บทที่ 115 ยุคหลังของ ‘มัน’ โดย Ink Stone_Fantasy
“ฉันออกไปข้างนอกสักหน่อยนะ”
ลั่วชิวที่เพิ่งจะยกหม้อโจ๊กหม้อหนึ่งออกมาจากห้องครัว เห็นเริ่นจื่อหลิงท่าทางรีบร้อนเดินไปหน้าประตู
“เอ่อ มีสัมภาษณ์ อาจจะกลับมาดึกหน่อยนะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก” เริ่นจื่อหลิงยังพูดทิ้งไว้อีกประโยค ตามมาด้วยเสียงปิดประตู
ลั่วชิวที่ถอดถุงมือออกก็ขมวดคิ้ว ท่าทางราวกับคิดอะไรอยู่…สีหน้าที่รีบร้อนแบบนั้น ถึงแม้กำลังพยายามปกปิดอย่างสุดชีวิต แต่ความจริงก็ไม่อาจเล็ดลอดไปจากสายตาทั้งสองข้างของเขาได้
…
…
กี่วันมาแล้ว?
อย่างไรก็ผ่านมานานหลายวันแล้ว หลายวันมานี้ ปีศาจผีเสื้อน้อยลั่วเพียนเซียนรู้สึกว่าชีวิตวันหนึ่งราวกับหนึ่งปี
ลูกค้าที่มาพักชั่วคราวที่ศูนย์สัตว์เลี้ยงสบายใจ คือคุณซูจื่**อจวิน
เป็นครึ่งผีดิบ
ซูจื่อจวินกับหลงซีรั่วเหมือนเหม็นขี้หน้าอีกฝ่ายมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เพียงแค่อยู่ด้วยกันเกินกว่าหนึ่งนาทีขึ้นไป ก็มักจะหาเรื่องแปลกๆ มาเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว
ปีศาจผีเสื้อน้อยที่รู้สึกว่าตนเองยังไม่คุ้นเคยจนยืนอยู่ข้างๆ ซูจื่อจวินได้ กลับมักจะโดนลูกหลงถูกดึงเข้าไปอยู่ตรงกลางการทะเลาะวิวาทระหว่างคนทั้งสอง
เหนื่อยใจเหลือเกิน…
เพียงแต่ปีศาจผีเสื้อน้อยคิดว่า คุณซูจื่อจวิน็ไม่ใช่พวกที่ชอบจับผิดฟื้นฝอยหาตะเข็บอย่างที่เห็นจริงๆ
จะบอกว่ายังไงดีล่ะ?
พวกปากร้ายใจดี? พวกไม่รู้จักพูด? พวกปากไม่ตรงกับใจ?
ยกตัวอย่าง ทุกครั้งหลังทำสงครามเย็นกับพี่หลง ก็มักจะหลอกถามข่าวของพี่หลงจากตนเองบ้าง
ช่วงนี้
อ่าน
พจนานุกรมซินหวาฉบับปรับปรุงจบไปแล้ว
ปีศาจผีเสื้อน้อยรู้สึกว่าตนเองใช้สุภาษิตได้เยอะขนาดนี้เลย เป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่เสียจริง เก่งจุงเบย!
“ยายแก่นั่นล่ะ?”
ลั่วเพียนเซียนนั่งกระดิกขาอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ของศูนย์สัตว์เลี้ยงสบายใจ กำลังดื่มนมวัวด้วยสีหน้ามีความสุขพลางตอบกลับไปว่า “พี่หลงสัปหงกอยู่ในห้องทำงานแน่ะ คุณจื่อจวิน คุณเดินตรงไปหาเธอก็ได้แล้ว”
ซูจื่อจวินทำเสียงเหอะเยาะเย้ย…เธอซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ในขณะนี้อันที่จริงสองมือกำลังประคองถือหม้อดินใบหนึ่งอยู่ ในตอนนั้นเองเธอก็วางหม้อดินลงบนโต๊ะ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “นี่เป็นอาหารแย่ๆ ที่ฉันเพิ่งทำเสร็จ และก็มีแค่ลิ้นของยายแก่นั่นเท่านั้นถึงจะเหมาะลิ้มรสของแบบนี้ที่สุด ถ้าเธอไม่คิดจะกินเงินเดือนฟรีๆ ที่นี่ต่อไป ก็ยกไปป้อนหล่อนสิ!”
เห็นชัดๆ ว่ายกเข้าไปเองก็ได้ แล้วฉันก็ไม่ใช่พวกกินเงินเดือนฟรีๆ นะ!
ลั่วเพียนเซียนถอนหายใจ ตอนที่คิดจะพูดอะไรออกไป สาวชุดดำคนหนึ่งก็เดินเข้ามา สาวชุดดำมองลั่วเพียนเซียนกับซูจื่อจวิน ลังเลอยู่พักหนึ่ง ถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น “ไม่ทราบว่า ท่านหมอหลงอยู่หรือไม่?”
ซูจื่อจวินหรี่ตาลงเล็กน้อย เธอซึ่งยังดูละอ่อนเลียริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นในทันที “ยายแก่นั่นไม่อยู่หรอก แต่ถ้าเธอมีเรื่องอะไร พูดกับฉันก็ได้…”
ซูจื่อจวินหยุดพูดทันที ตัวของเธอพลันลอยขึ้นมา
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าความตั้งใจของเธอเอง
แต่เพราะตอนนี้คอเสื้อเธอกำลังถูกอะไรจับไว้อยู่
พูดให้ถูกคือ เธอถูกคนทำให้ตัวลอยขึ้นมา และในวินาทีต่อมา ก็หล่นตุบไปอยู่ข้างๆ
พอดีกับหลงรั่วซีที่ไม่รู้ว่าเดินออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอมองสาวชุดดำคนนี้แวบหนึ่ง และพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ไม่ต้องไปสนยัยนั่น เธอเข้ามาห้องฉันก่อน”
ในวินาทีที่หลงซีรั่วออกมา สาวชุดดำก็เปลี่ยนเป็นนอบน้อมขึ้นทันที เธอพยักหน้าน้อยๆ สายตาไม่วอกแวก เดินตามหลังหลงซีรั่วเข้าไปในห้องทำงาน
…
“มาหาฉันมีธุระอะไร?”
หลงซีรั่วนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ขาไขว่ห้าง จุดบุหรี่มวนหนึ่ง กำลังพิจารณาสาวชุดดำที่อยู่ตรงหน้า…เฮยสุ่ย แล้วพูดขึ้นช้าๆ “ลมปราณของเธออ่อนลง ด้วยความสามารถของเธอแล้ว หลายปีมานี้ลมปราณน่าจะแข็งแกร่งขึ้นสิ”
เฮยสุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหลงซีรั่วทันที “ท่านหลง ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
หลงซีรั่วขมวดคิ้ว ไม่ได้เลือกที่จะพยุงเธอขึ้นมา “ลุกขึ้นมา บอกฉันมาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฮยสุ่ยถอนหายใจแล้วบอก “สิบปีก่อน…”
…
หลงซีรั่วพ่นควันออกมาจากปากช้าๆ พูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “สองร้อยปีก่อนฉันพบเธอก็เคยบอกเธอแล้ว ว่าให้ตั้งใจเปลี่ยนร่างอย่าเสียสมาธิ ร้อยปีก่อนฉันมาเยี่ยมเธออีก ก็บอกอีกเหมือนเดิม สิบห้าปีก่อน เธอก็ยังคงไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ เฮยสุ่ย เธอเป็นปีศาจสายเลือดรุ่นหลังของฉัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบรรดาปีศาจ ถ้าหากสามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้อย่างเต็มที่ล่ะก็ อย่าว่าแต่ปีศาจเสือโคร่งตัวหนึ่งเลย ต่อให้มีพลังแข็งแกร่งสิบตัวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอเลย”
เฮยสุ่ยมองหลงซีรั่ว แล้วพูดอย่างจริงจัง “ท่านหลง หากในเผ่าปีศาจของข้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะเข่นฆ่ากันเองแย่งชิงอาณาเขตแบบพวกมนุษย์นั่นถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ล่ะก็ พวกเรายังจะต่างอะไรกับมนุษย์พวกนั้นที่บีบบังคับให้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นทุกวันนี้เล่า?”
“แต่ไหนแต่ไรมาการต่อสู้แย่งชิงก็เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ถ้าปีศาจมีอำนาจปกครองโลกใบนี้ล่ะก็ เธอคิดว่าโลกจะไม่มีการต่อสู้แย่งชิงดินแดนอีกแล้วเหรอ มีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้นแหละ”
เฮยสุ่ยส่ายหน้าพูดขึ้น “ตั้งแต่ที่พวกเราโง่เขลาเบาปัญญาจนกระทั่งรู้จักมีสติปัญญาไหวพริบ เพียงแค่ดำเนินชีวิตตามสัญชาตญาณจนกระทั่งเรียนรู้ที่จะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง หรือว่านี่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นวิวัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่สลัดสัญชาตญาณสัตว์ป่าทิ้งไป? จะต้องรู้ว่า ถึงแม้จะเป็นสัตว์ป่าก็มีประเภทที่ไม่ต่อสู้เหมือนกัน”
หลงซีรั่วกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เธอให้ฉันช่วยเธอ วิธีของฉันก็คือใช้กำลังปราบปรามเสือโคร่งตัวนั้น นี่ก็คือการแสดงออกของสัญชาตญาณสัตว์ป่า”
เฮยสุ่ยนิ่งอึ้ง ก้มหน้าแล้วพูดขึ้น “ท่านหลง ขอเพียงท่านพูดเกลี้ยกล่อมสักหน่อย มันก็จะไม่ยึดครองดินแดนที่พวกข้าอยู่”
“ไม่ มันจะไม่ยึดครองที่เดิม แต่จะจากไป แล้วไปยึดครองที่อื่น” หลงซีรั่วพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา “อันที่จริงมันแค่จะยอมศิโรราบให้กับฉัน แต่ถึงจะยอมให้เธอเพราะยอมศิโรราบให้ฉัน แล้วก็จะไปรุกรานที่อื่นเหมือนกัน การดำรงชีวิตของปีศาจเสือโคร่งจำเป็นต้องอาศัยพลังลมปราณณอยู่มาก หลายปีมานี้มันเริ่มลงมือแล้ว แน่นอนว่ามันมาถึงจุดที่ไม่สามารถทนต่อไปได้แล้ว เธอไม่คิดต่อสู้แย่งชิง แต่ไม่ว่ายังไงสาเหตุการต่อสู้แย่งชิงก็จะเริ่มมาจากเธออยู่ดี”
เฮยสุ่ยกัดฟันกรอด
หลงซีรั่วหัวเราะเยาะพร้อมพูดขึ้น “ถ้าให้พูดกันจริงๆ แล้ว ก็เป็นเพราะเธอรั้นไม่ยอมแข็งแกร่งขึ้น เธอกลัวพลังของตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะควบคุมมันไม่ได้ ความกลัวพวกนี้ทำให้สายเลือดที่มีอยู่ในตัวเธอไร้ค่าไปเลย…เธอกลับไปเถอะ แล้วคิดให้ดีๆ ถ้าคิดจะให้ฉันช่วยเธอจริงๆ ก็ค่อยมาแล้วกัน”
เฮยสุ่ยกุมชายกระโปรงตนเองไว้ แล้วจากไปอย่างเศร้าสลด
ในห้องโถงใหญ่ซูจื่อจวินที่กำลังคุยเล่นกับปีศาจผีเสื้อน้อยี้อย่างสนุกสนานก็มองไปที่หลงซีรั่ว พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “นี่เป็นยุคหลังของ ‘มัน’ ล่ะสิ?”
หลงซีรั่วมองซูจื่อจวินอย่างไม่แยแสแวบหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ห้ามเธอแตะต้องเขา เพราะ…เขาเป็นคนของฉัน”
มังกรสายเลือดแท้ตัวสุดท้ายแห่งแผ่นดินฮั่นที่ยิ่งใหญ่ มองไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง ในชั่วพริบตานั้นทำให้สาวน้อยที่มีเลือดครึ่งผีดิบ เหงื่อแตกพลั่กทั้งตัว
“เชอะ”
ซูจื่อจวินทำเป็นเชอะใส่
…
…
“…ดึกขนาดนี้แล้วเรียกผมออกมาทำอะไร? พี่รู้หรือเปล่าเมียผมเกือบจะนึกว่าผมออกมาทำอะไรเหลวไหลแล้ว?”
เริ่นจื่อหลิงมองค้อนใส่หม่าโฮ่วเต๋อ “ดูหน้าตาขี้ขลาดของนายสิ เกรงใจเมียที่บ้านขนาดนี้ ยังกล้าบอกว่าออกมาทำเรื่องเหลวไหลอีกเหรอ”
“ผม…” หม่าโฮ่วเต๋อขบกรามแน่น แต่ยังคงไม่คิดจะโต้เถียงต่อ…อย่างไรเขาก็ไม่เคยเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้เลยสักครั้ง ขืนพูดต่อไปมีแต่จะทำให้ตนเองลำบากเปล่าๆ
“งั้นคุณเรียกผมออกมาทำอะไร?”
“นายลองดูนี่สิ”
เริ่นจื่อหลิงส่งจดหมายให้หม่าโฮ่วเต๋อ พร้อมขมวดคิ้ว พูดอย่างจริงจังสุดๆ “นี่เป็นของที่ส่งให้เยี่ยเหยียน เหล่าหม่า เยี่ยเหยียนกลัมาครั้งนี้เพราะอะไรกันแน่ ทำไมสถานที่ในจดหมายนั่นถึงต้องเป็นที่เดียวกับสุสานของสามีฉัน?”
เดิมเซอร์หม่าคิดว่าเป็นรายชื่อเยี่ยเหยียนในใบนำจับ แต่พอได้ยินอย่างนี้ เขาก็พูดขึ้นด้วยความตกใจ “อะไรนะ?”