเบิกบานยินดี พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหาโรงเตี๊ยมเข้าพักก่อน ก็ตั้งแง่ไม่ยอมลงจากรถม้า

 

 

กัวเฟยจนปัญญา ใช้กำลังแบกเขาเดินขึ้นไปชั้นบน

 

 

หวงฝู่อวี้ทั้งถีบทั้งทุบ พูดว่า “ข้าเป็นถึงคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี เจ้ากลับกล้าทำกับข้าเช่นนี้รึ”

 

 

คนในโรงเตี๊ยมได้ยินคำพูดนี้ต่างประหลาดใจมองมาที่เขา

 

 

กลับเห็นเขาหน้าตาบวมช้ำ มองสภาพเดิมของเขาไม่ออก

 

 

คำพูดเย็นเยียบของเมิ่งเชี่ยนโยวดังแว่วมาจากชั้นบน “กัวเฟย วันนี้พวกเราจะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ หากเขาไม่ยินดี ก็ให้เขานอนบนรถม้าเถอะ”

 

 

สิ้นเสียง หวงฝู่อวี้ก็เลิกดิ้นรนขัดขืน ปล่อยให้กัวเฟยแบกตัวเองขึ้นไปโดยไม่ปริปากอีก

 

 

กัวเฟยแอบขำ

 

 

คนในโรงเตี๊ยมเห็นเขาสงบแล้ว ต่างเก็บคืนสายตา ไม่สนใจอีก

 

 

หลงจู๊กลับพยายามเพ่งพินิจหลายครั้ง จนใจที่มองสภาพเดิมของเขาไม่ออกจริงๆ จึงไม่ยุ่งเกี่ยวอีก

 

 

พอมาถึงหน้าประตูห้อง กัวเฟยก็วางหวงฝู่อวี้ลง เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจเข้าไปหลบหลังกัวเฟย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร หันหลังเดินเข้าไปในห้อง หวงฝู่อวี้เดินตามเข้าไปแต่โดยดี กัวเฟยเฝ้าอยู่ด้านนอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ ส่งสายตาให้หวงฝู่อวี้ก็นั่งลง

 

 

หวงฝู่อวี้มองด้วยความเดียดฉันท์แวบหนึ่ง ไม่ขยับตัว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเค้นถามเขา “ปกติแล้ว พี่ใหญ่เจ้าจะอยู่บ้านเวลาใด?”

 

 

หวงฝู่อวี้ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสอนจนกลัวขึ้นสมอง ตอบความแต่โดยดี “ปกติตอนเช้าพี่ใหญ่จะไปกั๋วจื่อเจียน[1] ตอนบ่ายศึกษาวิชากับอาจารย์โจวที่บ้าน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “หลายปีมานี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด?”

 

 

หวงฝู่อวี้พยักหน้าตามความสัตย์จริง “นอกจากเสด็จย่าและเสด็จลุงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เขาแทบจะไม่ออกไปไหนเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้ขมวดคิ้วเกร็ง

 

 

หวงฝู่อวี้เห็นนางเคร่งขรึม ห่อตัวถอยไปข้างหลัง พูดอย่างหวาดผวา “ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง เจ้าจะตีข้าไม่ได้นะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา สั่งการกัวเฟย “ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทุกคนขึ้นมาพักผ่อน ฟื้นฟูเรียวแรง พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ พวกเราจะไปทวงคืนความยุติธรรมที่จวนอ๋องฉี”

 

 

กัวเฟยรับคำ

 

 

คนทั้งหมดต่างขึ้นมาชั้นบนแล้ว กัวเฟยกำชับพวกเขา แล้วแยกย้ายไปพักผ่อนในห้องตัวเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้กัวเฟยพาหวงฝู่อวี้ออกไป พูดพึมพำตามลำพังกับตัวเองภายในห้อง “อี้เซวียน ข้ามาแล้ว อยากเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นใด”

 

 

ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังเรียนวรยุทธ์ที่กั๋วจื่อเจียน ในตอนนี้ราวกับรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ทอดสายตามองไกลออกไป

 

 

นั่งรถม้ามาสามวันเต็ม เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกอ่อนล้า ค่อยๆ เอนตัวลงบนเตียงพักผ่อนครู่หนึ่ง แล้วช้อนสายตามองทะลุหน้าต่างออกไปดูท้องฟ้าด้านนอก ลุกขึ้นสั่งกัวเฟยที่อยู่ข้างนอก “บอกหลงจู๊ให้เตรียมอาหารนำส่งขึ้นมา”

 

 

กัวเฟยลงไปชั้นล่าง หลงจู๊ได้ฟังก็สั่งเสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารขึ้นมาทันที

 

 

คนทั้งหมดกินตามสบาย นั่งรอครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกมา สั่งการทุกคน “ไป พวกเราไปจวนอ๋องฉีกัน”

 

 

ทุกคนรับคำ

 

 

หวงฝู่อวี้ที่ได้ยินว่าในที่สุดจะได้กลับจวนแล้ว ไม่ต้องให้กัวเฟยรบเร้า เดินตามออกมาต้อยๆ

 

 

คนในโรงเตี๊ยมเห็นสาวน้อยนางหนึ่ง เดินนำชายฉกรรจ์กำยำกลุ่มหนึ่ง ทั้งมีเด็กหนุ่มหน้าตาบวมช้ำอีกคนเดินออกมา ต่างสนใจใคร่รู้ ซักถามไปต่างๆ นานา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มตอบกลับ “หากพวกท่านใคร่รู้ ก็ตามพวกเราไปดูเถอะ”

 

 

ทั้งหมดล้วนเป็นแขกที่มาเข้าพักในโรงเตี๊ยม วันนี้ยังต้องอยู่ที่นี่ เมื่อความกระหายใคร่รู้ถูกปลุก คนสิบกว่าคนลุกขึ้นยืน เดินตามพวกเขาออกไปทันที

 

 

พวกที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เห็นกลุ่มคนเดินดาหน้าเป็นขบวน หลังซักถามได้ความว่าจะไปจวนอ๋องฉี ต่างก็ตามหลังไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น กระทั่งตอนที่มาถึงหน้าจวนอ๋องฉี ขบวนแห่ก็มีร้อยกว่าชีวิตแล้ว

 

 

คนเฝ้าประตูจวนอ๋องฉีเห็นคนจำนวนมากเดินตรงมาที่จวน นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น มองกลุ่มคนที่ยิ่งเดินก็ยิ่งใกล้เข้ามาอย่างตื่นระวัง

 

 

พอมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี ขบวนก็หยุดลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับคนเฝ้าประตูเสียงดังลั่น “รบกวนท่านช่วยไปเรียนแจ้ง บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจากตำบลชิงซีมีเรื่องสำคัญต้องการให้ซื่อจื่อให้ความเป็นธรรมด้วย”

 

 

คนทั่วไปที่มาจวนอ๋องฉีล้วนแต่มาขอพบอ๋องฉี ไม่มีใครเคยมาขอพบซื่อจื่อ ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนจำนวนมากเช่นนี้มาขอพบเขา คนเฝ้าประตูให้กังขา ยืนนิ่งไม่ขยับ

 

 

หวงฝู่อวี้ตวาดเขา “ยังจะยืนเซ่อทำไม ยังไม่รีบไปเรียนแจ้งท่านพี่อีก”

 

 

คนเฝ้าประตูได้ยินเสียงที่คุ้นหูของเขา พินิจมองดู แต่หวงฝู่อวี้แต่งกายสกปรกมอมแมม ใบหน้าบวมช้ำ ไม่เหลือสภาพเดิมเลย จึงลองหยั่งเชิงถาม “ท่านคือคุณชายรอง?”

 

 

หวงฝู่อวี้ตวาดเสียงกร้าว “ตาบอดหรือไร แม้แต่ข้าก็ไม่รู้จักเรอะ? ยังไม่รีบไปเรียนแจ้งท่านพี่อีก?”

 

 

พอได้ฟังว่าเป็นหวงฝู่อวี้จริงๆ คนเฝ้าประตูตกตะลึง วิ่งแนบไปพลาง ร้องตะโกนไปพลาง “แย่แล้ว คุณชายรองถูกคนทำร้าย!”

 

 

กลุ่มคนที่มามุงดูเรื่องสนุกด้านหลัง ได้ยินคนเฝ้าประตูร้องตะโกน ถึงได้สติว่าเด็กหนุ่มหน้าตาบวมปูด แม้แต่พ่อแม่ยังจำไม่ได้คนนี้ ที่แท้ก็คือคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัว

 

 

ตื่นเต้นก็คือ คุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉีถูกคนทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ ประเดี๋ยวพออ๋องฉีออกมา ไม่รู้ว่าจะโกรธเกรี้ยวเพียงใด หวาดกลัวก็คือหากอ๋องฉีบันดาลโทสะขึ้นมา พวกเขาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี้จะติดร่างแหไปด้วยหรือไม่

 

 

คนเฝ้าประตูวิ่งไปร้องตะโกนไปโดยไม่สนใจกฎระเบียบภายในจวน พระชายารองที่กำลังนอนกลางวันตกใจตื่น ร้องบอกสาวใช้ด้วยความขุ่นมัว “ไปดูซิ ใครกันที่ร้องเอ็ดตะโรไร้ระเบียบวินัย ลากตัวไปโบยเดี๋ยวนี้”

 

 

สาวใช้รับคำ เดินออกไป ครู่เดี๋ยวก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ลนลานพูดว่า “เหนียงเหนียง[2] แย่แล้วเพคะ คุณชายรองถูกคนทำร้ายเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายารองตกใจหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบลุกขึ้นนั่ง ร้องถามเสียงหลง “เจ้าว่าอะไรนะ?”

 

 

สาวเห็นนางโกรธเกรี้ยว ตกใจตอบเสียงสั่น “เมื่อครู่ผู้น้อยไปสอบถามมาแล้ว คนเฝ้าประตูบอกว่าคุณชายรองถูกคนทำร้าย เหมือนว่าตอนนี้จะอยู่หน้าประตูจวนเจ้าค่ะ”

 

 

“เร็ว รีบแต่งตัวให้ข้า จะได้ออกไปดู” พระชายารองสั่งด้วยความร้อนใจ

 

 

สาวใช้รีบเดินเข้าไป หยิบชุดมาสวมให้นาง แล้วประคองเดินออกไปนอกจวน

 

 

 

 

 

 

[1] กั๋วจื่อเจียน เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุดตั้งแต่ยุคราชวงศ์สุย (隋朝 ปี581-619) ปกติจะถูกสร้างขึ้นแต่ในเมืองหลวง

 

 

[2] เหนียงเหนียง คำที่ใช้เรียกพระราชินีหรือสนมเอก