บทที่ 1598 – มรดกเพทเจ้าจิ้งจอกแห่งความรุ่งโรจน์

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1598 – มรดกเพทเจ้าจิ้งจอกแห่งความรุ่งโรจน์

 

หยินต่งนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบการต่อสู้มากนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ นอกจากนี้เขาก็ยังมีอายุมากกว่าชิงสุ่ยและหลิงเฟิง เขามีนิสัยง่ายๆแต่เป็นผู้ใหญ่ และมีความสุภาพอย่างมาก

 

หลังจากกันสังเกตในครั้งนี้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าด้วยความสามารถแท้จริงของหยินต่งในตอนนี้ ควรจะมากว่าหลิงเฟิงอยู่นิดหน่อย อย่างไรก็ตามเส้นทางการเพาะบ่มของพวกเขาก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เส้นทางของหยินต่งนั้นค่อนข้างนุ่มนวลและเน้นไปทางด้านความรวดเร็ว นุ่มนวล ใช้อ่อนสยบแข็งกร้าว มันทําให้เขาสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเขาได้

 

ในทางกลับกันเส้นทางของเหลียนหลิงเฟิงเน้นไปทางความแข็งแกร่ง พละกําลัง ยิ่งเขาตกอยู่ในสถานการณ์ลําบากเท่าไร เขายิ่งปลดปล่อยพลังที่ร้ายกาจออกมาได้เท่านั้น ในตอนนี้เองชายหนุ่มที่หล่อได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีตรงข้ามหยินต่ง

 

ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของชายคนนี้นั้นคุ้นเคยอย่างมาก แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน แต่ที่เขารู้คือชายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

 

เขามีรูปร่าง หน้าตาที่หล่อเหล่า มีริมฝีปากบางอมชมพู นอกจากนี้ยังมีความชัดอยู่ในกลิ่นอายของเขา จากความรู้ในก่อนหน้าชิงสุ่ยสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นผู้ที่ได้รับมรดกเทพอสูรพฤษภโลกกามาครอบครอง

 

ในครั้งนี้ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าหยินต่งคงไม่ใช่คู่มือของเขา แต่เขาไม่ได้บอกให้เขายอมแพ้ เพียงแค่ส่งข้อความไปบอกเขาเท่านั้น” ชายผู้นี้ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการสืบทอดมรดกเทพอสูรพฤษภโลกกามาครอบครอง เจ้าต้องระวังเป็นพิเศษ

 

หยินต่งพยักหน้าใน ขณะที่เขายังคงสงบนิ่ง จากมุมมองในตอนนี้หลายคนคงคิดว่าเขากําลังพยักหน้าให้กับชายคนนี้ แต่จริงๆแล้วเขาพยักหน้าให้ชิงสุ่ย

 

“ข้าจะไม่ออมมือเด็ดขาด เจ้าจงระวังให้ดี หรือว่าเจ้าจะยอมแพ้ให้กับข้าในตอนนี้ก็ย่อมได้เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้าเลยแม้แต่น้อย” ชายคนนั้นพูดอย่างสงบแต่เต็มไปด้วยความตรงไปตรงมาเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายด้อยกว่า เขาจึงกล่าวเตือนออกมาด้วยความหวังดี

 

บางครั้งสิ่งที่เจ้าสัมผัสได้อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป มาเริ่มกันเลยดีกว่า!” หยินต่งย่อมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เพียงเพราะคําพูดของอีกฝ่าย แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่อันตราย แต่เขาก็ไม่คิดหลบหนีนี้เป็นโอกาสที่เขาจะสามารถพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

 

ในไม่ช้าชายคนนั้นได้นาหอกสีเทาออกมา มันหนากว่าหอกทั่วไป และแทบจะไม่มีความโดดเด่นใดๆ อย่างไรก็ตามกลิ่นอายที่มันปล่อยออกมาก็สามารถบอกได้ว่า นี่ต้องไม่ใช่อาวุธธรรมดา ไม่เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของมัน มิฉะนั้นตระกูลนั่วที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองคงไม่ใช้มัน

 

อสูรแห่งตระกูลนั่วจะต้องชนะแน่นอน บางทีอาจจะมีแค่ท่านหมอชิงคนเดียวที่สามารถต่อสู้กับเขาได้” ในขณะนั้นชิงสุ่ยได้ยินเสียงบางอย่างในหูของเขา

 

ชิงสุ่ยรู้สึกขำอย่างมาก เมื่อได้ยินฉายาของเขา นั่นยิ่งทําให้เขามั่นใจว่าชายคนนี้คือคนที่ครอบครองสมบัติของเทพอสูรอย่างแน่นอน

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่สนใจฟังเรื่องไร้สาระอีกต่อไป แม้ความแตกต่างของหยินต่งและชายคนนั้นจะชัดเชนอย่างมาก แต่อย่างไรแล้วก็มีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เนื่องจากหยินต่งเป็นผู้บ่มเพาะด้านความเร็ว จึงทําให้เรื่องนี้ไม่อาจสามารถตัดสินได้ด้วยความแข็งแกร่ง

 

อสูรแห่งตระกูลนั่ว ได้ฟาดลงไปที่หยินต่งด้วยพลังดังสายฟ้าฟาด พลังของเขาทําให้ห้วงอากาศรอบระเบิดออก จนเห็นหลุมดําเล็กๆในตอนนี้

 

มรดกเทพจิ้งจอกแห่งความรุ่งโรจน์!

 

ในตอนนี้กลิ่นอายของหยินต่งได้ระเบิดออกมาอย่างรวดเร็ว ความเร็วและพลังของเขาได้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า ขณะที่เขาหลบหอกของอสูรแห่งตระกูลนั่วอย่างง่ายดายและพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย ในตอนนี้มีคู่ของเขาได้เปล่งประกายแสงที่อันตรายออกมา

 

ชิงสุ่ยรู้ว่านี้คือพลังที่แท้จริงของเขาที่แอบซ่อนเอาไว้ แม้ว่าตอนนี้มันจะยังคงอ่อนแอกว่าอสูรแห่งตระกูลนั่วเล็กน้อย แต่ด้วยคลื่นกลิ่นอายที่หยินต่งปล่อยออกมา มันทําให้กลิ่นอายของอีกฝ่ายเขาถูกระงับไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้ากลิ่นอายของเขาถูกระงับแล้ว มันก็จะเท่ากับว่าความพ่ายแพ้นั้นเป็นของเขาแล้ว

 

หยินต่งเป็นผู้สืบทอดมรดกเทพจิ้งจอก ซึ่งเป็นพลังที่ช่วยในการสะกดอีกฝ่ายเอาไว้ โดยการสร้างภาพลงตาขึ้นมา ดังนั้นมันจึงทําให้ผู้ที่ครอบครองพลังนี้เอาไว้สามารถที่จะจัดการกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยการผสานของหยินต่งและมรดกเทพจิ้งจอก ทําให้เขาสามารถแสดงพลังที่แท้จริงนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์

 

ในขณะนี้หยินต่งได้แทงมีดคู่เข้าใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอสูรแห่งตระกูลนั่วก็ไม่กล้าที่จะประทะกับมันโดยตรง หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเขาเองก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่านี้เป็นพลังที่เกิดมาจากภาพลวงตา แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงใช้ชีวิตทดสอบมัน

 

หยินต่งเปรียบได้กับเสือร้ายที่ทะยานออกมาจากภูเขา การจู่โจมของเขารวดเร็วและแม่นยํา ต่อเนื่อง และพริ้วไหว ยิ่งไปกว่านั้น หยินต่งยังคงรู้ดีถึงจุอ่อนของเขา ทําให้เขาสามารถปกปิดมันได้อย่างสมบูรณ์ จึงทําให้อีกฝ่ายยากที่จะทําลายกระบวนท่าของเขา อย่างไรก็ตาหยืนต่งก็ไม่ต้องการที่จะสังหารแกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงเลือกโจมตีลงไปที่ส่วนต่างๆของร่างกายอีกฝ่ายที่ไม่ใช่จุดสําคัญ เขาทําเช่นนี้เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้อีกฝ่าย และให้อีกฝ่ายยอมแพ้ไปไปกว่านั้น อีกอย่างหนึ่งเพราะความสามารถพิเศษของมรดกเทพจิ้งจอกแห่งความรุ่งโรจน์ ที่มีโอกาสหนึ่งครั้งจะเพิ่มพลังโจมตี จากการโจมตีหลายๆครั้งซ้ําลงไปที่จุดเดิม ผลที่ออกมามันอาจทําให้อีกบาดเจ็บสาหัสหรือแม้แต่ฆ่าคู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นอสูรแห่งตระกูลนั่วจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวผลีผลาม

 

แม้ความสามารถของมรดกเทพจิ้งจอกจะร้ายกาจขนาดไหน หยินต่งก็สามารถทนใช้มันได้เพียงสองครั้งต่อวันเท่านั้น

 

ตูม!

 

อสูรแห่งตระกูลนั่วได้โอกาสเบี่ยงไหล่ของเขา แบกหอกในมือขึ้นเพื่อรับการจู่โจมของหยินต่งเอาไว้ แม้ว่าหยินต่งจะสามารถใช้พลังของมรดกได้อีกหนึ่งครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอสูรแห่งตระกูลนั่วจะมีแผนของเขาแล้วในตอนนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากการจู่โจมดังกล่าว ร่างกายของเขาลอยไปข้างหลังนับสิบเมตร ก่อนที่จะมีเลือดสีแดงขั้นไหลรินไปทั่วไหล่ของเขา โชคไม่ดีของหยินต่งที่ไม่สามารถใช้ความสามารถพิเศษของมีดในมือของเขาเจาะทะลุพลังป้องกันของอีกฝ่ายไปได้

 

แม้แต่ในตอนนี้อสูรแห่งตระกูลนั่วเองก็ยังตกใจในความสามารถของหยินต่ง แม้ว่าเขาจะสามารถรับการโจมตีของมรดกเทพจิ้งจอกได้ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย อย่างไรก็ตามตอนนี้หยินต่งเหลือโอกาสเพียงครั้งสุดท้ายที่จะใช้พลังของมรดกในการจัดการอีกฝ่าย

 

อสูรแห่งตระกูลนั่วรู้สึกได้ว่าพลังที่แท้จริงของหยินต่งนั้นไม่ใช่ความแข็งแกร่ง แต่เป็นความเร็ว ในการโจมตีอย่างรวดเร็วมันทําให้เขารู้สึกหัวเราะตัวเองที่ประมาทไปในครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความสามารถที่แท้จริงของมรดกเทพจิ้งจอก พลังของมันไม่ได้อ่อนแอไปกว่ามรดกของเขาเลย

 

หลังจากการต่อสู้เริ่มขึ้นนี้ก็เป็นเวลากว่าครึ่งวันแล้ว หลังจากที่ต่อสู้กัยมาเป็นเวลานาน อสูรแห่งตระกูลนั่วก็เริ่มสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของหยินต่งและจับทางได้ในที่สุดเขาก็สามารถพิชิตหยินต่งได้โดยไม่จําเป็นต้องใช้พลังของมรดกเทพอสูร ถึงอย่างไรก็ตามในช่วงสุดท้ายของการต่อสู้หยินต่งก็ได้ยอมแพ้และหลังจากเวทีเมื่อการจู่โจมสุดท้ายของมรดกเทพจิ้งจอกถูกทําลายลงไป ในตอนนี้เขามีเลือดที่มุมปากเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บมากนัก

 

เป็นยังไงบ้าง?” ชิงสุ่ยยื่นมือออกมาก่อนที่จะถ่ายทอดพลังปราณเพื่อรักษาเขา

 

ขอโทษที่ข้าไร้ประโยชน์ ดูเหมือนว่าจะต้องให้เจ้าลงมืออีกแล้ว” หยินต่งกล่าวด้วยความเจ็บปวด

 

อย่าพูดเหมือนเราเป็นคนห่างไกลกันสิ นอกจากนี้เจ้าก็ยังสามารถจับเคล็ดพลังของมรดกแห่งพระเจ้าได้แล้ว ในอนาคตเจ้ายังสามารถเติบโตได้อีกมากมาย และจากที่ข้าคาดการณ์ ข้าว่าเพียงไม่เกินหนึ่งปีข้าหน้า เจ้าก็สามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว” ชิงสุ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ แล้วข้าล่ะ ข้าควรขึ้นสู้กับเขาหรือไม่?” หลิงเฟิงกล่าวถามในทันที

 

“จะดีกว่าถ้าเจ้าไม่ขึ้นไป ด้วยทักษะของเจ้าแล้ว เจ้าเสียเปรียบให้เขาอย่างมาก” ชิงสุ่ยกล่าวและส่ายหน้า

 

ในขณะนี้ชิงสุ่ยกล่าวกับสหายของเขาราวกับไม่เดือดร้อนอะไร ราวกับพวกเขานั่งพูดคุยกันอยู่บนโต๊ะทานข้าว ซึ่งนี้สามารถทําให้คนอื่นๆรู้ได้เลยว่าหอคอยจักรพรรดิไม่เคยเห็นตระกูลนั่วอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

 

สําหรับคนอื่นๆนั้นไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับท่าทางของชิงสุ่ย แต่สําหรับคนของตระกูลนั่วแล้ว พวกเขาโมโหอย่างมากราวกับซิ่งสุ่ยไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา แม้กระทั่งมองข้าอสูรแห่งตระกูลนั่วของเขา

 

“คนจากหอคอยจักรพรรดิช่างไร้มารยาทเสียจริงๆ ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะความสามารถมากพอทําตัวหยิ่งผยองเช่นนี้ อสูรแห่งตระกูลนี้วมองไปที่ชิงสุ่ยและกล่าว

 

“เจ้าอยากกล่าวอะไรก็กล่าวไป เพราะยังไงแล้วตระกูลนั่วนั้นก็ไม่มีความค่ามากพอที่จะเข้ามาอยู่ในสายตาของข้าหรอก” ชิงสุ่ยยิ้มและส่ายหน้า

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยส่ายหัวและกําลังที่จะขึ้นไปบนเวที ตั้งแต่ต้นจนจบเขารู้ดีว่ายังไงแล้วเขาคงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้นี้ไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นชิงสุ่ยยังไม่ได้เห็นความสามารถที่แท้จริงๆของบรรพบุรุษของตระกูลนั่วเลย มันจึงทําให้เขาไม่แน่ใจมากกว่าอีกฝ่ายนั้นแอบซ่อนอะไรเอาไว้ มันจะดีกว่าถ้ามีคนโค้นชายคนนี้ลงและเผยความสามารถของบรรพบุรุษของตระกูลหัวออกมาก่อนที่ เขาจะขึ้นไปประลอง

 

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเป็นคนต่อสู้เองในรอบนี้ เพราะข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของหอคอยจักรพรรดิด้วยเช่นกัน”เสียงที่ไพเราะดังขึ้นข้างหลังชิงสุ่ย ทําให้ทั่วบริเวณนั้นต้องหันไปมอง

 

“ฉินชิง!”

 

ในตอนนี้ฉินชิงมาถึงแล้ว เธอไม่ได้สวมใส่ชุดของตระกูลเธออีกต่อไป ตอนนี้เธอกลับสวมชุดสีขาวเหมือนหิมะ ซึ่งทําให้เธอดูโดเด่นอย่างมาก

 

ผู้หญิงคนนี้มีรูปร่างที่สง่างาม ทรงเสน่ห์อันประณีต ดวงตาที่งดงามของเธอก็ดูสวยงามมาก ราวกับมันถูกสร้างมาจกาอัญมณีล้ําค่า เธอเป็นดังเทพธิดาที่ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ และเป็นตัวตนที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ เช่นเดียวกับพระจันทร์เสี้ยวในท้องฟ้า นอกจากนี้การแสดงออกของเธอนั้นยังเต็มไปด้วยสงบ กลิ่นอายของเธอดังมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต

 

เธอเป็นคนที่งดงามและทรงเสน่ห์อย่างมาก

 

การปรากฏตัวของเธอทําให้ผู้หญิงมากมายนั้นอยากจะตายลงในตอนนี้ เมื่อเทียบกับเธอแล้ว พวกเธอดูด้อยค่าอย่างมาก

 

“ นั้นมันเทพธิดาชิงนิ”

 

เพียงไม่นานก็มีคนจดจําเธอได้ เพราะความงามที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอทําให้เธอเป็นตัวตนที่หลายๆคนหมายปอง

 

“ เทพธิดาชิง ข้าสงสัยว่าทําไมท่านต้องเอาตัวเองเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย?” อสูรแห่งตระกูลนั่ว มองดูไปฉินชิงอย่างใจเย็น ขณะที่พยายามแอบซ่อนความต้องการของเขาอยู่ข้างในใจของเขา แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างเช่นเขาก็ไม่สามารถด้านตานต่อความที่ฉินชิงมีได้